บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 647 พบกับอ๋องชินเฟิงอัน
พระชายาเฒ่าได้ยินที่ทั้งสองปรึกษากัน ก็พูดว่า “ตอนนี้เรื่องของโรคเรื้อนปะทุขึ้นมาใหญ่มาก เชื่อว่าคงจะเกี่ยวพันกับการเมืองด้วย ทางที่ดีที่สุดคือทำสองสิ่งพร้อมกัน ถ้าหากมีความต้องการอะไร ขอแค่บอกกับข้าก็พอ ถังที่ใช้สำหรับแช่น้ำสมุนไพรข้าจะสั่งให้สี่น้อยส่งไปให้”
สี่น้อยที่นางพูดถึง คือท่านชายสี่เหลิ่ง
หยวนชิงหลิงได้ยินแล้ว พูดว่า “แต่ว่า ถ้าหากส่งถังใหญ่ขึ้นเขา เกรงว่าอาจจะเป็นจุดสนใจได้ ”
พระชายาเฒ่าพูดว่า “เป็นจุดสนใจของใครก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ที่พวกเขาต้องการคือเจ้าไม่ขึ้นเขา คนอื่นๆขึ้นไปส่งสิ่งของ ต้องมีคนรู้อยู่แล้ว จะทำอย่างไรกับใครได้ ให้พวกเขามาหาข้า หรือว่า ไปหาท่านอ๋องก็ได้”
หยวนชิงหลิงคิดว่าหมาป่าของนางร้ายกาจขนาดนี้ ใครจะกล้วขึ้นมาหานางกันเล่า แม้จะรู้ว่านางอยู่ที่นี่ เกรงว่าก็คงไม่มีใครกล้ามา
นางก็มองไปยังเหล่าเครื่องใช้เหล่านี้ที่ถูกทำลาย คิดว่าอ๋องชินเฟิงอันที่ใจร้อนคนนั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ เขาเป็นพี่ใหญ่ของไท่ซ่างหวง เช่นนั้นก็เท่ากับว่าแก่กว่าไท่ซ่างหวง อายุเยอะแล้วยังชอบอาละวาดทุบทำลายข้าวของ ไม่รู้ว่าพระชายาเฒ่าอดทนได้อย่างไรกัน
แต่คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าพระชายาเฒ่าไม่จำเป็นต้องรู้สึกน้อยใจ หมาป่าของนางน่าจะฟังคำสั่งของนางเท่านั้น
นางหัวเราะอย่างลำบากใจเสียงหนึ่ง มองไปที่เก้าอี้ที่พระชายาเฒ่านั่ง ,“พวกเขาคงไม่กล้า ท่านว่านิสัยของท่านอ๋อง……แข็งกระด้างไม่กลัวใคร คนทั่วไปคงไม่กล้ามา เกรงว่าก็คงจะมีแต่พระชายาท่านเท่านั้นที่คุมอยู่ ”
พระชายาเฒ่ากลับเอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า “ข้าคุมเจ้าเฒ่าเกเรนั้นไม่อยู่หรอกนะ เขาอย่ามารังแกข้าก็นับว่าไม่เลวแล้ว หลายปีมานี้ข้าต้องทนเขาตั้งเท่าไหร่ ต้องรู้สึกน้อยใจกี่ครั้ง ตั้งแต่แต่งงานกับเขาก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขสักวัน ตอนนั้นตาบอดไปจริงๆ”
หมอหลินพูดยิ้มๆว่า “เขากล้ารังแกเจ้าหรือ เขาไม่กลัวหมาป่าของเจ้าหรือ”
พระชายาเฒ่าพูดอย่างไร้ความสามารถเป็นที่สุดว่า “เขาหรือจะกลัวหมาป่า หมาป่ายังกลัวเขาด้วยซ้ำไป”
