บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 654 หรงเยว่อารมณ์ปะทุ
หลังจากนั้น แม่สื่อนำชายารองอะหลูเข้ามา
อะหลูสวมชุดแต่งงานสีเทาอมชมพู ชุดแต่งงานนี้เพราะเร่งรีบตัดเย็บ จึงไม่ประณีต คล้ายชุดสำเร็จรูปที่ซื้อได้ทั่วไปข้างนอก ลายปักเส้นไหมสีทองเงินบนชุด มองออกว่าตกแต่งเพิ่มเข้าไปทีหลัง ทว่ากลับเพิ่มความโดดเด่นแปลกตาขึ้นหลายส่วน
นางไม่ได้สวมผ้าคลุมศีรษะ มวยผมทรงพู่ระย้า มวยผมพู่ระย้าแบ่งเป็นสองส่วน บริเวณด้านล่างของเส้นผมใช้ปิ่นทองหุ้มหยกปักไว้ ด้านบนพันรอบด้วยปะการังแดง ชาดแดงและริมฝีปากเปล่งประกายนี้ พูดได้ว่างดงามเพริศพริ้ง
และเมื่อมองพระชายาอาน แม้สวมชุดยาวสีแดงหรูหรา แต่ใบหน้าผอมแห้ง สีหน้าซีดเซียว ราวกับวิญญาณโผล่มานั่งข้างกายอ๋องอานอย่างกะทันหัน และเมื่อเทียบกับอะหลู ด้อยกว่าอะหลูอย่างมากจริง
ที่สำคัญคือรอยยิ้มเบิกบานทั่วใบหน้าของอะหลู รอยยิ้มเปี่ยมด้วยความเขินอายที่มักพบเห็นของเจ้าสาว ทว่ากลับไม่สูญเสียความหนักแน่น ท่าทางค่อนข้างมีความเป็นนายหญิงของบ้าน
เมื่อกลับมามองพระชายาอาน ร่างกายอ่อนแอจนสั่นเทาพิงหลังพนักพิง ผอมกะหร่อง ท่าทางไม่สุภาพไม่คู่ควรพบปะผู้คน
อะหลูเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าพระชายาอาน รับน้ำชาในมือแม่สื่อยกให้พระชายาอาน ก่อนเอ่ยว่า “อะหลูคำนับพี่สาว พี่สาวโปรดดื่มชา!”
พระชายาอานยื่นมือไปรับชา ชานั้นร้อนผ่าวอย่างมาก ถ้วยไม่มีถาดรอง หลังพระชายาอานรับมารู้สึกร้อนเกินไป มือสั่นเล็กน้อย ทำให้ชาหกลงหลายหยด และหกรดลงที่หลังมือของอะหลูพอดี
อะหลูก้มยิ้มผ้าเช็ดหน้ามาเช็ด สายตารังเกียจนั้นยังไม่ทันได้หลบลงปรากฏออกมา แล้วเสียงเรียบว่า “พี่สาวร่างกายไม่แข็งแรง ดื่มชาแล้วกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ ที่นี่ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เกรงว่ากลางคืนไม่เหมาะสม แม้เหนื่อยล้าท่านอ๋องยังต้องไปพบท่าน”
น้ำเสียงหมายถึงเป็นคำสั่ง และความหมายชัดเจนยิ่ง คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของพวกเขา ไม่อนุญาตให้พระชายาอานรบกวน
ในพิธียกน้ำชานี้ ส่วนใหญ่เป็นคนในราชวงศ์ ด้านนอกมีแขกเหรื่อมองอยู่ คำพูดนี้ไม่ถูกกาลเทศะ คล้ายอะหลูถึงคือนายหญิงของจวนอ๋องอาน และประโยคที่พูดนั้นโจ่งแจ้งเกินไป พูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?
ดังนั้น ด้านในห้องโถงหลักพลันเงียบงัน รอดูพระชายาอานจะตอบเช่นไร
อ๋องอานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่แสดงออกมา ความคิดของอะหลูเขาทราบดี วันนี้ต่อหน้าทุกคน ต้องให้ทุกคนรู้ว่าแม้นางเป็นชายารอง แต่จวนอ๋องอานนางเป็นใหญ่
พระชายาอานถือชา ท่าทางราวจะร้องไห้แต่ไม่กล้าร้องออกมา น่าสงสารอย่างยิ่ง และไม่รู้ควรตอบประโยคนี้เช่นไร ได้แต่ถือชาอย่างสั่นเทา
ชาในมือนางจู่ ๆ ถูกหรงเยว่แย่งไป หลังแย่งชาไปหรงเยว่ทุ่มลงบนศีรษะของอะหลู
ทุกคนต่างตกตะลึง!
หยวนชิงหลิงถอนหายใจในใจเงียบ ๆ หรงเยว่ เจ้าอดกลั้นไม่ไหวจริง ๆ
ชานี้ร้อนอย่างมาก ทุ่มลงบนศีรษะของอะหลูใกล้ขนาดนี้ กลับไม่เจ็บปวด แต่น้ำชาร้อนจนเจ็บปวด อะหลูกระโดดขึ้น ดวงตาหงส์ถลึงมองหรงเยว่ ก่อนตะโกนเสียงขรึม “เจ้าเสียสติหรือ?”
ความโมโหของหรงเยว่มีมากกว่านาง นางยื่นมือชี้จมูกของอะหลูพร้อมด่าทอว่า “ข้าว่าเจ้าน่าจะเสียสติมากกว่า เจ้าอยู่ในสถานะใด วันนี้เพิ่งแต่งเข้ามาก็กล้าวางท่าทำตัวเป็นนายหญิง แววตาน่ารังเกียจเมื่อครู่ของเจ้านั้น คนด้านข้างมองไม่เห็น แต่ข้าเห็นเต็มตา เจ้ารังเกียจอันใด เจ้าเกลียดชังสิ่งใด เป็นนางบำเรอ คิดว่าตนเป็นเจ้านายที่แท้จริง ไม่สั่งสอนเจ้า เจ้าคงว่าไก่ฟ้าที่ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์เช่นตน กลายเป็นหงส์ไปแล้ว คนแบบเจ้า ในซาวโถ๋จุ้ยของพวกเรา แม้ยกมือกวักเรียกไม่มีแขกยอมเจ้าแม้หางตา”
ประโยคนี้ ทำให้เหล่าแขกผู้หญิงในพิธีต่างใกล้พากันอับอาย แต่เหล่าบุรุษกลับเบิกตากว้างมองหรงเยว่หรือมองอ๋องหวยนั่งเงียบอยู่ด้านข้าง หวังให้อ๋องหวยไปดึงหรงเยว่ออกมา อ๋องหวยมองทัศนียภาพด้านนอก สองมือสอดอยู่ในชายเสื้อ ท่าทางนี้คล้ายโสวฝู่ฉู่ยิ่งนัก อารมณ์บนบนใบหน้าเงียบสงบ มีเพียงแววตาที่เลื่อนลอย
อะหลูสีหน้าเปลี่ยนไปไม่น่ามอง คำพูดอัปยศเหล่านี้เหมือนฝ่ามือตบกระทบลงบนใบหน้านาง นางคือชายารองผู้สง่างามแห่งจวนอ๋องอาน กลับนำนางเปรียบเทียบกับหญิงในซาวโถ๋จุ้ยพวกนั้น?
แต่นางจิตใจชั่วร้าย ทว่าไม่ถนัดด่าทอกลางฝูงชน เพราะการด่าอย่างหยาบคายเช่นหรงเยว่นี้ นางกลับไม่รู้ควรตอบเช่นไร บนใบหน้าแดงก่ำดุจถูกไฟแผดเผาขึ้นมา ทำได้เพียงใช้แววตาราวจะสังหารคนถลึงมองหรงเยว่
หรงเยว่เป็นคนไม่ทำคือไม่ทำ แต่เมื่อทำต้องทำอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นอะหลูยังกล้าใช้สายตาดุร้ายเช่นนี้ถลึงมองตน ด่าทอหนักขึ้น “เจ้าถลึงตาอันใด เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา ข้าทนเจ้ามานานแล้ว วันนี้ได้ยินอะฉ่ายเล่าข้าอยากไปจัดการเจ้า เจ้าหน้าด้านยิ่ง เจ้ากับอ๋องอานคลุกกันอยู่ในห้องหนังสือ จบแล้วยังให้คนเชิญพระชายาอานมาดูเจ้านอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางหน้าไม่อาย เป็นอันใด เจ้าไม่สวมเสื้อผ้าน่ามองนักหรือ ยังต้องเชิญคนมาชื่นชม หน้าอกเจ้ามีก้อนเนื้อสองก้อนหรือ เจ้ามี สตรีคนใดในที่นี่ไม่มี นอกจากเจ้ามีสามหน้าอก มิฉะนั้นจะมีหน้าเชิญพระชายาไปดูได้เช่นไร เมื่อครู่ข้าบอกว่าเจ้าไม่สู้แม้หญิงสาวในซาวโถ๋จุ้ย เจ้าสู้ไม่ได้จริง ๆ หญิงสาวในซาวโถ๋จุ้ยยังรู้จักว่าอับอายสองคำนี้เขียนเช่นไร เจ้ารู้จักหรือไม่ ถ้าเจ้าอยากมากแก้ผ้าวิ่งไปมาทั่วถนน หากว่าไม่รู้จักอับอายก็ช่างเถอะ ข้าสงสัยว่าเจ้ายังมีความตั้งใจอื่น รู้ชัดว่าพระชายาอานเพิ่งตั้งครรภ์ยังกระตุ้นนางเช่นนี้ เจ้ามันคนใจดำ สมควรแล้ว เจ้าถูกสำนักเหลิ่งหลังไล่ออกมา ทว่ายังคิดจ้างคนมาสังหารพระชายารัชทายาท เจ้าไปตายซะ สำนักเหลิ่งหลังไม่รับทำงานให้กับเจ้า”
อ๋องอานสีหน้าเปลี่ยนทันที!
ทุกคนต่างมองหรงเยว่ หากคำพูดด่าทอคนเมื่อครู่ไม่น่าฟังยังสามารถทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ประโยคสุดท้ายของหรงเยว่ กลับคือข้อมูลที่น่าตกตะลึง แขกเหรื่อด้านนอกล้วนเป็นขุนนาง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหรงเยว่ ต่างพากันเดินเข้ามา
หยวนชิงหลิงแปลกใจเล็กน้อย หรงเยว่พูดเช่นนี้ ไม่เป็นการเปิดโปงนางและท่านชายสี่เหลิ่งหรือ สถานะของสำนักเหลิ่งหลังถูกปกปิดมานาน ถูกเปิดเผยง่าย ๆ เช่นนี้ หรงเยว่แม้จะสะเพร่า แต่เรื่องเกี่ยวข้องกับสำนักเหลิ่งหลัง ไม่ควรปากพล่อยพูดออกมาง่าย ๆ เช่นนี้ นั่นหรือเพราะว่า วันนี้นางตั้งใจก่อเรื่องเช่นนี้ มีคนสอนให้นางทำแบบนี้?
เป็นท่านชายสี่?
อะหลูสีหน้าคล้ำเครียด แววตาเฉียบแหลมจ้องที่หรงเยว่ “เจ้าด่าข้าได้ แต่เจ้าไม่ควรใส่ความข้า ข้าไปจ้างนักฆ่าสังหารพระชายารัชทายาทเมื่อใดกัน เจ้าพูดให้ชัดเจน”
หรงเยว่ส่งเสียงฮึออกมา “เรื่องชั่วช้าที่เคยทำไว้ สักวันต้องปรากฏขึ้นมา เจ้าคิดว่าเรื่องจ้างนักฆ่าสังหารพระชายารัชทายาทไม่มีผู้ใดรู้หรือ คงไม่รู้ว่าคนที่ติดต่อกับเจ้าคนนั้นทำร้ายหญิงสาวของซาวโถ๋จุ้ย ที่จื๋อลี่ ท่านชายสี่ส่งคนประกบเขาคิดจับส่งทางการ ทว่ากลับเห็นเจ้านำเงินแสนตำลึงออกมาเป็นค่าหัวพระชายารัชทายาท เจ้าควรดีใจที่สำนักเหลิ่งหลังไม่รับภารกิจนี้ มิฉะนั้นหัวสุนัขของเจ้าจะไม่ปลอดภัย ได้จัดพิธีแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นชายารองในวันนี้หรือ?”
อะหลูสีหน้าเคร่งเครียด “เมื่อคิดใส่ความ จะไร้ข้ออ้างได้เช่นไร?” นางต้องพูดออกมา ก่อนมองหยวนชิงหลิงพร้อมเอ่ยถากถาง “ไม่รู้อะหลูล่วงเกินพระชายารัชทายาทเมื่อใด กลับให้คนมาใส่ความด่าทออะหลูในวันมงคลที่สำคัญนี้ น่าเสียดาย คำพูดไร้สาระพวกนี้ จะมีผู้ใดหลงเชื่อกัน อะหลูวันนี้ไม่ได้มีความแค้นกับพระชายารัชทายาท ในอดีตไม่เคยคับข้องใจกัน จ่ายเงินแสนตำลึงเป็นค่าหัวของท่าน แม้อะหลูจะมีเงินมากมายก็ไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้หรอกเพคะ”