บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 641 เสแสร้งทั้งนั้น
นางไล่แม่นมและบ่าวไพร่ออกไปจนหมด จากนั้นก็ให้คนยกน้ำชาดอกมะลิมาให้หยวนชิงหลิงหนึ่งแก้ว มองหยวนชิงหลิงและพูดว่า “ทำไมวันนี้จึงมีเวลาว่างได้ล่ะ”
“อืม พาฮูหยินเฒ่ามาเดินเล่น ”หยวนชิงหลิงดื่มชาไปคำหนึ่ง รู้สึกถึงกลิ่นหอมที่พุ่งขึ้นมาตรงจมูก “ชานี้ซื้อที่ไหน รสชาติดี”
“ข้าตากเอง เจ้าชอบหรือ ประเดี๋ยวแบ่งเอากลับไปบ้าง”พระชายาจี้มองนาง มองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ยินว่าเมื่อคืนเจ้าถูกคนโยนไข่ใส่หรือ”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ช่างเป็นอย่างที่เขาว่าเรื่องดีไม่มีใครพูดถึงแต่เรื่องร้ายๆกลับแพร่ไปไกลเป็นพันลี้จริงๆ เพิ่งจะคืนเดียวเอง ก็มีข่าวมาถึงเจ้าที่นี่แล้ว”
พระชายาจี้ฮึหนึ่งเสียง “ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรที่จวนอ๋องฉู่จะปิดบังข้าไว้ได้ ข้าให้คนคอยจับตาดูอยู่”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าคงส่งคนสอดแนมเข้าไปอยู่ในทุกจวนจริงสินะ”หยวนชิงหลิงวางแก้วชาลง ถามขึ้น
พระชายาจี้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง “ไม่มีแน่นอน อย่างน้อยที่จวนอ๋องฉู่ไม่มี เพียงแต่ข้าหูตาไว รู้ก่อนก็เท่านั้นเอง”
หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ไม่ต้องแก้จัง แม้เจ้าจะส่งคนสอดแนมข้าก็ไม่กลัว ข้าไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี ถามเจ้าเรื่องหนึ่ง อะหลูที่อยู่ในจวนอ๋องอันคนนั้นมีที่มาอย่างไร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับอ๋องอัน ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดถึง แต่ว่าตอนนั้นข้าไม่มีจิตใจจะฟัง ตอนนี้เพิ่งจะรู้ตัวว่าอะหลูคนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ”
พระชายาจี้เอ่ยขึ้นอย่างสบายๆว่า “ตอนที่เล่าให้เจ้าฟัง เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้ล่วงเกินเจ้าถึงตรงหน้าแล้ว เจ้าจึงจะใส่ใจ ข้าบอกอยู่เสมอว่าเป็นคนต้องดับไฟตั้งแต่ต้นลม เจ้าก็ไม่ฟัง”
“ข้าไม่ฟังที่ไหนกัน นี่ก็เรื่องแล้วเรื่องเล่า ยุ่งจนสมองจะระเบิดแล้ว เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ พวกเราไม่เจอหน้ากันนานแค่ไหนแล้ว ใช่แล้ว เจ้ายังไม่บอกเลยว่าที่อ๋องจี้เปลี่ยนไปมันเป็นอย่างไรกันแน่”
พระชายาจี้เปลี่ยนท่านั่ง คิ้วเลิกขึ้น มองไปยังอ๋องจี้ที่คอยปรนนิบัติคุณย่าหยวนอย่างเอาใจใส่อยู่ในสวนดอกไม้ทางโน้น สายตามีแววประกายแหลมคมผุดขึ้นมา
“เขาก็แค่หัวสมองได้สติขึ้นมากะทันหัน รู้ว่าจำเป็นต้องพึ่งข้าเขาจึงจะสามารถรักษาตำแหน่งอ๋องในปัจจุบันนี้ไว้ได้ ในความเอาใจใส่นี้ ล้วนเป็นยาพิษ ”
“เขายังไม่ปล่อยวางเรื่องแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหรือ”หยวนชิงหลิงถามขึ้น
พระชายาจี้ยิ้มขึ้นมา สายตายังคงมีแววแหลมคมมาก “สุนัขถ้ามันได้กินขี้ ได้ลองลิ้มชิมรสชาติของอร่อยในคำแรก ก็จะไม่มีวันหยุดลงได้ ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเขาปล่อยวางไปแล้ว คิดว่าใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงเช่นนี้ตลอดไปก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ขอเพียงเขาไม่สร้างเรื่องให้จวนอ๋องจี้ให้ข้าต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากก็พอ แต่ไหนเลยจะรู้ว่า เพิ่งจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาได้เพียงเล็กน้อย หางจิ้งจอกของเขาก็โผล่ออกมาทันที”
