บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 674 เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
หมอหลวงพูดว่า: “ทูลฝ่าบาท ผลของยาเม็ดจื่อจินจะคงอยู่ได้เพียงสองถึงสามวันเท่านั้น หากอาการภายในสองสามวันนี้ของพระชายาแย่ลงอีก หม่อมฉันก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงแล้ว หากไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ในสองสามวัน หลังจากประสิทธิภาพของยาเม็ดจื่อจินหมดลง เกรงว่าคงไม่อาจรั้งพระชายาไว้ได้แล้ว”
แววพระเนตรของฮ่องเต้หมิงหยวนหนักอึ้งจมดิ่งลงทันที
เกิดหนึ่งตายหนึ่ง ฮู่เฟยคลอดมาได้หนึ่ง แต่ทารกในครรภ์ของพระชายาอานตายไปหนึ่ง มาตอนนี้แม้แต่ชีวิตนางก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้ ทำไมวันนี้มันถึงเกิดเรื่องได้มากมายขนาดนี้กัน?
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองไปที่อ๋องอาน ” เจ้าจะยอมให้เชิญพระชายารัชทายาทมาช่วยดูอาการให้นางหรือไม่ล่ะ? ”
อ๋องอานไม่แม้แต่จะคิดก็ส่ายหน้าทันที: “ไม่พ่ะย่ะค่ะ มีหมอหลวงอยู่ก็พอแล้ว คนที่มีไอโชคร้ายเช่นนั้น หม่อมฉันไม่อยากไปเกลือกกลั้วด้วย”
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกไม่พอพระทัยมาก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ จะไปตำหนิด่าทอเขาก็ไม่ได้ จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เมื่อปลอบใจไปสองสามคำ ก็หันไปสั่งอะหลูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า “ดูแลท่านอ๋องของเจ้าด้วยล่ะ อย่าให้เขาหมกมุ่นกับเรื่องของพระชายาจนเกินไปจนส่งผลร้ายต่อสุขภาพ”
อะหลูยืนเงียบอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จึงค้อมกายลงแล้วตอบว่า: “เพคะ!”
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนออกไป ก็มีรับสั่งเรียกกู้ซือเข้ามา กู้ซือเพิ่งได้รู้ว่าใต้เท้าฝูจับกุมตัวเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไว้ กำลังสอบถามจนเข้าใจ ก็ได้ยินคำสั่งเรียกเข้าพบของฝ่าบาท จึงรีบมาทันที
“กรมวังจับกุมตัวเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไว้ สถานการณ์เป็นอย่างไรแน่?” ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสถาม
กู้ซือคุกเข่าข้างหนึ่งลง พูดว่า “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้หม่อมฉันเพิ่งไปถามจนได้ความกระจ่างมาเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ ตอนที่ใต้เท้าฝูไปตรวจสอบในอุทยานหลวง ได้สอบถามบรรดาข้ารับใช้ในวัง พบว่าในเวลานั้น มีเพียงเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยคนเดียวเท่านั้นที่ไปศาลาจันทร์เสี้ยว นอนนั้นก็ไม่มีใครเข้าใกล้ที่นั่นอีก ดังนั้น ใต้เท้าฝูจึงนำตัวเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไปที่กรมวัง เพื่อทำการสอบปากคำพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวว่า: ” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แค่ไปถามเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยก็พอแล้วนี่ ทำไมต้องนำตัวไปกรมวัง ? เขามีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าพระยา ก่อนจะมีการตัดสินว่ากระทำความผิด จะนำตัวไปกรมวังเพื่อสอบปากคำได้อย่างไรกัน ?”
