บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 662 รับเด็กออกจากวัง
ทังหยางพูดว่า “ตอนนี้อ๋องอานยังไม่ถึงขนาดจะสมรู้ร่วมคิดกับเซียนเปย แต่ถ้าบีบบังคับกันเกินไป ไม่ใช่ว่าจะไม่กล้าทำ”
เขามองดูหยู่เหวินเห้า ปรากฏรอยยิ้มอย่างพอใจ “ตอนนี้รัชทายาทจัดการเรื่องต่างๆมีความเป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นมากขึ้น สามารถนึกถึงเรื่องภายภาคหน้า บางทีในใจของฮ่องเต้คงจะมีความสุขมาก”
หยู่เหวินเห้าค่อยๆดื่มชา “ตาเฒ่าจะมีความสุขหรือไม่ฉันไม่รู้ เดิมทีจะเรียกข้าไปสั่งสอนสักตั้ง โชคดีที่ข้ามองการณ์ไกล จึงพูดก่อนว่าพระชายารัชทายาทอัดอั้นตันใจแค่ไหน ในใจตาเฒ่ารู้สึกผิด เลยไม่ได้ลงโทษข้า”
ทังหยางก็มีความสุขมากเช่นกัน “ทุกวันนี้ผู้คนภายนอกต่างยกย่องพระชายารัชทายาท พวกนี้นี่ไม่ใช่ของดีอะไร แต่ก่อนดุด่าอย่างชั่วร้าย แต่ตอนนี้พอประกาศออกไป ก็เปลี่ยนคำพูดทันที”
หยู่เหวินห้าวพูดว่า “นี่อาจเป็นผลของสมัยนิยมที่เจ้าหยวนพูดก่อนหน้านี้ด่าเจ้าหยวน ว่ามีคนนำ มาวันนี้เสด็จพ่อได้รับสั่งออกไป คนในราชสำนักได้เป่าประกาศออกไป ชาวบ้านก็ต้องทำตามสถานการณ์ บวกกับโรคเรื้อนได้คุกคามพวกเขามาเป็นเวลานาน ตอนนี้ได้ยินว่าสามารถรักษาให้หายขาดได้ ใครจะกล้าด่าอีก? จะบูชายังทำไม่ทันเลย”
ทังหยางรู้สึกมีเหตุผล “จริงสิ พระชายารัชทายาทคืนนี้น่าจะได้กลับมา”
หยู่เหวินเห้ายืนขึ้นมา ยิ้มอย่างมีความสุข “สะใภ้จะกลับมาในเวลากลางคืน เอาล่ะ ข้าจะกลับไปที่ทำการปกครองอีกครั้ง ศาลต้าหลี่จะมาส่งมอบคดี ต่อจากนี้ไปจะมีเวลาว่างอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหยวนแล้ว”
ทังหยางพูดด้วยรอยยิ้ม “พระชายารัชทายาทคงจะไม่มีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน เร่งรีบกลับมาในตอนกลางคืน พรุ่งนี้ก็รับซื่อจื่อกลับมา มะรืนตั้งแต่เช้าก็คงจะพาหมอในโรงหมอหุ้ยหมิงขึ้นไปบนเขา จัดการเรื่องในเขาโรคเรื้อน เปิดโรงเรียนแพทย์ พระชายารัชทายาทคงจะยุ่งมาก จะมีเวลาไปสังสรรค์กับรัชทายาทได้ที่ไหน”
หยู่เหวินเห้าพยุงกำแพงออกไป น่าเบื่อจริงๆ แต่งนางสนมสักคนนางคงจะซื่อสัตย์ขึ้น หรือไม่ก็ให้นางคลอดลูกแฝดสามก็คงยิ่งซื่อสัตย์
เวลาเกือบห้าทุ่มหยวนชิงหลิงกลับถึงบ้าน ย่าหยวนเหนื่อยมาก แต่เมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้จะได้เจอเด็กๆ ก็ตื่นเต้นดีใจมาก อยู่ที่นี่มานาน สิ่งเดียวที่เสียใจคือไม่ได้เจอหน้าเด็กๆ
หยู่เหวินเห้าส่งนางกลับไปพักผ่อนที่หอเฟิ่งหยี ตอนนี้ย่าหยวนรู้สึกถูกชะตากับหยู่เหวินเห้ามากขึ้น หลานเขยคนนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถและมีความรับผิดชอบ และยังรู้จักให้เกียรติและเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่เลว