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าที่แฝงไปด้วยแววแห่งความเหนื่อยล้า คิดว่าชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่ชีวิตที่คนจะดำเนินไปได้ ทำให้นางลำบากใจแล้ว
“แต่ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็มีความสามารถในการคุ้มครองตัวเองได้ พวกคนชั่วช้าทั้งหลายอย่าคิดว่าจะเข้าใกล้ตัวข้าได้ เมื่อเทียบกันแล้ว สะใภ้ของเจ้าสี่นั้นน่าอนาถกว่าข้ามาก ”พระชายาจี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดถึงพระชายาอัน
“นางน่าอนาถ แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าพบนางยังรู้สึกว่านางมีความสุขมาก อ๋องอันก็ปฏิบัติต่อนางไม่เลว และตอนนี้ในจวนก็ยังไม่มีสนม”
หยวนชิงหลิงพูดจากความรู้สึกระหว่างสามีภรรยาล้วนๆ พระชายาอันนับว่ามีชีวิตที่ไม่เลว ความรักใคร่เอ็นดูที่อ๋องอันมีต่อนางก็สามารถมองออกได้
“เจ้าสี่ดีต่อนางนั้นไม่ผิด เลี้ยงดูนางราวกับเป็นลูกสาว ทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง ไม่แต่รองพระชายา แต่ว่าข้างนอกนั้นเจ้าสี่มีผู้หญิงตั้งกี่คน อย่างเช่นอะหลูที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่ ก็เป็นคนปรนนิบัติข้างหมอนของเจ้าสี่ อวดเบ่งเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ชายาเอกยังกดหัวได้ พระชายาอันเหมือนนกกระทาตัวหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้อง”พระชายาจี้เอ่ยเสียงเย็น
หยวนชิงหลิงรีบถามขึ้นทันที “อวดดีอย่างไร อวดดีแค่ไหนก็คงจะกดหัวพระชายาอันไม่ได้กระมัง นางไม่มีแม้แต่สถานะตำแหน่งด้วยซ้ำ ”
“สถานะรองพระชายานางก็ไม่มองนี่นา นางอยากจะเป็นชายาเอก แต่ว่าคนอย่างเจ้าสี่ เรื่องอื่นๆเขาอาจจะไม่ดี มีเพียงเรื่องที่เขาปฏิบัติต่อภรรยาตนเองเท่านั้นที่ไม่เลวเลย ไม่ว่าจะทำอะไรเรื่อยเปื่อยข้างนอกก็ไม่เคยแปดเปื้อนเข้าไปในจวนให้สะใภ้ต้องรู้สึกรังเกียจ ส่วนอะหลูคนนั้น เพราะว่ามีความสามารถเล็กน้อย ช่วยงานเขาได้ จึงถูกให้ความสำคัญ แต่ว่าอะหลูวางตำแหน่งของตนเองได้ไม่ถูกต้อง คาดว่าไม่ช้าคงต้องประสบเคราะห์กรรมแน่”
“นี่ก็น่าแปลกมาก ถ้าหากบอกว่าใช้งานได้ ก็ใช้ในฐานะที่เป็นคนวางแผนก็พอ ทำไมต้องให้เป็นคนข้างหมอนด้วยเล่า อีกอย่างเขาก็รักภรรยามาก นี่ไม่เท่ากับทำให้ภรรยารังเกียจหรือ”
พระชายาจี้มองนราง ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจผู้ชายหรืออย่างไร ในสมองของผู้ชายก็คิดได้แต่เรื่องเช่นนั้น ย่อมคิดว่าผู้หญิงพลีกายให้เขาแล้ว ก็จะเชื่อฟังและทำตามทุกอย่าง มีแต่ให้ไม่มีการร้องขอ หลายปีมานี้อะหลูทำงานชั่วช้าให้เขาไม่น้อย ถ้าถูกเปิดเผยออกไปคงเป็นเรื่องใหญ่ เขาคิดว่าขอเพียงอะหลูเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว ก็จะไม่มีทางผิดพลาดได้ แต่เขาไม่รู้ ผู้หญิงก็มีจิตใจทะเยอทะยานเช่นกัน การตั้งครรภ์ของพระชายาอัน เกรงว่าจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่ รอดูเถอะ ไม่เกินครึ่งเดือน ต้องแท้งแน่”
หยวนชิงหลิงตกใจ “พระชายาอันท้องแล้วหรือ ทำไมจึงไม่ได้ยินข่าวคราว อีกอย่าง อ๋องอันยังอยู่ที่ค่ายทหารมิใช่หรือ”
