บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 635 นางตายเพราะอะไร
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาเอาแต่คิดถึงตัวเองตลอด กลับไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของหยวนชิงหลิงเลย สามารถได้พบกับญาติของตนเองอีกครั้ง อยู่พร้อมหน้ากับญาติ เป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดในใต้หล้า
เขาสมควรจะดีใจแทนยายหยวน แต่ไม่ใช่เอาแต่คิดอย่างไม่เป็นสุขว่านางจะกลับไปหรือไม่
เขากุมมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้ เอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “ยายหยวน เจ้าไม่มีวันตัวคนเดียว แม้สักวันหนึ่งที่ข้าต้องตาย ก็จะฆ่าเจ้าก่อน ไม่ให้เจ้าต้องอยู่ในโลกใบนี้เพียงลำพัง”
หยวนชิงหลิงมองดวงตาที่แสนของอบอุ่นของเขา นางต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับเรื่องที่รักผู้ชายที่นิสัยแข็งกระด้างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จะนำถ้อยคำอันลึกซึ้งกินใจมาดัดแปลงเป็นคำพูดที่โหดเหี้ยมเย็นชาชนิดต่างๆได้เสมอ
หยู่เหวินเห้ามองเห็นความระอาใจในสายตาของนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเคยเกือบจะเสียเจ้าไปแล้ว ความหวาดกลัวกับความสิ้นหวังเช่นนั้น ทรมานยิ่งกว่าตาย ฉะนั้นข้าจะไม่ให้เจ้าต้องลิ้มรสความทรมานเช่นนั้น ไม่ใช่ข้าไม่รู้จักสร้างบรรยากาศดีๆ แต่ข้าเคยเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว ไม่มีใครยินดีจะเป็นคนที่ถูกทิ้งเอาไว้”
หยวนชิงหลิงน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา กุมมือของเขาเอาไว้แน่น
ชายแท้ๆบางครั้งก็สามารถพูดคำพูดหวานหูแปลกๆได้เช่นกัน เพราะว่าเดิมทีพวกเขาเองก็เป็นพวกแปลกประหลาดอยู่แล้ว
คนตายไปแล้วทุกสิ่งก็สิ้นสุดลง แต่คนที่ยังมีลมหายใจอยู่นั้นทรมานที่สุด
อาหารค่ำที่ท่านชายสี่เหลิ่งจัดเตรียมไว้หลากหลายมาก หมอหลินไม่ได้ออกมากินข้าวพร้อมกับทุกคน ท่านชายสี่เหลิ่งจึงได้สั่งให้คนส่งไปให้นาง ให้นางกินข้าวในเรือนของตนเอง
ตอนที่กินอาหาร หยู่เหวินเห้าพยายามหวนนึกถึงธรรมเนียมและข้อปฏิบัติเวลากินข้าวในวังที่เคยเรียนรู้มา พยายามทำให้ตนเองดูภูมิฐานและเหมาะสม
แม้ว่าเขาจะดูระมัดระวังจนแทบจะกินไม่ลง แต่ก็โชคดีที่ไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น
ท่านชายสี่เหลิ่งสั่งให้คนรินเหล้า หยู่เหวินเห้ากำลังคิดอยากจะดื่มสักแก้วเพื่อบรรเทาสติที่ตื่นเต้นจนอัดแน่นไปหมด แต่มือเพิ่งจะแตะถูกแก้วเหล้า เขาก็ค่อยๆหดมือกลับไป “ข้า ข้าไม่ค่อยชอบดื่มเหล้านัก”
ภาพลักษณ์ที่เจอกันครั้งแรกไม่ค่อยดีนัก เขาไม่สามารถฝากภาพลักษณ์ของคนชอบกินเหล้าให้คุณย่าได้เห็นอีก
ท่านชายสี่เหลิ่งประสานสายตากับอ๋องชินสู้แวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกว่ารัชทายาทน่าแปลกมาก ในราชนิกุลเป่ยถังยังมีคนที่ไม่ชอบดื่มเหล้าด้วยหรือ เป่ยถังเดิมทีก็เป็นชนชาติที่ชื่นชอบการดื่มเหล้าชาติหนึ่ง
ท่านชายสี่เหลิ่งเป็นคนนิสัยเฉยชา เชิญชวนให้ดื่มเหล้าไม่เป็น ในเมื่อเขาบอกว่าไม่ดื่มเช่นนั้นก็ไม่บังคับ เพียงแค่ยกแก้วเหล้าชูให้กับอ๋องชินสู้
ระหว่างงานเลี้ยง ท่านชายสี่เหลิ่งได้ถามหยู่เหวินเห้า “ใช่แล้ว ค่ำนี้ตอนที่ท่านมาถึง ทำไมจึงมีคราบเลือดเต็มร่างไปหมด”
หยู่เหวินเห้าคลุมเครือผ่านๆไปว่า “มีคดี”
