บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 615 ไท่ซ่างหวงได้รับบาดเจ็บ
หลังจากที่ฮ่องเต้หมิงหยวนไปแล้ว ในใจหลู่เฟยเป็นกังวลอย่างมาก
นางรู้ว่าฮ่องเต้สนใจเรื่องงานแต่งงานนี้มาก ไม่อย่างนั้นคงไม่มาถามนาง คงปฏิเสธไปด้วยตนเองแล้ว
ฮ่องเต้ยินยอมให้หวยเอ๋อแต่งงานกลับลูกสาวพ่อค้าคนหนึ่ง คงเพราะให้คนไปถามมาเยอะแล้ว หาไม่ได้จึงคิดพิจารณาเช่นนี้
หรือว่า หวยเอ๋อจะหาภรรยาไม่ได้แล้วหรือ?
ในใจนางเจ็บปวดทรมานอย่างมาก เช้าวันรุ่งขึ้นได้สั่งคนไปตามพี่สะใภ้เข้าวังมาพูดคุย
นางไม่มีบุญ หลานสาวทางฝ่ายครอบครัวต่างก็แต่งงานแล้ว อยากให้เรือล่มในหนองก็เป็นไปไม่ได้ ดีที่พี่สะใภ้ตามพี่ชายมาอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลานาน มีหน้ามีตาอยู่ในเมืองหลวง ให้พวกนางช่วยดูไว้บ้างก็ดี
พี่สะใภ้ทั้งสองคนของหลู่เฟย คนหนึ่งนางเตียว คนหนึ่งนางอู่ เดิมไม่ใช่คนในเมืองหลวง ตามสามีมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ปักหลักอยู่ที่เมืองหลวง
ครอบครัวหลู่เฟยไม่มีอำนาจ ไม่เช่นนั้นหลายปีมานี้ก็คงไม่คับข้องใจขนาดนี้
ได้ยินหลู่เฟยพูดถึงเรื่องงานแต่งของอ๋องหวย นางเตียวก็พูดขึ้นก่อนว่า “เหนียงเหนียง การจะแต่งงานมีภรรยาต้องเป็นกุลสตรี ชาติกำเนิดไม่ได้สำคัญที่สุด นิสัยดี ประพฤติดี กตัญญูต่อท่าน ก็พอแล้ว”
นางอู่ก็พูดขึ้นว่า “ใช่ คนเรามีชีวิตอยู่ จะขออะไรล่ะ? ขอให้สงบสุขและสมความปรารถนาไม่ใช่หรือ? ท่านอ๋องเคยป่วยอย่างหนัก โรคแบบนี้ทำให้คนอื่นต่างก็ไม่อยากเข้าใกล้ หากอยากที่จะได้ลูกสาวตระกูลดีสูงส่งคงยาก ลดระดับลงมา หาดูว่าด้านนอกวังว่ามีที่เหมาะสมไหม แล้วก็แต่งเถอะ”
หลู่เฟยขมวดคิ้ว ลูกสาวเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่ต้องพิจารณา นอกจากครอบครัวแล้ว ก็ไม่รู้จักรากฐาน จะวางใจได้อย่างไร? ยังไงหลังจากที่แต่งงานกันแล้ว จวนอ๋องที่กว้างใหญ่ก็จะต้องเป็นนางดูแล
นางอู่พูดขึ้นว่า “เหนียงเหนียง ข้ารู้จักผู้หญิงคนหนึ่งพอดี นางเป็นลูกสาวเจ้าเมืองเมืองจ่าง ปีนี้เพิ่งถึงวัยออกเรือนพอดี ใบหน้างดงาม อุปนิสัยดีก็ดี มีความรู้ มีมารยาท ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองจ่าง ลองพิจารณาไหม?”
“ใช่ ข้าก็ได้ยินมาว่าไม่เลว” นางเตียวก็รีบพูดสนับสนุน
หลู่เฟยมองดูนางอู่ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเมืองเมืองจ่าง? นั่นไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าหรือ?”
นางอู่ยิ้มแย้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ผิด สกุลไม่เลว ตอนนี้พี่ชายก็เป็นขุนนางระดับห้าแล้ว”
หลู่เฟยไม่ยินยอม พี่ชายคนนี้ของนางอู่นางเคยเห็น รูปร่างหน้าตาแปดเหลี่ยมสามแฉก โหดร้ายใจดำ และก็ชอบประจบสอพลออย่างมาก ตอนนั้นตอนที่นางอู่แต่งงานมาอยู่ด้วย นางยังไม่ได้เข้าวัง พี่ชายคนนี้เคยมาหลายครั้ง ยกย่องคนสูงส่งเหยียบย่ำคนต่ำต้อย คนแบบนี้จะดองด้วยไม่ได้
หลู่เฟยโบกมือ แล้วก็คิดถึงลูกสาวพ่อค้าที่ฮ่องเต้พูดถึงคนนั้น ดูท่าทีแล้วฮ่องเต้เหมือนจะเห็นด้วย งั้นแสดงว่าอุปนิสัยก็คงจะไม่เลว หากดี งั้นก็ดูก่อน
แต่ ด้วยสถานะอันสูงส่งของนางแล้วจะไปพบลูกสาวพ่อค้า ทุกเลื่องลือออกไปก็จะเป็นการเสียหน้า จึงรู้สึกเศร้าโศกขึ้นมา
และเมื่อหลังจากฮ่องเต้หมิงหยวนกลับมายังตำหนัก มู่หรูกงกงก็อดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้นว่า “ฮ่องเต้ เงินในคลังคลังภายใน ท่านได้ใช้จ่ายไปพอสมควรแล้ว น่าจะยังเหลือแค่หลักหมื่น”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเหลือกตาโตมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “จะเตือนเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาทำไม? นี่ก็ต้นฤดูหนาวแล้ว เมื่อถึงปีใหม่ใช้จ่ายอย่างประหยัดหน่อย เงินหลักหมื่นก็พอใช้อยู่”
มู่หรูกงกงพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “หากอ๋องหวยแต่งงาน ท่านคิดว่าจะเอาสินสอดเท่าไหร่จากหลักหมื่นนี้?”
เหมือนดั่งฟ้าร้องในคืนมืดมิดระเบิดอยู่บนหัวของฮ่องเต้หมิงหยวน
ใช่ อ๋องแต่งงาน จะต๊อกต๋อยค่นแค้นไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าหกที่ทุกข์ทรมานมานานขนาดนี้ งานแต่งของเขาต้องจัดอย่างใหญ่โต แต่เงินไม่สามารถเอาออกมาจากคลังของของชาติได้ และเงินในคลังของชาติตอนนี้ ว่างเปล่ายิ่งกว่าใจของเขา
ในทุกๆปีราชวงศ์จะเอาเงินส่วนหนึ่งในคลังของชาติ มายังคลังภายในเพื่อใช้จ่ายภายในราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ต่างก็เอาค่าใช้จ่ายมาจากคลังภายใน ที่ผ่านมาก็เพียงพอ แต่สองปีที่ผ่านมานี้ค่อนข้างลำบาก เงินส่วนตัวก็ถูกใช้ไปไม่น้อยแล้ว
“ทางด้านไท่ซ่างหวงน่าจะสามารถให้ได้บ้าง…..” เขาครุ่นคิด แล้วก็คิดถึงเงินในคลังสมบัติของไท่ซ่างหวง
พระตำหนักฉินคุน
“กี่ครั้งแล้ว?” ไท่ซ่างหวงนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก แล้วก็ดูดสูบบุหรี่ เงยหน้าขึ้นมาถามฉางกงกงอย่างเย็นชา
ฉางกงกงชูนิ้วขึ้นมา 3 นิ้วอย่างหวาดหวั่น พร้อมพูดขึ้นว่า “สามครั้ง”
“กี่วันแล้ว?”
ฉางกงกงคำนวณดู พร้อมพูดขึ้นว่า “น่าจะหนึ่งเดือนแล้ว? ไม่หนึ่งเดือนก็เดือนกว่าแล้ว”
ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “เห็นข้าตายไปแล้วหรือไง?”
ฉางกงกงรีบพูดปลอบขึ้นว่า “ท่านอย่าโกรธ ช่วงนี้คงจะยุ่งมาก จึงไม่มีเวลามาถวายพระพรท่าน หากท่านคิดถึงอย่างมาก พรุ่งนี้ก็จะสองราชโองการไป”
ไท่ซ่างหวงโกรธจัด พร้อมพูดขึ้นว่า “ยุ่ง? เข้าวังมาสามครั้งแล้วก็ไม่มาหาข้า มาครั้งหนึ่งจะเสียเวลาซักเท่าไหร่เชียว? จะเป็นการขัดขวางงานการใหญ่โตอะไรของนาง? ยังมีเมื่อกี้พูดว่าไม่ได้มาหนึ่งเดือนแล้วใช่ไหม? ไม่เพียงหนึ่งเดือนหรือเปล่า? ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็ครึ่งปีแล้ว ใช่ ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้า จึงไม่จำเป็นต้องมาหาข้าแล้ว ยังจะมีราชโองการ คนอื่นไม่อยากมา เจ้ามีราชโองการไปแล้วมีประโยชน์อะไร? ที่มาคือคน ไม่ใช่ใจ ข้าไม่อยากได้ ดีที่สุดต่อไปก็ไม่ต้องมา”
พูดจบ เขาลุกขึ้นมาแล้วก็เตะเก้าอี้ด้านข้าง ทำตัวไม่ถูก เตะไม่ไหวแล้ว ด้วยความโกรธเขาหันไปเตะเก้าอี้เล็กด้านข้างที่นั่งเมื่อกี้ เก้าอี้เล็กกระเด็นไปชนประตูแล้วก็กระเด็นกลับมา เขาเพิ่งหันตัว เก้าอี้ตัวนั้นก็ลอยกลับมาชนถูกน่องของเขา ตอนล้มไปด้านหน้า ฉางกงกงอยากดึงไว้ก็ไม่ทัน ได้ยินเสียง “ตู๊บ” ดังขึ้น กระทบบนพื้นที่หยกสีขาว
ฉางกงกงตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น รีบไปประคองเขา แล้วก็เห็นหน้าผากมีเลือดไหล ก็รีบตะโกนร้องขึ้นว่า “ใครอยู่ข้างนอก รีบไปตามหมอหลวงมา”
ไท่ซ่างหวงถูกเขาประคองไปนั่งบนเก้าอี้ สีหน้าบึ้งตึงอย่างน่ากลัว เขายื่นมือไปลูบหน้าผากของตน เลือดเปื้อนเต็มมือ พร้อมพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ห้ามตามหมอหลวง”
“งั้นจะได้อย่างไร….”
“ได้หรือไม่ได้ แล้วแต่ข้า ตายไปก็ช่างเถอะ” ไท่ซ่างหวงเห็นเขายืนเถียงอยู่ตรงหน้า ก็พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ยังยืนซื่ออยู่ทำไม? เอาของมาห้ามเลือด”
ภายในพระตำหนักฉินคุน วุ่นวายขึ้นมาทันที ไท่ซ่างหวงโมโหเอาแต่ใจ ไม่ให้ใครเข้าไปแตะบาดแผลของเขา แม้แต่ฉางกงกงก็ไม่ให้ เขาทาผงห้ามเลือดด้วยตนเอง แล้วก็เอาผ้าผืนหนึ่งมาพันหัวไว้ พันไว้อย่างน่าเกลียดมาก พันไว้แน่นอยู่หลายรอบ เลือดก็ยังซึมออกมาเปื้อนผ้า
หลังจากที่เขานอนลงอยากโกรธเคืองแล้ว ฉางกงกงก็รีบไปหาฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินว่าได้รับบาดเจ็บ ก็ร้อนใจ เมื่อถามถึงสาเหตุ กลับเป็นเพราะโกรธพระชายารัชทายาท บอกว่าพระชายารัชทายาทเข้าวังมาแล้ว แต่ไม่ไปถวายพระพรเขา
ฮ่องเต้หมิงหยวนถอนหายใจ ตอนนี้เสด็จปู่เป็นเหมือนกับเด็กน้อย ต้องเอาอกเอาใจ พระชายารัชทายาทก็จริงๆเลย เข้าวังมาแล้วทำไมไม่ไปดู? ใจดำจริงๆ
เขาก็ไม่ได้มีราชโองการ สั่งให้มู่หรูกงกงออกจากวังไปตามหาหยวนชิงหลิง เล่าความจริงให้นางเข้าใจ แล้วให้นางเข้าวังมาในวันพรุ่งนี้
เขาพูดย้ำกับฉางกงกงว่า ห้ามบอกไท่ซ่างหวง จะให้คนไปบอกที่จวนออกแล้ว ให้บอกว่าพระชายารัชทายาทเข้าวังมาถวายพระพรด้วยตนเอง
ฉางกงกงถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนนี้อารมณ์ไท่ซ่างหวงยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่ดี ฮ่องเต้มีเวลาว่างให้ไปอยู่เป็นเพื่อนเขาบ้าง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “วางใจ ข้าจะมั่นไป”
ในใจฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกผิด ช่วงนี้งานยุ่งอย่างมาก จึงไม่ค่อยได้ไปถวายพระพร ทางด้านเสด็จย่ายังดี มีสนมวังหลังเป็นโขยงโอบล้อม แต่เสด็จปู่อยู่แต่ในพระตำหนักฉินคุนทั้งวัน บอกว่าอยากอยู่อย่างสงบ ที่จริงในใจก็หวังอยากที่จะมีคนมาพูดคุยกับเขา
เขาให้ความสนใจหยวนชิงหลิงอย่างมากมาย เฝ้าคอยและคาดหวังอย่างมาก จึงต้องการให้หยวนชิงหลิงสนใจเขาเป็นพิเศษ เขาวังมาหลายครั้งก็ไม่ได้ไปหาเขา แม้แต่หัวหยวนชิงหลิงก็ไม่อยากได้แล้ว