บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 644 เรียกตัวหยวนชิงหลิงไปที่หมู่ตึกเหมย
คุณย่าหยวนได้ยินแล้ว ก็เผยรอยยิ้มแห่งปัญญาออกมา “อืม ไม่สามารถปล่อยวางได้ง่ายๆ แต่ว่า พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องปะทะ พรุ่งนี้ย่าจะพาหลานออกไปเยี่ยมหมอหลิน หมอหลินไปพบแขกที่หมู่ตึกเหมย ได้เชิญพวกเราให้ไปพักที่นั่นสักครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน”
หยวนชิงหลิงเข้าใจขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างดีใจว่า “คุณย่า คุณย่าฉลาดมาก”
คุณย่าหยวนหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่ใช่ย่าฉลาด แต่ว่าย่ามีประสบการณ์ในเรื่องต่างๆมามาก ประสบการณ์ในการรับมือเรื่องพวกนี้มีอยู่มากมาย ใต้ฟ้านี้มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถทำให้ให้ทั้งสองฝ่ายพอใจได้ แต่ว่า พวกเราสามารถทำอย่างสุดความสามารถได้ ”
จวนโสวฝู่
หลังจากที่ทั้งสามคนคุยกันคร่าวๆแล้ว ต่างก็เข้าสู่ภวังค์แห่งความเงียบขรึม
เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน ว่า “อ๋องอันมีใจทะเยอทะยาน ฮ่องเต้ก็รู้ดี ถ้าหากเขาเรียกอ๋องอันกลับมาเพื่อสืบทอดตำแหน่งเจ้ากรมการพระนครด้วยอารมณ์ชั่ววูบ จะทำให้เกิดเป็นหายนะครั้งใหญ่”
เขามองโสวฝู่ฉู่ ถามขึ้นว่า “โสวฝู่ ท่านคิดว่าฮ่องเต้จะทำเช่นนี้จริงหรือ ”
โสวฝู่ฉู่พยักหน้ารับ “จริง”
หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างหนักอึ้งว่า “ข้าเองก็คิดว่าเสด็จพ่ออาจจะทำเช่นนั้นจริงๆ แต่เขาคงไม่ได้คิดจะให้เจ้าสี่กุมอำนาจอย่างแท้จริง เขาคิดว่าตนเองสามารถควบคุมเจ้าสี่ได้ ฉะนั้นจึงใช้วิธีนี้ในการบีบบังคับหรือลงโทษข้า ”
โสวฝู่ฉู่พูด “รัชทายาทพูดถูกเพียงครึ่งเดียว ฮ่องเต้นั้นคิดว่าตนเองสามารถควบคุมอ๋องอันได้จริงๆ แต่ไม่ใช่เพื่อจะลงโทษท่าน แต่เพราะคิดว่าท่านหัวแข็งดื้อรั้น อาจไม่ใช่วาสนาแท้จริงของเป่ยถังก็ได้”
เหลิ่งจิ้งเหยียนอึ้งไปชั่วครู่ “โสวฝู่ ความหมายของท่านก็คือฮ่องเต้เคยคิดจะปลดรัชทายาทอย่างนั้นหรือ”
โสวฝู่ฉู่เอ่ยอย่างลึกซึ้งกระตุ้นความสนใจว่า “อย่างน้อย เขาคิดว่ามีคนคนหนึ่งสามารถถ่วงดุลรัชทายาทได้นั้นถูกต้องแล้ว”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดด้วยเสียงอ่อนๆว่า “ใช่ ตอนนี้คนมากมายต่างก็คิดว่าตำแหน่งรัชทายาทนั้นได้มาอย่างง่ายดาย รัชทายาทไม่จำเป็นต้องมีความสามารถโดดเด่น ความปรารถนาแรกเริ่มของฮ่องเต้นั้นดี แต่อ๋องอันไม่ใช่หมาป่าน้อยแสนเชื่อง แต่เป็นหมาป่าล่าเนื้อที่โหดเหี้ยม”