นี่ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกตกใจและประหลาดใจพร้อมกัน พระชายาเฒ่าคนนี้ถูกขนานนามว่าเป็นแม่ทัพน้อยแห่งชาวหมาป่า หมาป่าทั้งหลายล้วนเป็นนางที่ฝึกฝนออกมา ทำไมจึงกลับกลายเป็นว่ากลัวท่านอ๋องเฒ่าไปได้
เห็นได้ชัดว่าพระชายาเฒ่าไม่ยินดีจะพูดอีก หลังจากสั่งให้คนดูแลอาหารการกินหนึ่งมื้อแล้ว ก็ให้พวกหยวนชิงหลิงเปลี่ยนชุดออกเดินทาง จะได้ไม่ดึกมากเกินไป
ตอนที่ลงจากเขา ก็ไม่ได้ใช้เส้นทางตอนขึ้นเขาอีก แต่เป็นการลงจากทางด้านหลังเขา ยังคงเป็นสาวใช้คนเมื่อครู่ที่ส่งพวกเขาลงจากเขา
หลังจากกล่าวลากันแล้ว สวีอีก็แบกคุณย่าหยวนขึ้น คนที่เหลือก็ยังคงแบกสัมภาระเร่งลงเขาอย่างทำเวลา
เดินออกจากหมู่ตึกเหมยไกลแล้ว แต่ก็ยังสามารถเห็นต้นดอกเหมยได้ทุกที่ หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พระชายาช่างชื่นชอบดอกเหมยจริงๆ”
ไหนเลยจะรู้ว่าสาวใช้คนนั้นกลับพูดขึ้นว่า “คนที่ชื่นชอบดอกเหมยไม่ใช่พระชายา แต่เป็นท่านอ๋อง ดอกเหมยเต็มภูเขาเหล่านี้ ล้วนเป็นท่านอ๋องที่ปลูกเอาไว้ตั้งแต่แรก”
“เอ๋ ”หยวนชิงหลิงรู้สึกคาดไม่ถึง ปรากฏว่าเป็นอ๋องชินเฟิงอัน แต่ว่าท่านอ๋องที่พระชายาพูดถึงคนนั้นอารมณ์ร้อนนิสัยรุนแรง กลับชื่นชอบดอกเหมยที่เป็นสิ่งสูงส่งสวยงาม ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
“เอ๋ ท่านอ๋องกลับมาแล้ว”สาวใช้คนนั้นพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ทุกคนต่างก็รีบเงยหน้าขึ้นมองออกไป เห็นเพียงบนเนินเขาที่อยู่ไกลออกไป ค่อยๆควบม้าลงมา แต่เมื่อจ้องมองดีๆ กลับไม่ใช่ขี่ม้า ที่เขาขี่อยู่นั้นปรากฏว่าเป็นเสือ
เสือนั้นสีเหลืองทองทั้งตัว ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง อุ้งเท้าทั้งสี่ข้างย่ำลงมาจากเขาอย่างมั่นคง บริเวณหน้าผากมีรอยย่นที่สามารถมองเห็นจากไกลๆเป็นคำว่าอ๋อง ขนเรียงตัวเรียบสลวย ขณะที่เดิน ขนนั้นปลิวสะบัดขึ้นลงราวกับคลื่น มีความน่ายำเกรง
ส่วนผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนหลังเสือนั้น สวมชุดสีเขียวทั้งตัว ระยะทางค่อนข้างไกล จึงมองหน้าตาไม่ชัดเจน แต่เค้าโครงนั้นคล้ายกับไท่ซ่างหวงอยู่บ้าง ผมของเขาไม่หงอกขาว ยังคงดำสนิททั้งศีรษะ ขณะที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งใกล้เข้ามา หยวนชิงหลิงเพิ่งจะมองเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเขา ดูแล้วเหมือนจะอายุอ่อนกว่าไท่ซ่างหวงสิบปี
คิดแล้วก็รู้สึกว่าฮ่องเต้นั้นไม่ใช่งานที่คนจะทำได้ ไท่ซ่างหวงที่เป็นฮ่องเต้มาหลายสิบปี ถูกกระตุ้นจนกลายเป็นสภาพอะไรไปแล้ว
อ๋องชินเฟิงอันขี่เสือค่อยๆใกล้เข้ามาถึง เค้าโครงหน้าตาชัดเจน หน้าตามีความคล้ายคลึงเจ้าห้าอยู่หลายส่วน แต่ว่าดวงตาของเขาคมกริบกว่าปกติ คิ้วดกดำมีเส้นขนคิ้วยาวหลายเส้นยื่นออกมา หัวคิ้วหนาและดูยุ่งเหยิง นี่ทำให้ดูแล้วรู้สึกดุดันมาก กระทั่งดูดุกว่าราชาเสือที่เขาขี่อยู่หลายส่วน
เขารูปร่างสูงใหญ่ บนร่างมีความน่าเกรงขามอย่างหนึ่งที่สามารถข่มคนได้แผ่ออกมา นั่งอยู่บนหลังเสืออย่างสบายๆในขณะที่กวาดตามองมายังทุกคนแวบหนึ่ง ทำให้รู้สึกเหมือนเขาจะอ่อนลงอย่างไรอย่างนั้น
แต่บางทีที่เข่ารู้สึกอ่อนแรงอาจมีสาเหตุมาจากราชาเสือ ทุกคนต่างก็ไม่เคยเห็นเสือที่ดูสูงใหญ่เช่นนี้มาก่อน ราวกับม้าตัวหนึ่ง แต่ว่าดูแข็งแรงบึกบึนกว่าม้ามาก ยืนทื่อเป็นสากกะเบือท่อนใหญ่อยู่ตรงหน้า
สาวใช้คำนับแล้วก็แนะนำสถานะของพวกหยวนชิงหลิง ร่างของเขาค่อยๆโน้มมาข้างหน้า วิเคราะห์หยวนชิงหลิง หัวคิ้วขมวดขึ้นมาดูแล้วดุดันเป็นอย่างยิ่ง ถามออกมาประโยคหนึ่งว่า “สะใภ้ของหลานห้าหรือ”
น้ำเสียงของเขาน่าเกรงขามอย่างเป็นธรรมชาติ บางทีอาจเป็นเพราะภูเขาอันกว้างใหญ่ ทำให้เหมือนกับเกิดเสียงสะท้อนดังก้องขึ้น ทำให้คนได้ยินแล้วหัวใจกระตุกวูบ หยวนชิงหลิงรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อคำนับ ในใจรู้สึกกลัวอยู่บ้าง “หยวนชิงหลิงคำนับอ๋องชินเฟิงอัน”
“ไม่ต้องมากพิธี ไปทำงานของเจ้าเถอะ ”อ๋องชินเฟิงอันพูด และเคาะไปที่หัวของเสือเบาๆ เสือตัวนั้นโถมตัวกระโดดขึ้น กระโดดลงไปไกลหลายจั้ง หลังจากกระโดดลงไปแล้วก็มิได้หยุด ยังคงกระโดดไปเรื่อยๆ เพียงชั่วครู่ก็หายลับเข้าไปในดงดอกเหมย
อะซี่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง “สวรรค์ เสือตัวนี้น่ากลัวเหลือเกิน หมู่ตึกเหมยสวยขนาดนี้ ทำไมจึงเลี้ยงเสือหรือไม่ก็เลี้ยงหมาป่าแสนดุเอาไว้เล่า”
เสียงของอะซี่เพิ่งจะสิ้นสุดลง ก็ได้ยินเสียงคำรามก้องสนั่นไปทั้งภูเขาดังขึ้น อะซี่ขาอ่อนขึ้นมาทันที คุกเข่าลงไปกับพื้น สีหน้าขาวซีด
หยวนชิงหลิงเองก็ถูกเสียงคำรามกึกก้องนี้ทำเอาใจสั่น นางยื่นมือไปประคองอะซี่ให้ลุกขึ้น แล้วเห็นว่ามีหมาป่าหิมะมากมายมุดออกมาจากป่าเหมย วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
ท่าทีที่หนีเอาชีวิตเช่นนั้นไม่มีความน่าเกรงขามของความเป็นหมาป่าเลยสักนิดเดียว หยวนชิงหลิงยิ้มก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ถึงว่าพระชายาเฒ่าบอกว่าหมาป่ายังต้องกลัวอ๋องชินเฟิงอัน เสียงคำรามของเสือเสียงนั้นสามารถทำให้คนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าไท่ซ่างหวงช่างน่าเกรงขามนัก แต่ว่าหลังจากที่ได้พบกับอ๋องชินเฟิงอันและพระชายาแล้ว รู้สึกว่าไท่ซ่างหวงเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็เป็นเหมือนแค่ไก่อ่อนเด็กเมื่อวานซืนเท่านั้น
ถึงว่าพระชายาทำไมจึงได้เรียกเขาว่าเด็กน้อย
อดไม่ได้ที่จะมีความอยากรู้เรื่องราวในอดีตของพวกเขา กลับไปต้องไปถามเซียวเหยากง
สวีอีก็เป็นครั้งแรกที่เจอกับอ๋องชินเฟิงอัน ตอนที่เขาแบกคุณย่าหยวนลงจากเขา ขาของเขาก็กำลังสั่นเทา “ถึงว่าตอนที่อ๋องชินเฟิงอันอยู่ตอนนั้น เป่ยถังไม่มีโจรแม้แต่คนเดียว ใครจะกล้าเป็นศัตรูกับเขา”
หยวนชิงหลิงได้ยินที่สวีอีพูด ก็ถามขึ้นว่า “สวีอี อ๋องชินเฟิงอันร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรือ”
“พระชายารัชทายาท เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้ว ว่าร้ายกาจหรือไม่ ตอนที่เขาอยู่ เป็นช่วงที่เป่ยถังสงบสุขมากที่สุด ชายแดนไม่มีใครกล้ารุกล้ำ ถูกเขาต่อสู้จนกลัวกันไปหมด”
สวีอีให้เทิดทูนอ๋องชินเฟิงอันเป็นแบบอย่างอย่างจริงจัง พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับอ๋องชินเฟิงอันที่เขาได้ยินมาจากคนทั่วไปอย่างชื่นใจ “ได้ยินว่าตอนแรกที่ไปสู่ขอพระชายา อ๋องชินเฟิงอันอยู่ในสนามรบ มีข่าวส่งมาบอกว่าเขาตายแล้ว ตอนนั้นเหมือนเขายังดำรงตำแหน่งซื่อจื่อ ฮ่องเต้โล่เหวินยังคงครองบัลลังก์อยู่ เป็นการสู่ขอเพื่อให้มาเป็นคู่คนตาย ตอนนั้นคนในจวนอ๋องรวมถึงพระชายาด้วย ต่างก็รังแกพระชายาซื่อจื่อคนนี้ รังแกอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็หวังว่านางตายแล้วจะได้ฝังศพนางคู่กับซื่อจื่อ ไหนเลยจะรู้ว่า พระชายาซื่อจื่อนั้นแรกเริ่มอาจรังแกได้ จากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กลับแข็งแกร่งขึ้นมา ยังจัดการทำให้หลายๆคนแทบเอาชีวิตไม่รอด หลังจากนั้นก็ได้รับรู้ว่าซื่อจื่อยังไม่ได้ตายในสนามรบ กลับมาตัวเป็นๆ ยังสร้างผลงานครั้งใหญ่ไว้ด้วย ”
การเล่าเรื่องของสวีอีนั้นยุ่งเหยิงอยู่บ้าง แต่ว่าทุกคนต่างก็ฟังเข้าใจ รู้สึกว่าตอนนั้นน่าสนุกเป็นอย่างยิ่ง