กำลังกินข้าว พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องคาวเลือด จะทำให้ผู้อาวุโสตกใจได้
แต่ว่า หยวนชิงหลิงเห็นเขาค่อนข้างสำรวม กำลังคิดจะหาหัวข้อสนทนาเพื่อให้เขาได้ผ่อนคลายบ้าง จึงถามขึ้นว่า “คดีอะไร ทำไมท่านต้องไปจัดการด้วยตนเอง”
หยู่เหวินเห้าแอบเหลือบมองคุณย่าแวบหนึ่ง เห็นนางไม่ได้มีปฏิกิริยาไม่พอใจแต่อย่างไร กลับมองเขาอย่างอยากรู้ ราวกับกำลังรอให้เขาพูด
เขาจึงค่อยๆวางตะเกียบลง พูดว่า “หัวหน้าพลตระเวนมีธุระขอลา พอดีข้าว่างจึงไปช่วยจัดการ เป็นคดีฆาตกรรมในถนนเฉิงอัน คนตายเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง เปลือยกาย……เอ่อ เบื้องต้นสงสัยว่าทั้งสองอยู่ด้วยกันและถูกฆ่าหลังจากทำเรื่องอย่างว่า”
คำพูดเหล่านี้ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ก็คงพูดออกไปจนหมด
แต่วันนี้เขาต้องควบคุมตนเอง พยายามไม่พูดสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกไป
ท่านชายสี่เหลิ่งออหนึ่งเสียง “เช่นนั้นก็เป็นการแอบมีสัมพันธ์แบบลับๆของชายโฉดหญิงชั่ว ถูกจับได้คาหนังคาเขา จากนั้นก็ถูกฆ่าตายใช่หรือไม่ ”
หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างกระดากว่า “เรื่องนี้ ยังต้องตรวจพิสูจน์อีก”
ท่านชายสี่คนนี้ช่างไม่มีความเป็นคนมีการศึกษาเลยสักนิด คำพูดที่ไม่น่าฟังเหล่านี้ยังสามารถพูดออกมาต่อหน้าผู้อาวุโสได้ หมาหัวเน่า
“กินข้าว กินข้าว”อ๋องชินสู้มองออกถึงท่าทีระมัดระวังสำรวมของหยู่เหวินเห้า จึงได้ตัดบทสนทนา
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว หยู่เหวินเห้ายังต้องกลับไปที่ทำการปกครอง แต่ก็เกรงว่าจะเป็นการเมินเฉยแต่คุณย่าหยวน ฉะนั้นจึงได้รอดูอยู่ว่าคุณย่าจะมีคำถามอะไรถามเขาหรือไม่
หยวนชิงหลิงบอกกับเขาว่า “ท่านไปยุ่งงานของท่านเถอะ ข้ากับคุณย่าจะไปรอท่านที่จวน”
คุณย่าหยวนก็เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ใช่แล้ว หลานเขยต้องทำงานนอกเวลาก็รีบไปเถอะ อย่าเสียเวลาในการทำงานเลย”
ในใจของหยู่เหวินเห้ารู้สึกผ่อนคลายลงไปเฮือกหนึ่ง ยืนขึ้นและเอ่ยอย่างเคารพนับถือว่า “เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน ประเดี๋ยวให้สวีอีมารับพวกท่านกลับไป”
เขาเผลอยื่นมือออกไปจะลูบศีรษะของหยวนชิงหลิง ท่าทีนี้เป็นความเคยชิน ทุกครั้งก่อนจะออกจากบ้านต้องกอดต้องหอมกันทีหนึ่ง ถ้าหากมีคนอยู่ด้วยก็จะยื่นมือออกไปลูบที่ศีรษะทีหนึ่ง นับเป็นการกล่าวลา
แต่ว่าตอนนี้ได้ยื่นมือออกไปแล้ว เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าท่าทางนี้บางทีคงไม่เหมาะสม คุณยายคงดูไม่ชินตา จึงได้แข็งใจเก็บมือกลับมา หมุนตัวเดินจากไป
คุณยายหยวนเห็นทุกอย่าง รู้ว่าทั้งสองคนมีความรู้สึกต่อกันลึกซึ้ง ในใจก็รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างยิ่ง
หยวนชิงหลิงยืนยันว่าจะพาคุณย่ากลับจวนไปด้วยกัน สวีอีได้เตรียมรถม้าที่มีความกว้างขวางนั่งสบายมากขึ้นรออยู่ข้างนอกแล้ว หยวนชิงหลิงเกรงว่าคุณย่าหยวนจะนั่งไม่ชิน โคลงเคลงไม่สบายตัว จึงใช้ให้สวีอีค่อยๆขับไป
คุณย่าหยวนพูดยิ้มๆว่า “เด็กโง่ ย่าเดินทางมาจากต้าซิง คุ้นเคยกับพาหนะในการเดินทางอย่างนี้แล้ว อีกอย่าง ย่าดูอ่อนแอมากเลยหรือ”
“อ่อนแอมากที่สุด”หยวนชิงหลิงกอดแขนของนางเอาไว้ มองนางตาปริบๆ ในดวงตายังคงรื้นไปด้วยน้ำตา “คุณย่า ตอนนี้คุณแม่ดีขึ้นมากแล้วจริงหรือ คุณย่าอย่าหลอกหลานนะ”