หยู่เหวินเห้าน้ำเสียงสุขุม “ถ้าเป็นเช่นนี้ สุดท้ายไม่ว่าพระชายารัชทายาทยอมประนีประนอมหรือไม่ เสด็จพ่อก็ต้องให้เจ้าสี่กลับเมืองหลวงอยู่ดี ”
“ไม่ผิด แต่จะให้เขารับตำแหน่งเจ้ากรมการพระนครหรือไม่นั้น ไม่แน่นอน ”โสวฝู่พูด
หยู่เหวินเห้ารู้สึกโมโหขึ้นมาทันที “ไม่ง่ายเลยที่จะเตะเขาออกไปได้ แลกกับความสงบสุขครึ่งปี เขาก็จะกลับมาสร้างความปั่นป่วนอีกแล้ว เกรงว่าเป่ยถังนี้คงไม่มีวันได้สงบสุขจริงๆ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ยอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่า “ขอเพียงฮ่องเต้ไม่ยอมปล่อยวางเขาสักที ในที่สุดเขาก็ต้องกลับมา ลมฝนครั้งนี้ อย่างไรเสียก็ต้องมาอยู่ดี ก็แค่ปัญหาจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าเท่านั้น แต่โชคดีที่ครึ่งปีมานี้ ท่านเองก็สะสมสายสัมพันธ์กับผู้คนไว้ไม่น้อย และยังตัดขาดผู้ช่วยฝีมือดีของอ๋องอันทิ้งไป ถ้าหากต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อกันจริงๆ ยังไม่แน่ว่าอำนาจจะตกอยู่ในมือของใคร”
แม่ทัพหลอแห่งองครักษ์ลับผี เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยผู้ทรงอิทธิพล พระชายาจี้ ท่านชายสี่เหลิ่ง ดูจากภายนอกแล้ว เป็นภาพลักษณ์ที่ดีมาก
แต่เสียดายที่ช่วงนี้เรื่องของเขาโรคเรื้อนนั้นทำให้จิตใจของราษฎรขาดความเชื่อมั่น ขุนนางไม่น้อยต่างก็คิดว่ารัชทายาทนั้นสะเพร่าและใจร้อนมากเกินไป ไม่สนใจผลที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ไม่ใช่คนที่คิดการรอบคอบและระมัดระวัง
โสวฝู่ฉู่พูดว่า “ครั้งนี้เรื่องของเขาโรคเรื้อนวุ่นวายใหญ่โตนัก ก็คือของขวัญการพบหน้าที่อ๋องอันส่งมาให้เมื่อกลับมา ภายหน้าจะมีมาต่อเนื่องเรื่อยๆ รอรับกระบวนท่าก็พอ รัชทายาทเป็นคนเปิดเผย ไม่สู้อ๋องอันที่เป็นคนเชี่ยวชาญในการวางแผนชั่วร้ายเช่นนั้น และที่เขาจัดเตรียมไว้ในหลายปีมานี้ ล้วนจัดการอย่างลับๆ จะรับกระบวนท่าของเขายังคงต้องลำบากมาก ตอนนี้มีคดีฆาตกรรมหลายคดี ก็ไม่จำเป็นต้องคิดในทางที่ซับซ้อนนัก ส่วนมากเป็นฝีมือของอ๋องอันที่สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อเป็นการยืนยันว่ารัชทายาทนั้นไร้ความสามารถในการทำงาน ”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เดิมทีข้าเองก็เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ เพราะว่าช่วงนี้มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นหลายคดี ทั้งหมดแทบจะไร้ร่องรอยให้สืบค้นต่อ แต่ว่าคดีคนตายคู่ที่สงสัยว่าแอบมีความสัมพันธ์อย่างลับๆนั้น ตอนนี้สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของสามีของผู้ตายฝ่ายหญิง ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดว่า “พวกคดีที่ไม่มีปมของเรื่อง วางไว้ก่อนอย่าเพิ่งทำ ทำเรื่องที่มีปมเบาะแสก่อน ไขได้หนึ่งคดีก็ยังดี แม้ว่าฮ่องเต้บอกว่าจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่งหน้าที่ แต่ว่ายังไม่มีราชโองการ กรมข้าราชการพลเรือนก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ก็ให้ทำต่อไปก่อน แม้จะไขได้แค่หนึ่งคดีก็ยังดี”
หยู่เหวินเห้าเองก็คิดเช่นนี้ ทั้งสามพูดคุยกันต่ออีกสักพัก แล้วก็ต่างแยกย้ายกลับจวน
กลับถึงจวน หยวนชิงหลิงเล่าให้เขาฟังถึงข้อเสนอแนะของคุณย่า หยู่เหวินเห้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ต้องขอร้องให้หมอหลินช่วยโกหกด้วย
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เรื่องนี้ทำได้ หาหรงเยว่ให้ช่วยพูดก็ได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าดึงตัวนางมาข้างหน้าเพื่อกอดเอาไว้ มองใบหน้าที่เหนื่อยล้าของนาง รู้สึกสงสารมาก “เพียงแต่ถ้าต้องขึ้นไปอยู่บนเขาเป็นเวลานับเดือน ข้างบนนั้นนอนไม่อิ่ม กินก็ไม่ดี เจ้าจะลำบากมาก”
หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ลำบากแล้วอย่างไร ข้าจะได้ฝึกฝนวิชาตัวเบาบนเขาพอดี บางทีตอนข้าลงจากเขา ข้าอาจจะกลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพก็ได้”
หยู่เหวินเห้าก็ยิ้มตามขึ้นมา แต่ว่ารอยยิ้มนี้ดูจะลำบากใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กอดนางเข้าสู่อ้อมอก “ได้ ข้าจะรอ”
วันรุ่งขึ้น ในช่วงการประชุมเช้าของราชสำนักอ๋องชินสู้ได้เข้าวังเพื่อกล่าวลากลับประเทศ เหล่าขุนนางย่อมต้องแสดงออกถึงความเสียดาย
ฮ่องเต้หมิงหยวนเองก็รู้สึกเศร้า ให้เขาอยู่ต่ออีกสักหน่อย
อ๋องชินสู้ใช้เหตุผลในเรื่องงานทางทหารที่ยุ่งมากปฏิเสธไป จากนั้นก็เอ่ยว่ามีเรื่องจะขอร้องเล็กน้อย
อ๋องชินสู้บอกว่ามีเรื่องจะขอร้องเล็กน้อย ย่อมต้องดึงดูดความระแวงและความสนใจของฮ่องเต้หมิงหยวนและเหล่าขุนนางทั้งหลาย ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปว่า “เชิญท่านอ๋องพูดมาเถอะ”
อ๋องชินสู้ก้มร่างคำนับ “ฮ่องเต้ ครั้งนี้ที่กระหม่อมมาร่วมงานแต่งงานของอ๋องหวยกับหรงเยว่ ยังมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งติดตามมาด้วย ตอนนี้ผู้อาวุโสได้พำนักอาศัยอยู่ที่หมู่ตึกเหมยพร้อมกับชายาเฟิงอัน บางทีอาจอยู่สักเดือนสองเดือน เมื่อวานตอนที่กระหม่อมไปอำลา ผู้อาวุโสถามว่าสามารถเชิญให้พระชายารัชทายาทไปอยู่ที่หมู่ตึกเหมยเป็นเพื่อนสักพักได้หรือไม่”
