บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 645 หมู่ตึกเหมยของอ๋องชินเฟิงอัน
ด้วยการเชิญจากไท่หวงไท่เฮาเซิ่งอันแห่งต้าซิง หยวนชิงหลิงจากที่ทุกคนต่างก็มองว่านางเป็นคนร้ายมีโทษมหันต์กลับกลายมาเป็นที่หมายปองของทุกคนอย่างกะทันหัน
มีราชโองการส่งไปถึงจวนอ๋องฉู่ หยวนชิงหลิงก็รีบเก็บข้าวของพาหมันเอ๋อกับอะซี่ออกเดินทางทันที คุณย่าหยวนย่อมต้องตามไปด้วยแน่นอน
แบ่งเป็นรถม้าสองคัน มีสวีอีกับทังหยางไปส่ง
หมู่ตึกเหมยนั้นตั้งอยู่บนภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวง ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ต้นหน้าหนาวแล้ว บนเขามีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด อากาศหนาวเย็นมาก
หลังจากรถม้ามาถึงกลางภูเขา ก็ไม่มีถนนใหญ่ให้ขึ้นเขาอีก ต้องลงจากรถม้าเพื่อเดินเท้าขึ้นไป
เพราะการเดินทางออกมาครั้งนี้อย่างน้อยต้องอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน ฉะนั้นสิ่งที่นำมาด้วยจึงมีเยอะมาก คุณย่าหยวนไม่สามารถเดินบนเส้นทางภูเขาได้ สวีอีจึงแบกนางขึ้นไป ภาระอันหนักอึ้งของสัมภาระทั้งหลายจึงตกไปอยู่ที่หมันเอ๋อกับทังหยางและอะซี่ หยวนชิงหลิงบอกว่าจะช่วย พวกเขาเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ช่วย บอกว่านางสามารถดูแลตัวเองให้เดินขึ้นเขาโดยไม่หอบหายใจได้ก็พอแล้ว
พวกเขาดูถูกหยวนชิงหลิงเกินไป นางได้มีการเปลี่ยนแปลงตั้งนานแล้ว
แม้ว่าวรยุทธจะยังไม่เท่าไหร่ แต่วิชาตัวเบานั้นฝึกได้ไม่เลว วิชาตัวเบาดี กังฟูใต้ฝ่าเท้าย่อมดีด้วย อย่างน้อยเวลาเดินก็เบาหวิวรู้จักการใช้พลัง เดินมาครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ก็ไม่เห็นนางเผยให้เห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเลย
แม้แต่ทังหยางยังเพิ่มความชื่นชมในตัวนางมากขึ้น
ทิวทัศน์ตลอดทางขึ้นเขานั้นดีมาก ที่นี่เรียกว่าหมู่ตึกเหมย สวยสมคำล่ำลือ ตลอดทางที่เดินขึ้นมาพบเห็นต้นดอกเหมยไม่น้อย มีดอกตูมขึ้นเต็มต้นไปหมด บางส่วนก็เบ่งบานให้เห็นสีชมพูอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมของดอกเหมยโชยมา ทำให้รู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นมาทันที
ในใจของหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง นางเคยพบหมอหลิน แต่ไม่เคยพบกับชายาเฟิงอัน เคยได้ยินคนพูดถึงหลายครั้ง ได้แต่มีความปรารถนามาตลอด หวังว่าจะสามารถพบกันสักครั้ง ไม่คิดว่าความฝันจะกลายเป็นจริงแล้ว
เพราะในใจมีความหวัง และความตื่นเต้นจึงเดินได้เร็วขึ้น อะซี่ก็ตามนางไม่ทัน ร้องตะโกนอยู่ข้างหลัง “พี่หยวน ท่านอย่าเดินเร็วนัก ถนนลื่นนะ ”
หยวนชิงหลิงหยุดฝีเท้าลงรอพวกเขา มองจากเบื้องสูงลงเบื้องล่างเห็นภูเขาที่ทอดยาว ความคึกคักของเมืองหลวงถูกปิดกั้นไว้ด้านนอก สูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งเฮือก อากาศนั้นบริสุทธิ์มาก
สวีอีที่แบกคุณย่าหยวนเอาไว้ขึ้นมาถึงข้างกายหยวนชิงหลิงก่อน หยวนชิงหลิงถามว่า “สวีดี เหนื่อยหรือไม่”