เมื่อจัดการเรื่องของท่านย่าเรียบร้อย หยู่เหวินเห้าก็กลับห้องเก็บเสื้อผ้า และดึงหยวนชิงหลิงที่พึ่งนั่งลงและกำลังจะจิบชาไปนิดหนึ่ง “ไป ไปแช่ตัวอาบน้ำ”
หยวนชิงหลิงกำลังทุบต้นขา “ให้ข้าพักผ่อนสักพัก ข้าเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว”
นางกลับมาวันนี้ ต้องไปที่หมู่ตึกเหมยก่อน แล้วลงจากหมู่ตึกเหมย มันเหนื่อยเกินไป
หยู่เหวินเห้าใช้มือข้างหนึ่งอุ้มนางขึ้นแล้วแบกออกไป “ถ้าเหนื่อยมากแช่ตัวก็ถูกต้องแล้ว แช่สักครู่รับรองความเหนื่อยล้าหายไปแน่นอน”
หยวนชิงหลิงปล่อยมือสองข้างลง และถอนหายใจเบาๆ สมควรแต่งนางสนมให้กับเขาสักคนไหม? มิฉะนั้นพลังงานในร่างกายของเขาคงใช้ไม่หมดสักที
ในสระผีเต็มไปด้วยหมอก หยวนชิงหลิงแช่ตัวอยู่ในสระ หัวของนางนอนอยู่บนพื้นหยกสีขาวข้างขอบ ใบหน้าที่สวยงามเป็นสีแดงก่ำ ขนตาเปียกด้วยน้ำหมอก และก้มลงอย่างหมดเรี่ยวแรง “เจ้าห้า เมื่อกี้ตอนที่ข้ากลับเมืองมาชาวบ้านที่เห็นรถม้าของข้า พากันส่งเสียงยินดี ยากที่จะจินตนาการว่าก่อนหน้านี้พวกเขายังโยนไข่เน่าให้ฉัน”
หยู่เหวินเห้ายื่นมือออกไปเพื่อเพื่อม้วนผมที่เปียกชื้นของนาง “ก่อนหน้านี้คนที่โยนไข่เน่าให้เจ้ามีคนบงการ ตอนนี้ที่ส่งเสียงยินดีให้กับเจ้านั้นมาจากใจจริง ลืมเรื่องไข่เน่านั่นซะ จำแต่เสียงโห่ร้องยินดีของพวกเขาไว้ก็พอ”
หยวนชิงหลิงหันกลับมา มือสองข้างโอบที่คอของเขา และยิ้มอย่างงดงาม “ท่านปลอบใจข้าเหรอ? ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ทุกข์ใจ”
“มีชาวบ้านเยอะแยะที่ไม่เคยเรียนหนังสือ และง่ายต่อการถูกคนอื่นจูงจมูก ไม่ควรนำมาใส่ใจ เจ้าหยวน เจ้าเป็นคนใจกว้างมาก” หยู่เหวินเห้าก้มหัวและวางมือบนเอวของนาง และหอมแก้มที่แดงเหมือนคนขี้เมา “เอาล่ะ ลุกขึ้นได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปวัง รีบไปที่ห้องนอนทำธุระที่สำคัญเสร็จแล้วรีบนอน”
ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว หยวนชิงหลิงก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรง
แต่โชคดีที่ เจ้าห้ารู้จักถนุถนอมตัวเองแล้ว รู้ว่านางจะกลับมาคืนนี้ ให้คนไปต้มซุปบำรุงร่างกายไว้
ทั้งคืนไม่มีอะไรจะพูด เช้าวันรุ่งขึ้นสามีภรรยาก็เข้าไปในวังเพื่อไปรับลูกๆ
ทางด้านไท่ซ่างหวงนั้นพูดง่าย หยู่เหวินเห้ามอบกล้องสูบยาทองให้ บวกกับหยู่เหวินเห้าได้ถามไถ่ทุกข์สุขดิบ สูตรนี้ใช้กับไท่ซ่างหวงได้ผลมาก และให้พวกเขาไปรับเด็กที่วังไทเฮา
ไทเฮาไม่เต็มใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ดูแลเลี้ยงเองเป็นเวลานาน และเลี้ยงพวกเขาสามคนจนขาวอ้วนตุ้ยนุ้ย และต้องคืนกลับไป