กู้ซือพูดอย่างจนใจว่า: “ฝ่าบาท ท่านก็ทรงทราบถึงอุปนิสัยของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยดี เขาได้ยินข้อสงสัยของใต้เท้าฝู ก็อารมณ์เสียจนลงมือทำร้ายกองทหารรักษาพระองค์ ใต้เท้าฝูถึงได้นำตัวเขาไปกรมวัง ทั้งยังลงทัณฑ์โบยไปสามสิบไม้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สมองฮ่องเต้หมิงหยวน แทบจะร้อนจนมีควันสีเขียวพวยพุ่งออกมาได้อยู่แล้ว “ยังถึงขั้นกล้าลงมือกับกองทหารรักษาพระองค์อีก? เขาบ้าคลั่งจนเสียสติไปแล้วอย่างนั้นรึ?”
แม้ว่ากู้ซือจะมีใจอยากช่วยเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย แต่ครั้งนี้เขาช่วยไม่ได้จริง ๆ ตาเฒ่าหัวดื้อนั่นช่างไม่รู้จักลดทิฐิลงเสียบ้างเลย ทั้งประมาทเลินเล่อ ใจร้อนวู่วาม เผด็จการเอาแต่ตนเป็นที่ตั้ง เขารายงานไปตามความจริงว่า “ตอนที่ไปถึงกรมวัง เขาก็อาละวาดสร้างความวุ่นวายอีก ตอนนี้กำลังสอบปากคำอยู่ เขาไม่ยอมรับว่าเป็นคนทำร้ายพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
จนวันนี้ ฮ่องเต้หยวนหมิงก็ไม่ได้มีความรู้สึกด้านดีต่อพ่อตาคนนี้มากมายอะไรนัก ยิ่งได้ยินว่าเขาหุนหันพลันแล่นขนาดนี้ ก็ยิ่งไม่อยากช่วยเขาเข้าไปใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของฮู่เฟย ฮู่เฟยก็เพิ่งจะเสี่ยงชีวิตคลอดพระโอรสให้กับพระองค์ จะอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ฮู่เฟยต้องโศกเศร้าเสียใจได้
พระองค์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ” ฝูสู้ทำอะไรค่อนข้างหุนหันพลันแล่น เจ้าจงไปจับตาดูหน่อย เรื่องนี้อย่าได้กระโตกกระตากไป ยิ่งไม่ควรเล็ดลอดไปให้ทางฮู่เฟยได้ยินเป็นอันขาด”
กู้ซือเอ่ยถามว่า: “เช่นนั้นควรให้สอบปากคำที่กรมวังต่อไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ควรต้องส่งย้ายออกไปหรือไม่?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องสอบสวนที่กรมวัง กรมวังเป็นสถานที่ที่ราชสำนักฝ่ายในใช้สอบปากคำ ส่งไปให้กรมการพระนคร ให้เจ้าห้าตรวจสอบให้กระจ่าง อย่าได้ใส่ร้ายโยนความผิดให้เขา แต่ถ้าหากเป็นเขาทำจริง ๆ ก็อย่าได้ลำเอียงเข้าข้างเป็นอันขาด ”
กู้ซือรับคำสั่งแล้วจึงจากไป
ฮ่องเต้หมิงหยวนเหยียดพระหัตถ์ ขมวดคิ้วมุ่น วันนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องน่ายินดี แต่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ตรมจริงๆ
มู่หรูกงกงยกน้ำแกงโสมเข้ามา “ฝ่าบาท โปรดสงบสติอารมณ์ด้วย ถ้ามอบให้รัชทายาทเป็นคนสืบสวน จะต้องค้นหาความจริงได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไม่ได้ทำ รัชทายาทจะต้องคืนความบริสุทธิ์ให้เขาได้แน่ คงไม่ถึงขั้นทำให้ฮู่เฟยต้องเสียใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนปรายพระเนตรมองมู่หรูกงกงอย่างเหนื่อยใจ “ เจ้าว่า วันที่น่ายินดีเช่นนี้ จะให้ข้ามีความสุขนานกว่านี้อีกสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ ? ปีนี้ข้าก็อายุสี่สิบหกแล้ว ได้ลูกชายมาอีกคน พระชายารัชทายาทก็สามารถเอาชนะโรคเรื้อนได้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่น่ายินดีขนาดนี้แท้ ๆ ทำไมมันถึงได้เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นมาอีกล่ะ?”
พระองค์รับน้ำแกงโสมมา ดื่มไปคำหนึ่ง รู้สึกว่ามีแต่รสขมเต็มปากจนต้องวางลงอีกครั้ง มองไปที่มู่หรูกงกง “เจ้าว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจะเป็นคนร้าย?”
มู่หรูกงกงตอบเสียงเบาว่า : “เกรงว่าเจตนาฆ่านั้นคงไม่มี แต่ถ้าโกรธจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ไปชั่วครู่ นั่นก็มีความเป็นไปได้มากพ่ะย่ะค่ะ”
“สรุปว่าเป็นเพราะให้ท้ายเขามากเกินไปหรือนี่!” ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธกริ้ว “ตอนแรกที่กลับราชสำนักมาจัดงานแต่ง ก็ทำให้ข้าโกรธมากพออยู่แล้ว เดิมทีคิดจะว่าทำให้เขาสงบเสงี่ยมเก็บท่าทีลงไปได้บ้าง กลับคิดไม่ถึงว่าจะยิ่งเย่อหยิ่งจองหองขึ้นไปอีก ก็ดี! ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ ก็ต้องให้เขาได้รับบทเรียนเสียหน่อย!”
มู่หรูกงกงกล่าวว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นก็ให้รัชทายาทไปตรวจสอบดูก่อน ถ้าหากไม่ใช่ฝีมือเขาจริง ๆ หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป ก็ถือว่าเขาได้รับบทเรียนแล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ตรัสอะไรอีก เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจะเป็นอย่างไร พระองค์ไม่ได้สนพระทัยนักหรอก เพียงแต่กลัวว่าฮู่เฟยจะเสียใจ
ตอนนี้อาการของนางไม่ค่อยดีนัก แม้แต่พระชายารัชทายาทก็ยังไม่อาจออกจากวังไปได้ ต้องคอยเฝ้าอยู่หน้าเตียงตลอด ถ้าให้นางรู้เรื่องนี้ ด้วยสายสัมพันธ์พ่อลูกที่รักใคร่แน่นแฟ้น ก็กลัวว่านางจะคิดมากจนเกินไป จนทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้
ฮองเฮาฉู่เข้ามาถามว่า จะให้จัดการกับจวิ้นจู่องจิ้งกับเสี้ยนจู่โหรหมิ่นอย่างไรดี
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่อยากสนใจสองคนนี้แล้ว จึงมอบให้เป็นหน้าที่ของไทเฮาเป็นผู้ตัดสินโทษ
หลังจากฮู่เฟยคลอดลูกแล้ว ก็ยังคงพักอยู่ที่ตำหนักสู้ซิน เนื่องจากนางเพิ่งได้รับการผ่าตัด จึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว
คืนนี้หยวนชิงหลิงไม่ได้ออกจากวัง แต่พักที่ตำหนักสู้ซิน หลังจากที่ย่าหยวนกลับมาจากตำหนักของไทเฮา ก็ถูกหยู่เหวินเห้าพาออกจากวังไปทันที เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายนอกเหล่านั้น นางไม่ได้รับรู้อะไรมากนัก
คืนนี้หรงเยว่พักอยู่ในวังกับหยวนชิงหลิง อันที่จริงหรงเยว่ไม่ได้มาอยู่ค้างเพื่อดูแลฮู่เฟย นางไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอะไรกับฮู่เฟยนัก แต่นางอยู่เพื่อพระชายาอาน
นางเคยออกหน้าให้พระชายาอานมาก่อน เรียกว่ามีความรู้สึกสงสารเอ็นดู ผู้หญิงที่เหมือนกับกระต่ายน้อยสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างพระชายาอานไม่น้อย
นางเคยเป็นคนโหดเหี้ยมที่ฆ่าคนได้แบบตาไม่กระพริบมาก่อน เคยชินกับการเห็นความทารุณมาทุกรูปแบบ หลังจากได้พบพระชายาอาน นางตกใจมากที่โลกใบนี้ยังมีผู้หญิงที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาขนาดนี้อยู่ด้วย
โง่เง่า
โง่จนทำให้คนขนลุกชี้ชันด้วยความโกรธได้เลยทีเดียว
ในสังคมศักดินาที่บัลลังก์จะเป็นของผู้มีสิทธิ์เพื่อให้ตนเองได้สืบทอดบัลลังก์เช่นนี้ นางเป็นพระชายาของอ๋องอาน ถึงขั้นรักษาความหวังอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไว้ได้ นางใส่ใจรักใคร่พี่น้องของอ๋องอานทุกคน ห่วงใยความสามัคคีระหว่างเหล่าพี่สะใภ้น้องสะใภ้พระชายาทั้งหลาย ไม่ว่าบ้านใครเกิดเรื่อง นางก็จะเป็นคนแรกที่เป็นห่วงเป็นกังวล
ความโง่เขลาแบบนี้นี่เอง ที่กลับทำให้คนที่เห็นเกิดความรู้สึกหวงแหน อยากทะนุถนอมไว้
ในคืนอันยาวนานที่เฝ้าดูอาการของฮู่เฟย หยวนชิงหลิงแทบไม่สามารถออกมาดื่มชาได้แม้สักคำ ต้องนั่งเฝ้าอยู่ในตำหนักด้านข้างกับหรงเยว่
หยวนชิงหลิงเห็นว่าหรงเยว่กังวลใจ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ฮู่เฟยดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใหญ่ให้ต้องกังวลอะไรแล้วล่ะ”
หรงเยว่เงยหน้าขึ้นมองนาง “ข้าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับฮู่เฟยหรอก ข้ากังวลเกี่ยวกับพระชายาอานต่างหาก”
ในความวุ่นวายโกลาหลของวันนี้ หยวนชิงหลิงได้ยินว่าพระชายาอานเกิดเรื่องบางอย่าง แต่แค่ไม่รู้ว่ามันร้ายแรงขนาดไหน เมื่อได้ยินหรงเยว่พูดขึ้นมา จึงรีบถามทันทีว่า: “พระชายาอานเป็นอะไรไปรึ?”
หรงเยว่ส่ายหน้า “ได้ยินมาว่าไม่ดีเลย กินยาเม็ดจื่อจินเข้าไปแล้ว คงแค่พอประคองอาการไปได้สักสองสามวัน”
หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ ” ถึงกับต้องใช้ยาเม็ดจื่อจินนี่มันร้ายแรงขนาดไหนกัน ? ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าเด็กก็ไม่อยู่แล้วอย่างนั้นรึ?”
“เด็กไม่อยู่แล้ว กระทั่งชีวิตตัวเองก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ด้วย ” หรงเยว่ตอบ
“สวรรค์! ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ?” หยวนชิงหลิงนึกถึงรูปลักษณ์ที่แสนอ่อนโยนนุ่มนวลของพระชายาอาน มาตอนนี้กลับต้องมาประสบกับเคราะห์หนักขนาดนี้ ก็อดรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้
“ไม่รู้สิ ได้ยินมาว่าจับตัวเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไปขังเพื่อสอบสวนอยู่ ” หรงเยว่ตอบกลับ หันไปมองรอบ ๆ แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเข้ามา นางก็กดเสียงตัวเองจนต่ำแล้วพูดว่า: “ว่ากันว่าเจ้าพระยาเจิ้งป่ยทะเลาะกันกับอ๋องอาน เกิดเป็นความแค้นในใจ จึงเอาความโกรธนั้นไปลงกับพระชายาอาน จนลงมือทำร้ายนางไปหนึ่งฝ่ามือ”
“เป็นไปไม่ได้!” หยวนชิงหลิงสวนขึ้นมาทันควัน “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”