สวีอีพูดด้วยเสียงดังกังวานว่า “ฮูหยินเฒ่าร่างกายเบาหวิว ไม่เหนื่อยเลยสักนิด คิดถึงเมื่อก่อนตอนที่ข้าแบกหมูตัวหนึ่ง ก็สามารถก้าวเท้าได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ”
ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา ทังหยางหัวเราะพลางด่าว่า “รู้จักพูดจาหรือไม่”
คุณย่าหยวนหมอบอยู่บนหลังของสวีอี รู้สึกเกรงใจมาก “เจ้าหนุ่ม เจ้าปล่อยข้าลง ข้าสามารถเดินได้อยู่ ให้เจ้าได้พักสักหน่อยเถอะ”
“ไม่เป็นไร ข้าสามารถไปถึงยอดเขาได้ในลมหายใจเดียว ไม่เหนื่อยเลยสักนิด ฮูหยินเฒ่าท่านอย่าห่วง ข้าแบกเอาไว้ปลอดภัยมาก”สวีอีพูดอย่างได้ใจ
อะซี่พูดว่า “เจ้าน่ะไม่เหนื่อย แต่ฮูหยินเฒ่าเหนื่อยนะ เจ้าปล่อยลงมาก่อน พวกเราพักกันที่นี่ ให้ฮูหยินเฒ่าได้ขยับเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง”
สวีอีจึงปล่อยคุณย่าหยวนลงมา อะซี่ประคองนางอยู่ข้างหลังให้ยืนอย่างมั่นคงแล้วค่อยปล่อยมือ
คุณย่าหยวนอมยิ้มมองทั้งสองคน “ตลอดทางได้ยินพวกเจ้าพูดจาหัวเราะกัน รู้สึกว่าตัวเองก็อายุน้อยลงหลายสิบปี เป็นหนุ่มสาวช่างดีจริงๆ”
อะซี่แลบลิ้น เผยรอยยิ้มซุกซนออกมา ,“ฮูหยินเฒ่าดูแล้วก็อายุน้อยมาก ท่านขยับร่างกายไปก่อน ข้าจะไปเอาน้ำมาให้ท่าน”
พูดจบ ก็กระโดดโลดเต้นไปยังกระเป๋าเดินทางของหมันเอ๋อเอากาน้ำหนังวัวออกมา
คุณย่าหยวนหมุนตัว มองสวีอีและพูดว่า “เพื่อนสาวตัวน้อยของเจ้าคนนี้นิสัยดีมาก ร่าเริงและใจดี”
“เพื่อนสาวตัวน้อย”สวีอีลูบหัว หัวเราะเยาะเย้ยออกมาหนึ่งเสียง “ข้ากับอะซี่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
“แล้วพวกเจ้าจะแต่งงานกันเมื่อไหร่”คุณย่าหยวนถาม
สวีอีรู้สึกมึนงงขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยิ้มเผยให้เห็นไรฟัน “พวกเราแต่งงานกัน ข้ากับอะซี่ไม่มีทางแต่งงานกัน นางไม่เข้าตาข้า”
คุณย่าหยวนตบที่ไหล่ของเขา “นางไม่เลวเลย เป็นหญิงสาวที่ล้ำค่าดุจอัญมณี”
“อัญมณี เหมือนหมูสิไม่ว่า ”สวีอีหัวเราะหึหึ สายตาเหลือบไปมองอะซี่แวบหนึ่ง รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีความเป็นหญิงเลยสักนิด หยาบกระด้างมาก ไม่เข้าตา ไม่เข้าตา
หยวนชิงหลิงประคองคุณย่าเดินไปมาเบาๆหลายก้าว ให้นางได้เคลื่อนไหวเอ็นกระดูก พูดว่า “สวีอีกับอะซี่ไม่ใช่คู่กัน ท่านอย่าเป็นแม่สื่อเลย”
“ไม่ใช่หรือ ดูพวกเขาสองคนเหมาะสมกันมากเลย ”คุณย่าหยวนแกว่งแขน ค่อยๆหมุนศีรษะเพื่อบริหารส่วนลำคอ
หยวนชิงหลิงยิ้มๆ แม้ว่าตระกูลของสวีอีจะไม่เลว แต่ถ้าเทียบกับอะซี่แล้วยังห่างไกลกันมาก อะซี่นั้นคงไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ ตระกูลหยวนก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน แต่ว่าสวีอีที่ดูไม่อินังขังขอบ กลับใส่ใจเรื่องเหล่านี้มาก เขามีความรู้สึกไวต่อเรื่องนี้มาก
เขาบอกรังเกียจอะซี่ ที่จริงว่ากันตามตรงแล้วก็คือรู้ว่ากับอะซี่นั้นเป็นไปไม่ได้ เขามองว่าเขากับอะซี่นั้นไม่เหมาะสมกัน ฉะนั้นจึงชิงพูดว่ารังเกียจออกไปก่อน เกรงว่าตัวเองจะคิดเลยเถิดขึ้นมาจริงๆ
พักผ่อนกันชั่วครู่ ก็ออกเดินทางต่อ