ยังดีที่เสี่ยวฉางชี่ตามไปด้วยและช่วยพูดเกลี้ยกล่อม บอกว่าลูกๆไม่ควรห่างไกลพ่อแม่บ่อยๆ และเด็กๆจะต้องได้รับการบำรุงเลี้ยงดูอยู่ในพื้นที่ล้ำค่าในจวนอ๋องฉู่ ไทเฮาจึงยอมให้แม่นมไปอุ้มเด็กๆออกมาอย่างไม่เต็มใจ
เมื่ออุ้มมาแล้วหยู่เหวินเห้าและภรรยาเห็น ทั้งคู่ก็ตกตะลึง ใบหน้านั้นเกือบใหญ่เท่าซาลาเปาใหญ่แล้ว
“กินอะไรมา? ทำไมอ้วนขนาดนี้!” หยู่เหวินเห้าอุ้มซาลาเปาขึ้นมา หนักมาก อย่างน้อยน้ำหนักขึ้นสองกิโล แก้มสองข้างย้อยลงมา น่าเกลียดมากเหมือนซาลาเปาที่เต็มไปด้วยเนื้อ
หยวนชิงหลิงก็หัวเราะ หรือว่าไทเฮากลัวว่าพวกเขาจะหิว ดังนั้นจึงพยายามให้แม่นมป้อนอาหารให้ แม้แต่ข้าวเหนียวก็ยังอ้วนขึ้นมาก
“ทำไมเหรอ เด็กๆต้องอ้วนถึงจะดูดี” ไทเฮาเห็นพวกเขาแสดงสีหน้าประหลาดใจ รู้สึกไม่พอใจ
“ใช่แล้ว ดูผิวพรรณซิ……สีหน้าผิวพรรณดีแค่ไหน” หยวนชิงหลิงฝืนใจชมเชย “โอ้ ฟันงอกออกมาใหม่แล้ว มีสี่ซี่แล้ว
“ก็ใช่นะซิ กินเนื้อกันแล้ว แค่อึบใจสามารถกินเนื้อชามเล็กๆได้” ไทเฮาตรัส
หยวนชิงหลิงคิดว่าควรเพิ่มอาหารเสริมในเวลานี้ แต่กินเนื้อเยอะๆจะได้ไหม? ท้องไส้จะมีปัญหาหรือเปล่า
ทั้งสองไม่พูดอะไรมาก และอุ้มลูกออกจากวัง
ระหว่างทางแม่นมได้บอกหยวนชิงหลิง เดิมทีพวกเด็กๆอ้วนกว่านี้ สองสามวันท้องเสีย และเรียกหมอหลวงมาดู หมอหลวงบอกว่ากินอาหารมันเยิ้มเกินไปหน่อย บอกให้ไม่ต้องกินเนื้อ แต่พวกเด็กๆติดใจเนื้อแล้ว คิดถึงแต่รสชาติของเนื้อ ไม่ให้กินเนื้อก็ร้องไห้ เห็นเด็กๆร้องไห้ไทเฮาก็ทำใจไม่ได้ จึงให้คนนำมาให้ ตามใจมากเกินไป
หลังจากหยู่เหวินเห้าฟังจบ ก็ขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้ห้ามให้เสด็จย่าดูแล”
“เกรงว่าเจ้าจะตัดสินใจเองไม่ได้” หยวนชิงหลิงถามแม่นม “อยู่ในวัง มีเรื่องพิเศษอะไรเกิดขึ้นไหม?”
แม่นมคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ขอตอบพระชายารัชทายาท ไม่มีเรื่องพิเศษอะไร มีวันหนึ่งคนในวังของเสียนเฟยมาบอกว่าอยากเจอซื่อจื่อ และให้ไทเฮาอนุญาตให้นางออกมา”
“แล้ววันนั้นไทเฮาให้นางได้พบไหม?” หยวนชิงหลิงถาม
แม่นมส่ายหัว “ไทเฮาไม่อนุญาต และยังให้คนไปสั่งสอนสอนเสียนเฟย และบอกให้คนในวังจับตาดูนางดีๆ อย่าให้นางแอบหนีออกมา ข้าน้อยได้ยินมาว่าฮู่เฟยกำลังจะคลอดบุตร เกรงว่านางจะไปวุ่นวายกับฮู่เฟย”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาฮู่เฟย ก็จะคลอดลูกแล้ว”
หยู่เหวินเห้าอุ้มซาลาเปาที่หนักมากๆ รู้สึกว่าเด็กที่หน้าตาหล่อเหลาได้หายไปแล้ว และส่งลูกหมูให้สามตัว รู้สึกอารมณ์เสียมาก ได้ยินหลิงชิงหลิงพูดถึงเรื่องฮู่เฟย ก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และพูดอย่างเฉยเมย “แตงสุกแล้วก็หล่น ถึงเวลาก็คลอดเอง จะแปลกอะไร?”
หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาโมโหเหมือนเด็กอีก ไม่อยากสนใจเขา เพียงแค่หยอกล้อกับข้าวเหนียว