ข้อเสนอแนะของอ๋องชินสู้นี้ แม้จะไม่ค่อยมีมารยาทนัก ผู้อาวุโสของอ๋องชินสู้ไม่แน่ว่าจะเป็นคนในราชวงศ์ และเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสฝ่ายตระกูลมารดา แต่ไม่ว่าจะมีสถานะอะไรก็ตาม ต้องการให้พระชายารัชทายาทแห่งเป่ยถังไปอยู่เป็นเพื่อนที่หมู่ตึกเหมย เป็นการยกตนขึ้นสูงเกินไปแล้ว
แต่ว่า ขุนนางเต็มราชสำนักต่างก็ไร้คนคัดค้าน เพราะว่าหลังจากพระชายารัชทายาทไออยู่ที่หมู่ตึกเหมยแล้ว ก็ไม่สามารถขึ้นเขาโรคเรื้อนได้อีก สามารถทำให้เรื่องราวสงบได้
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็เห็นด้วย แต่ว่า เขากลับถามขึ้นอย่างสงสัยอยู่บ้าง “ชายาเฟิงอันอยู่ที่หมู่ตึกเหมยหรือ”
เรื่องนี้อ๋องชินสู้รู้ แต่เขากลับไม่รู้ ในใจรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
อ๋องชินสู้เอ่ยว่า “ใช่แล้ว ชายาเฟิงอันก็เพิ่งกลับมาไม่นาน ที่สำคัญคือต้องการมาเพื่อพบปะกับผู้อาวุโสของกระหม่อม”
ฮ่องเต้หมิงหยวนถามว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสของท่านอ๋องคนนี้คือ?”
อ๋องชินสู้ยิ้มบางๆ “เป็นไท่หวงไท่เฮาเซิ่งอันแห่งต้าซิง แต่ว่าคนในใต้หล้าต่างก็เรียกนางว่าหมอหลิน”
เรื่องที่หมอหลินมาถึงเมืองหลวงแห่งเป่ยถัง เพราะไม่ได้ป่าวประกาศให้ภายนอกรับรู้ จึงมีคนมากมายที่ยังไม่รู้เรื่อง
ฉะนั้นขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ที่อยู่กันเต็มในราชสำนักเมื่อได้ยินว่าหมอหลินมา ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ตกใจจนแทบจะลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์ รีบพูดว่า
“ไท่หวงไท่เฮามาหรือ ทำไมท่านอ๋องไม่บอกกล่าวกันเล่า ให้ข้าได้ไปคำนับสักหน่อย”
อ๋องชินสู้พูดว่า “เรียนฮ่องเต้ ครั้งนี้ที่ไท่หวงไท่เฮามาเป่ยถัง หนึ่งก็เพื่อมางานแต่งงานของหรงเยว่ สองก็เพื่อมาพบปะเพื่อน นางไม่กล้าทำให้ฮ่องเต้ต้องตื่นตกใจและเป็นการรบกวน เพียงแต่มาถึงเป่ยถังแล้วได้ยินหรงเยว่พูดถึงพระชายารัชทายาทว่าเป็นเพื่อนที่ดี บวกกับพระชายารัชทายาทรู้เรื่องการแพทย์ จึงอยากจะเชิญให้พระชายารัชทายาทไปเป็นแขกที่หมู่ตึกเหมย จะได้ศึกษาเรื่องยาด้วยกัน”
ตอนนี้เอง ไม่มีใครรู้สึกว่าอ๋องชินสู้ไม่มีมารยาทแล้ว อย่าว่าแต่เขาต้องการจะให้พระชายารัชทายาทไปอยู่เป็นเพื่อนเลย แม้แต่ให้ไทเฮาไปอยู่เป็นเพื่อนก็นับว่าเป็นเกียรติแก่ไทเฮาแล้ว
ไม่ใช่เพราะตำแหน่งไท่หวงไท่เฮาเซิ่งอัน แต่เพราะวิชาแพทย์ของนางล้ำเลิศ ได้ยินว่าแม้แต่คนที่ตายไปแล้วนางยังช่วยให้ฟื้นคืนชีพได้
ฮ่องเต้หมิงหยวนรีบรับปากทันที “สมควรแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะมีคำสั่ง ให้พระชายารัชทายาทเป็นตัวแทนเป่ยถังต้อนรับไท่หวงไท่เฮาเซิ่งอันอย่างดีที่สุด”