ใช้เวลาในการเดินเท้าขึ้นเขาทั้งหมดครึ่งชั่วยามกว่า จึงมาถึงประตูหมู่ตึกเหมย
หมู่ตึกเหมยมีอาณาเขตใหญ่มาก หน้าประตูหมู่ตึกได้ปลูกต้นท้อกับต้นดอกเหมยไว้มากมาย องครักษ์ที่เฝ้าประตูคือหมาป่าหิมะ หยวนชิงหลิงคุ้นเคยกับหมาป่าหิมะมาก มองแวบเดียวก็รู้
หมาป่าหิมะทั้งสองตัวนี้เป็นสีเทาขาวทั้งร่าง ดูออกว่าอายุมากแล้ว ดวงตาเป็นสีน้ำตาล แววตาคมกริบมาก แต่ก็เหมือนจะรู้ภาษาคน หยวนชิงหลิงไม่พูดอะไร พวกมันก็ดันประตูให้เปิดออกก่อนแล้ว
ประตูทั้งสองบานนี้หนาหนักมาก ตอนเปิดยังมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ฟังออกว่าประตูนั้นมีน้ำหนักเยอะมาก แต่ว่าหมาป่าหิมะนั้นกลับใช้แค่หัวดันก็เปิดออกแล้ว พละกำลังมหาศาลจริงๆ
ตอนนี้สวีอียังคงรู้สึกไม่ดีต่อหมาป่าหิมะ ตอนแรกหมาป่าหิมะของเหล่าของว่างนั้นมีเขาเป็นคนคอยป้อนอาหารเลี้ยงดู แต่ว่าสุดท้ายกลับลืมบุญคุณอกตัญญูต่อคำสั่งของเขา ทำให้เขาปวดใจมาก
หลังจากประตูเปิดออกแล้ว ก็เห็นหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงเข้มคนหนึ่งเดินมาต้อนรับ
หญิงสาวน่าจะอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี หวีผมทำทรงเกล้ามวยสูง หน้าตาสะอาดสะอ้าน บนใบหน้ามีรอยยิ้มอบอุ่น หลังจากนางออกมาแล้ว ก็ย่อตัวคำนับให้กับหยวนชิงหลิง “คำนับพระชายารัชทายาท คำนับฮูหยินเฒ่า เชิญทุกท่านด้านใน พระชายากับหมอหลินรอพวกท่านอยู่ข้างในนานแล้ว”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “รบกวนนำทางด้วย”
หญิงสาวหมุนตัวพาทุกคนเข้าไปด้านใน ว่ากันตามหลักของการก่อสร้าง เดิมคิดว่าเข้าไปแล้วจะเป็นลานบ้านแห่งหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่า พอเข้าไปแล้วจะพบกับทะเลสาบแห่งหนึ่งที่ให้คนสร้างขึ้นมา ทะเลสาบมีไอความร้อนพวยพุ่งขึ้นมา มองตามขึ้นไปทางทิศเหนือ เห็นมีการขุดลำธารเล็กๆสองสายให้น้ำไหล ตอนนี้น้ำที่ไหลเข้ามาเป็นน้ำพุร้อน หลังจากเข้ามาแล้ว ก็รู้สึกอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
หยวนชิงหลิงมองทะเลสาบนี้ รู้สึกเหมือนเป็นสระว่ายน้ำอย่างไรอย่างนั้น สี่เหลี่ยมผืนผ้า ทั้งสี่ด้านทำโครงเหล็กไว้สำหรับขึ้นลง ทั้งสองด้านของสระติดกระเบื้องหินปูนสีขาว ยังวางที่ปูพื้นกันลื่นไว้ข้างโครงเหล็กอีกด้วย
มองไปจากทะเลสาบที่คนสร้างขึ้น ก็เห็นเป็นบันไดหิน บันไดหินมีห้าชั้น ขึ้นบันไดหินแล้วก็เข้าสู่ซุ้มประตูโค้ง ผ่านประตูโค้งแล้วยังต้องเดินลงบันไดหินไปอีก บันไดหินติดต่อกับสะพานโค้ง ใต้สะพานโค้งถูกขุดเป็นแอ่ง มีปลาน้อยกำลังแหวกว่ายไปมา
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ช่างเหมือนบรรยากาศของบ้านเดี่ยวที่หยวนชิงหลิงคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่นี่เป็นภูเขาสูง การสร้างลานบ้านนี้เช่นนี้เกรงว่าจะไม่ง่าย
ในลานบ้านแห่งนี้ยังคงปลูกต้นดอกเหมยและต้นท้อเอาไว้ เต็มไปหมดทั้งลานบ้าน มองไปไร้ที่สิ้นสุด หยวนชิงหลิงมองอย่างตะลึง ถ้าหากเป็นเวลาที่ดอกเหมยหรือไม่ก็ดอกท้อเบ่งบานขึ้นมา ที่นี่จะงดงามมากแค่ไหน