“อย่างแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาเลย หว่านเมล็ดพันธุ์สร้างเด็กใช้เวลานานแค่ไหนใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ อ๋องอันนั้นอยู่ค่ายทหารจริง แต่ก็กลับเมืองหลวงเป็นครั้งคราว ตอนนี้เพิ่งจะตรวจวินิจฉัยออกมาว่าตั้งครรภ์ ไม่เกินสามเดือนจะไม่แพร่งพรายออกไปข้างนอกเด็ดขาด คนนอกย่อมไม่รู้แน่นอน ”
หยวนชิงหลิงนึกถึงพระชายาอันที่เป็นคนอ่อนแอ ถ้าหากอะหลูมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่จริง นางคงรักษาเด็กคนนี้เอาไว้ไม่ได้แน่
อ๋องอันเป็นเดนคน แต่ว่าพระชายาอันนั้นไม่เลวเลย
พระชายาจี้มองนาง “ทำไม ทนไม่ได้หรือ”
หยวนชิงหลิงไม่พูดอะไร แม้ว่าจะรู้สึกทนไม่ได้ แต่มือนางก็ยาวไม่พอที่จะยื่นเข้าไปใจจวนอ๋องอัน
พระชายาจี้พูดเสียงเรียบๆว่า “เป็นแม่คน ทนไม่ได้นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากแม้แต่จิตใจที่เกิดความสงสารก็ไม่มี เช่นนั้นการเป็นคนก็มีความรักที่เบาบางเกินไปแล้ว”
หยวนชิงหลิงมองนาง รู้สึกคิดไม่ถึง “คำพูดนี้ออกมาจากปากเจ้า ข้ายังรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง”
พระชายาจี้หัวเราะ ในสายตามีแววนิ่งขรึมอ่อนๆ “เดิมทีคิดว่าข้าเลือดเย็นใช่หรือไม่ เพราะว่าข้าฆ่าฉินเฟยและลูกในท้องของนาง นั่นมันไม่เหมือนกัน เด็กคนนั้นไม่สมควรมาเกิด มาแล้วก็จะต้องโทษ ความลับเช่นนี้มันปิดบังไม่ได้ ด้วยนิสัยใจคอของหยู่เหวินจุนเขาจะปล่อยเด็กคนนั้นไปหรือ ยังไม่สู้ไม่มาเสียดีกว่า”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “เจ้าพูดถูก มาแล้วก็ต้องรับโทษ”
พระชายาจี้พูดว่า “เรื่องของจวนอ๋องอัน เจ้าไม่ต้องสนใจ มากขึ้นหนึ่งเรื่องไม่สู้น้อยไปหนึ่งเรื่อง และเจ้าเองก็ไม่รู้จะเริ่มสนใจตั้งแต่ตรงไหน”
หยวนชิงหลิงเข้าใจ “เรื่องนี้ข้าคงยุ่งไม่ได้ เรื่องของข้าก็เยอะแล้ว”
ร่างกายของพระชายาจี้ค่อยๆเอนไปข้างหลัง สายตาเย็นชามองไปทางนั้น หยวนชิงหลิงก็เอียงคอมองตามไป เห็นเพียงอ๋องจี้พาคุณย่ากลับมาแล้ว ดูแลเอาใจใส่ตลอดทาง
คุณย่าหยวนกลับมาแล้วก็เอาแต่ชื่นชมไม่ขาดปาก “ท่านอ๋องจี้บอกว่าดอกไม้ในสวนเหล่านี้ ล้วนเป็นเขาที่ลงมือปลูกเอง ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ”
หยวนชิงหลิงมองไปทางอ๋องจี้ ใบหน้าของอ๋องจี้มีรอยยิ้มอบอุ่นจริงใจแขวนอยู่ ราวกับผู้ชายอบอุ่นอย่างไรอย่างนั้น หลังจากประคองคุณย่าหยวนนั่งลง ก็เอ่ยอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่า “ฮูหยินเฒ่าท่านชมเกินไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่ได้มีงานอดิเรกอะไร ก็ชื่นชอบแต่การปลูกต้นไม้ดอกไม้ ยากนักที่จะพบกับคนที่รู้ใจ ฮูหยินเฒ่าต้องมาที่นี่บ่อยๆ”
คุณย่าหยวนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”
จากนั้นนางก็มองไปทางพระชายาจี้ เอ่ยยิ้มๆว่า “พระชายาจี้มีวาสนาจริงๆ”
พระชายาจี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ฮูหยินเฒ่าท่านพูดถูก ข้านั้นมีวาสนาจริงๆ”
อ๋องจี้นั่งลง ยกน้ำชาขึ้นส่งไปตรงหน้าพระชายาจี้ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ดื่มเถอะ ดื่มน้ำสักคำ”
พระชายาจี้รับน้ำชามา ค่อยๆดื่มหนึ่งคำ แววตาขุ่นมัวเมื่อครู่ได้จางหายไปแล้ว ที่มาแทนที่คือแววตาที่หวานฉ่ำ “ได้ ขอบคุณท่านอ๋อง”
หยวนชิงหลิงมองเห็น รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง