บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 661 ในที่สุดก็ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
เมื่อการสนทนาจากด้านล่างค่อยๆยุติลง ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงรับสั่ง รับสั่งให้คนสิบสองคนที่เคยรายงานความผิดรัชทายาท ทุกคนจะถูกลงโทษโดยการหักเงินเดือนหนึ่งปี และตักเตือนอย่างเข้มงวด ถ้าค้นพบว่ายังรวมพรรคพวกสมรู้ร่วมคิดกันจะถูกไล่ออก
ส่วนเรื่องที่ชายารองหลูได้สั่งให้สำนักเหลิ่งหลังลอบสังหารพระชายารัชทายาท ไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นความจริง ไม่ต้องติดตามเรื่องนี้ แต่ได้ตำหนิอ๋องอาน โดยว่าเขาไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ชอบไปก้าวก่ายหาเรื่องมากเกินไป เรื่องในกรมอาญากับกรมการพระนครเป็นสิ่งที่เขาไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว ต่อไปบอกให้เขาซื่อตรงหน่อย
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนรับสั่งออกมาเช่นนี้ ความคิดของอ๋องอานก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ชั่วขณะไม่มีใครกล้าพูดแทนเขา
หลังจากนั้นก็คือเรื่องโรคเรื้อน ฮ่องเต้หมิงหยวนได้มีคำสั่ง ให้หมอในโรงหมอหุ้ยหมิงและพระชายารัชทายาทขึ้นไปที่เขาโรคเรื้อนพร้อมกัน ใช้ใบสั่งยาแนวทางใหม่เพื่อรักษาผู้ป่วย หากมีความคืบหน้าที่ดี ใบสั่งยาแนวทางใหม่นี้จะต้องประกาศให้โลกรู้
สำหรับเรื่องที่ หยวนชิงหลิงได้ขึ้นไปเขาโรคเรื้อน ในที่สุดก็ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และไม่มีใครสามารถขัดขวางได้อีก
เดิมทีอ๋องอานวางแผนว่าหลังจากที่ลงโทษหยู่เหวินเห้าเสร็จ ก็จะเข้าทำงานที่กรมการพระนครทันที ตอนนี้ถูกลงโทษ ไม่กล้าพูดอะไรเลยสักคำ เมื่อได้ยินคำว่าเลิกประชุมก็ก้มหัวหมดอาลัยตายอยาก และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
รัชทายาทที่รูปงามใส่ชุดกี่เพ้ายาวสีม่วงสง่าผ่าเผยที่เด่นกว่าคนอื่นเดินผิวปากออกไป แต่ถูกฮ่องเต้หมิงหยวนสั่งให้ไปที่ห้องหนังสือ
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองดูใบหน้าที่ภาคภูมิใจและเย่อหยิ่งนั้น ยิ้มจนแก้มแทบปริ ยิ้มจนเหมือนคนโง่เขลา รู้สึกโกรธมาก “เจ้าดีใจจนไม่รู้จักเก็บซ่อนไว้หน่อย ทุกข์สุขปรากฏบนใบหน้า ลักษณะดีใจเกินเหตุเช่นนี้ สักวันจะถูกคนทุบจนตาย คุกเข่าลง”
หยู่เหวินเห้าคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เสด็จพ่อ กระหม่อมมีความสุข เมื่อมีความสุขก็ต้องหัวเราะ ไม่ควรเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึก”
“วางแผนเล่นงานพี่น้องตัวเอง มีอะไรนะยินดี?” เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของเขาก็โมโหขึ้นมา ฟันของเขาขาวเป็นประกาย
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างมีความสุข “สิ่งที่กระหม่อมดีใจที่สุดคือในที่สุดเจ้าหยวนสามารถขึ้นเขาได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม สิ่งที่นางทำนั้นเป็นเรื่องดี แต่กลับทำเหมือนเป็นขโมย ถูกคนอื่นดุด่าเจ็บๆแสบๆและโยนไข่ใส่ ในที่สุดตอนนี้นับได้ว่าทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินคำนี้ รู้สึกมีความสับสนใจเล็กน้อย หยวนชิงหลิงขึ้นไปที่เขาโรคเรื้อนปัญหาที่ใหญ่สุดมาจากเขา เดิมทีมันเป็นเรื่องดีสำหรับประเทศและราษฎร แต่ขั้นตอนนี้ช่างลำบากและขมขื่น ตอนนี้เจ้าห้าก็ภูมิใจและมีความสุขมาก และดูออกว่าความอัดอั้นตันใจที่พระชายารัชทายาทมีมันมากแค่ไหน
เขามองไปที่หยู่เหวินเห้าและพูดว่า “ในเมื่อลำบากใจขนาดนี้ ทำไมตอนแรกไม่ละทิ้ง? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย”
หยู่เหวินเห้าพูด “เดิมทีกระหม่อมก็ได้เกลี้ยกล่อมให้นางละทิ้ง แต่นางยืนยันที่จะไป บอกว่านั่นคือชีวิตมนุษย์ เบื้องหลังยังมีครอบครัวอยู่ มีพ่อแม่และลูกๆรอพวกเขากลับไป คนที่ป่วยก็ถือว่าโชคร้ายมากแล้วยังต้องทนทุกข์จากคำด่าทอและคำสาปแช่ง โหดร้ายเกินไป ถ้าไม่ทำลายโรคเรื้อนให้หมดไป ต่อไปภายภาคหน้าก็จะมีชาวบ้านที่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้อีก นางบอกว่ากระหม่อมในฐานะที่เป็นรัชทายาท ไม่ควรละทิ้งชาวบ้านแม้แต่คนเดียว กระหม่อมไม่สามารถเกลี้ยกล่อมนางได้ ทำได้เพียงปล่อยนางไปทำ”
จากมุมมองของฮ่องเต้หมิงหยวนไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของครอบครัวธรรมดาเหล่านั้นกับโรคเรื้อนนี้ ในความเห็นของเขา หากรักษาไม่หาย ก็ทำลายให้สิ้นซาก ไม่เห็นก็ไม่ต้องกลุ้มใจ
หลังจากได้ยินสิ่งที่หยู่เหวินเห้าพูด รู้สึกว่าตลอดทั้งชีวิตของชาวบ้านต้องการอะไร? ป่วยด้วยโรคก็ถือว่าโชคไม่ดี แต่ต้องทนแบกรับกับคำด่าทอและสาปแช่งเพราะโรคนี้ ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย ดังนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “คดีความนี้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนร้ายจะยอมไปมอบตัว?”
หยู่เหวินเห้าสีหน้าจริงจัง และพูดว่า “กราบทูลเสด็จพ่อ อันที่จริงกระหม่อมก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าช่วงนี้ในเมืองหลวงเกิดคดีความต่อเนื่อง กระหม่อมได้ตรวจสอบมาแล้ว ไม่มีเค้าโครงใดๆ แต่กรมอาญาก็ยังคงบังคับให้ลูกคลี่คลายคดี แม้กระทั่งกำหนดเวลา ทุกๆปีกรมการพระนครมีคดีที่ต้องดำเนินการไม่น้อย การสังหารหมู่ก็มีหลายคดี แม้ว่ากรมอาญาจะจับตาและเร่งทำคดีนี้ แต่ก็ไม่เคยเร่งรีบขนาดนี้มาก่อน กระหม่อมรู้สึกแปลกใจ ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีเค้าโครงใดๆเลย ดูคดีความเหล่านี้เหมือนตั้งใจเจาะจงมาที่กระหม่อมโดยเฉพาะ เป็นเรื่องจริงตอนที่กระหม่อมบอกให้ผู้ช่วยเจ้ากรมและซือเย๋(ที่ปรึกษาของที่ทำการปกครอง)ไปรายงานที่กรมอาญามันจะคลุมเครือเล็กน้อย คดีการฆ่าชาวบ้านไม่มีข้อมูลที่ซับซ้อน คาดไม่ถึงว่าทางกรมอาญาไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็เอากระหม่อมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังมีแผนชั่วร้ายอะไรซ่อนอยู่”
หลังจากที่ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟัง สายตาก็เย็นชาเท่านั้น และไม่ได้พูดอะไร และตรัสว่า “ไปเถอะ ข้ายังมีหนังสือต้องดู”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “พะยะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา!”
หยู่เหวินเห้าถอยกลับไปถึงประตู และได้ยินฮ่องเต้หมิงหยวนสั่งว่า “ยังมีอีก ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าไปรบกวนราชครู”
ครั้งแล้วครั้งเล่าบอกว่าจะชนกำแพงฆ่าตัวตายในตำหนัก ทำให้รู้สึกหวาดผวา
หยู่เหวินเห้ายิ้มอีกครั้ง “สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกระหม่อม มันเป็นการตัดสินใจของโสวฝู่ฉู่(โสวฝู่เทียบเท่าสมุหราชเลขาธิการ) โสวฝู่ฉู่พูดว่าราชครูรักและเอ็นดูกระหม่อม และทนไม่ได้ที่อยู่ในตำหนักจะปล่อยให้กระหม่อมตกเป็นเป้าหมายการโจมตี แม้ว่าราชครูแก่แล้วแต่ยินยอมเอาหัวโขกที่เสา พอใช้กลอุบายนี้ไม่มีใครเอาชนะได้ เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
นอกตำหนัก โสวฝู่ฉู่กับราชครูยืนอยู้ข้างๆด้วยความเคารพ ได้ยินคำพูดของรัชทายาท ราชครูจ้องมองโสวฝู่ฉู่ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ
โสวฝู่ฉู่ค่อยๆหันศีรษะไปดูใบไม้ที่ร่วงหล่นที่หน้าสนาม สองมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ หยู่เหวินเห้าไสหัวไปให้พ้น
เมื่อหยู่เหวินเห้าออกไป เห็นทั้งสองท่านจ้องมองเขา เขารีบก้มหัวเดินไปทางระเบียงทางเดินด้านซ้าย
หลังจากหยู่เหวินเห้าออกไปจากวัง ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ได้สั่งการไปยังศาลต้าหลี่ สั่งให้ศาลต้าหลี่เข้ารับหน้าที่ทำคดีฆาตกรรมล่าสุดในเมืองหลวง แล้วส่งคนไปไตร่สวนมือสังหารอย่างเข้มงวด และต้องให้เขาพูดออกมาให้ได้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง
ในเวลาเดียวกัน ในราชสำนักยังออกประกาศ ว่าพระชายารัชทายาทกับหมอหลินแห่งแค้วนต้าซิงได้คิดค้นยาตัวใหม่ ที่สามารถรักษาโรคเรื้อนได้
เนื่องจากเป็นการประกาศจากราชสำนัก ชั่วข้ามคืนที่ทำการปกครองจึงติดแผ่นประกาศไว้ตามสถานที่ต่างๆในเมืองหลวง และเป่าประกาศเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดจากโรคเรื้อนก็หยุดทันที และชาวบ้านก็มีบางคนชื่นชมและสนับสนุนพระชายารัชทายาท
หยู่เหวินเห้าอยู่ในจวนอ๋องฉู่นั่งไขว่ห้าง ในมือของเขาถือกล้องสูบยาทองและดูดไปสองสามครั้ง สำลักจนน้ำตาของเขาไหลออกมา
ทังหยางยิ้มและพูดว่า “รัชทายาท ท่านไม่ชอบสูบ ดังนั้นก็อย่าพยายามลองเลย นี่เป็นของที่จะมอบให้ไท่ซ่างหวง แต่ท่านดันมาใช้มันก่อน”
“เห็นเสด็จทวดมักจะสูบ ไม่รู้ว่ามีรสชาติยังไง จึงลองสูบดูสักครั้ง ทังหยาง ยาสูบนี้ดีเลิศจริงหรือ? ทำไมสูบแล้วเหมือนหายใจไม่ออก? ไม่ได้แล้ว ” หยู่เหวินเห้าใช้ผ้าขนหนูเช็ดกล้องสูบยา และถาม.
“เป็นสิ่งที่ดีเลิศ ท่านไม่ชอบสูบ ย่อมไม่รู้ดีว่าเป็นของดี ท่านอย่าทำเลย”ทังหยางเอื้อมมือไปรับ “พรุ่งนี้รอพระชายารัชทายาทเสด็จกลับมา พวกเจ้าเข้าไปที่วังพร้อมกันเพื่อไปรับลูก ก็ต้องหาหาสิ่งของดีๆให้ไท่ซ่างหวงและไทเฮาเพื่อเอาใจ ถึงจะรับกลับมาอย่างราบรื่น”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างมีความสุข “ถูกต้อง นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เจอพวกเขา พวกเขาสนิทกับข้ามาก ไม่เห็นข้ากับพระชายา คงจะร้องไห้จนผอมแน่ๆ”
ยังมีอีก พรุ่งนี้ท่านยาก็กลับด้วย นางยังไม่เคยเห็นเด็ก ถ้าเจอพรุ่งนี้ คงจะดีใจมาก
“คิดว่าคงจะตัวใหญ่แข็งแรงขึ้นมาก ไทเฮาไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาผอมหรอก ถ้าผอมจริงๆ คิดว่าในวังคงจะเกิดเรื่องวุ่นวายแน่นอน” ทังหยางยิ้มและนำถุงบุหรี่ใส่ไว้ในกล่องและปิดให้สนิท นั่งลงและมองไปที่หยู่เหวินเห้า “รัชทายาทเจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะลงโทษอ๋องอานไหม?
หยู่เหวินเห้าลืมตาขึ้น วางเท้าลงบนโต๊ะเตี้ย เอนตัวไปด้านหลัง ทำท่าทางเกียจคร้าน “ชั่วขณะคงจะไม่ลงโทษ แต่ความทะเยอทะยานของหยู่เหวินอันค่อยๆเปิดเผยออกมา และเสด็จพ่อก็จะต้องป้องกันไว้ ก็เป็นเช่นนี้แหละ คงไม่สามารถบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เสี้ยวหงเฉิงช่วยฉันตรวจสอบแล้ว เมื่อตอนที่พี่สี่อยู่ในค่ายทหาร ได้พบกับท่านชายหงเย่ของเซียนเปยหลายครั้ง ถ้าไปบีบบังคับพี่สี่เกินไป จะไม่ใช่เรื่องดี”