“จะหลอกหลานทำไม ”คุณย่าหยวนมองนาง ยื่นมือออกไปจัดระเบียบผมให้เข้าที่ พูดว่า “ช่วงเวลาที่หลานเกิดเรื่องขึ้น อาการของแม่หลานค่อนข้างวิกฤติจริงๆ เป็นโรคซึมเศร้า แต่ว่าหลังจากที่โม่ยี่มาแล้ว รู้ว่าหลานยังมีชีวิตอยู่ แม่เขาก็วางใจ แต่สุดท้ายแล้ว โรคทางใจก็ต้องรักษาด้วยยาทางใจ ย่ามาหาหลานที่นี่ พวกเขาก็รับรู้ เขียนจดหมายให้หลายด้วย อยู่ในห่อของของย่า ประเดี๋ยวถึงบ้านแล้ว ย่าจะเอาจดหมายให้หลาน”
“จริงหรือ”หยวนชิงหลิงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “จนตอนนี้หลานก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าคุณย่ามาที่นี่จริงๆ เหมือนกับเป็นความฝัน”
“แล้วหลายคิดว่าใช่หรือเปล่า”ดวงตาของคุณย่าหยวนมีน้ำตารื้นขึ้นมา “รสชาติของคนผมขาวส่งศพคนผมดำ ช่างทรมานจริงๆ หลานเป็นเด็กฉลาดตั้งแต่เล็กๆ ไอคิวสูง อายุน้อยๆก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวเอง ถ้าหากไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น วันหน้าไม่แน่ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่โตมากแค่ไหน คนภายนอกต่างก็รู้สึกเสียดายหลานมาก แต่คนในครอบครัวก็ได้แต่เจ็บปวดใจ”
จนถึงตอนนี้หยวนชิงหลิงก็ยังคิดไม่ออกว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากจะบอกว่าขนาดของยามากเกินไป ทำให้หัวใจวายจนตาย ตายก็คือตาย ทำไมจึงมีการล่องลอยมาอยู่ในร่างคนของอีกมิติหนึ่งได้
นางนึกถึงคำพูดของผู้อาวุโสที่เคยพูดไว้ จึงรีบถามขึ้นว่า “คุณย่า พวกคุณย่าแช่แข็งหลานเอาไว้ใช่ไหม”
คุณย่าหยวนพยักหน้าพูดว่า “ถูกต้อง แม้ว่าการเต้นของหัวใจกับลมหายใจของหลานจะไม่มีแล้ว แต่สมองของหลานยังไม่ตาย ฉะนั้น พวกเขาคิดว่าวิทยาการทางการแพทย์ในอนาคตจะช่วยให้หลานมีชีวิตขึ้นมาได้ ฉะนั้นจึงแช่แข็งหลานเอาไว้”
ก่อนหน้านี้หยวนชิงหลิงยังไม่ค่อยเชื่อคำพูดของผู้อาวุโสสักเท่าไหร่ แต่ว่าแม้แต่คุณย่าก็พูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเซลล์สมองของนางยังไม่ตายจริงๆ
หัวใจยังคงเต้นแต่สมองตายแล้วเรื่องเช่นนี้ก็มีอยู่ แต่หัวใจหยุดเต้นลมหายใจก็หยุดลง แต่เซลล์สมองยังคงมีชีวิตอยู่เช่นเดิม นางคิดเท่าไรก็คิดหาคำอธิบายออกมาไม่ได้
“แล้วหลังจากที่หลานตายแล้ว พวกนิตยสารด้านการแพทย์มีการวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหานี้บ้างหรือเปล่า”หยวนชิงหลิงถาม
“ไม่ได้มีความคิดเห็นที่ล้ำเลิศมาก กระทั่งมีคนบางคนสงสัยว่านี่คือการจัดฉากของบริษัทชีววิทยาที่หลานทำงานอยู่”คุณย่าหยวนมองนาง “ที่จริง ยาที่หลานเป็นคนค้นคว้าหลานต้องเป็นคนที่เข้าใจดีที่สุด หลานคิดว่าเพราะสาเหตุอะไรกันเล่า”
หยวนชิงหลิงเองก็เคยคิด แต่ว่า หลังจากที่นางมาถึงที่นี่ ไม่รู้ถึงสถานการณ์ของร่างเดิมของตัวเอง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับสมองนางเองก็จับใจความอะไรไม่ได้ ยากจะที่วิเคราะห์ออกมา
นิ่งไปชั่วครู่ นางพูดว่า “หลานเคยคิดว่าเป็นไปได้ที่ฤทธิ์ของยาที่ทำการค้นคว้าทำให้หัวใจของหลานแบกรับไม่ไหว ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย แต่เมื่อมองจากทุกมุมแล้ว ยาของหลานได้ทำการทดลองจนสำเร็จแล้ว หลังจากฉีดยาเข้าไป ทำให้เซลล์สมองยังคงการแล่นอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ก็ยังคงทำให้เกิดเซลล์ใหม่ขึ้นมาไม่หยุด”