บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 676 สอบสวนเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย
อ๋องอานจ้องมองนางด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์อยู่นาน จึงค่อยพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าออกไปจากวังเสียเถอะ ไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว”
อะหลูเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเสียใจ “ท่านอ๋อง ได้โปรดให้อะหลูอยู่ดูแลพระชายาที่นี่เถิดเพคะ ในอดีตอะหลูทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคารพพระชายา แต่พระชายาก็อภัยให้ทุกครั้ง ในใจของอะหลูรู้สึกซาบซึ้งนัก ครั้งนี้นางเกิดเรื่องก็เพราะความประมาทของอะหลู หากพระชายายังไม่ดีขึ้นมา อะหลูก็ยังไม่อาจวางใจที่จะออกจากวังไปได้จริง ๆ เพคะ”
กุ้ยเฟยพูดเสียงเบาว่า: “หายากที่นางจะมีใจเช่นนี้ ปล่อยให้นางอยู่ที่นี่คอยช่วยดูแลเถอะ”
แม้ว่ากุ้ยเฟยจะไม่ชอบอะหลู แต่นางก็รู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างทั้งภายใน และภายนอกจวนอ๋องอานล้วนต้องพึ่งพานาง จะอย่างไรก็ไม่ควรใจร้ายกับนางให้มากเกินไปนัก
เมื่ออ๋องอานได้ยินกุ้ยเฟยพูดเช่นนี้ ก็ไม่พูดอะไรอีก แต่เขาไม่ยินดีที่จะให้มีคนจำนวนมากขนาดนี้อยู่กับเขาในวัง จึงบอกให้นางออกไป
อะหลูลุกขึ้นแล้วเดินออกไป มือที่กำเป็นหมัดแน่นประเดี๋ยวคลายประเดี๋ยวกำ ในอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ กลับผุดไหลออกมาจากหน้าผากไม่หยุด
เมื่อกุ้ยเฟยเห็นว่านางออกไปแล้ว จึงพูดกับอ๋องอานว่า: “เจ้าหนอเจ้า ไม่น่าต้องทำเย็นชาเฉยเมยกับนางถึงขนาดนี้ก็ได้ หัวใจของผู้หญิงน่ะ สามารถทั้งอ่อนโยนนุ่มนวล แล้วก็สามารถเย็นชาจนน่ากลัวได้ทั้งนั้น นางรู้เรื่องของเจ้ามากมายหลายอย่างเหลือเกินแล้ว หากไปทำให้นางขุ่นเคืองจะไม่เป็นผลดีนะ ”
อ๋องอานพยักหน้ารับแบบขอไปที “เข้าใจแล้วท่านแม่ ท่านก็ไปพักผ่อนเถอะ ลูกจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนนางเอง”
“เจ้าก็ควรไปพักผ่อนสักครู่เถอะ นางคงจะไม่เป็นไรไปสักพักใหญ่ ๆ กินยาเม็ดจื่อจินเข้าไป จะดีจะร้ายก็พอบรรเทาอาการไปได้ราวสองสามวัน หมอหลวงก็รอดูอาการอยู่ด้านนอกเช่นกัน อย่ากังวลจนเกินไปจะพาลไม่สบายได้นะ” กุ้ยเฟยพูดกล่อม
“ลูกรู้!” อ๋องอานถอนสายตากลับมาจากใบหน้าของพระชายาอานอย่างทึ่มทื่อ พยุงกุ้ยเฟยออกไปข้างนอก “อีกครู่เดียวลูกก็จะไปพักผ่อนแล้ว ขออยู่กับนางอีกสักครู่ก่อน”
กุ้ยเฟยครุ่นคิดอย่างหนัก แล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นจริง ๆ ไม่สู้ไปเชิญพระชายารัชทายาท…..”
อ๋องอานไม่แม้แต่จะคิด ก็ปฏิเสธออกมาอย่างดื้อรั้นทันที “ไม่! ทำไมท่านแม่ถึงสับสนเลอะเลือนขึ้นมาเสียแล้ว ? ถ้าไปหานาง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่านางจะมาหรือไม่ ต่อให้นางมาจริง ๆ นางจะยอมช่วยจากใจจริงรึ?”
กุ้ยเฟยพยักหน้าอย่างเหนื่อยล้า “ก็จริง ถ้าก่อนหน้านี้เจ้ายังไม่ถูกฉีกหน้ากากก็ยังดี แต่ตอนนี้เรื่องใหญ่โตจนเป็นถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็รู้เรื่องแผนการทั้งหลายของเจ้าแล้วด้วย เกรงว่าถึงจะมาก็คงเพราะ มาแค่เป็นพิธีเพื่อเอาใจเสด็จพ่อของเจ้าเท่านั้นแหล่ะ เอาเถอะ ชายาของเจ้า เจ้าก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”
พูดจบ กุ้ยเฟยก็ออกไปทันที
อ๋องอานเรียกอะหลูเข้ามา หลุบสายตาลง ปกปิดประกายแสงแห่งความเกลียดชัง “เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยถูกย้ายตัวไปที่กรมการพระนครแล้ว อย่างไรเจ้าก็ออกจากวังไปสักครั้ง ไปบอกให้กรมอาญาคอยจับตาดูหน่อย เผื่อว่าหยู่เหวินเห้าอาจจะเห็นแก่เรื่องส่วนตัว แอบปล่อยเขาไป”
อะหลูตอบรับ: “รับทราบ!”
อ๋องอานปรายตามองนางแวบหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “หลังจากทำเรื่องนี้เสร็จ ก็เข้าวังมาช่วยข้าดูแลพระชายาด้วยล่ะ”
อะหลูน้ำตาคลอหน่วย ช้อนสายตาขึ้นมองอ๋องอานอย่างอ่อนช้อย “ขอบคุณท่านอ๋อง!”
หลังจากที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยถูกส่งตัวไปยังกรมการพระนคร หยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้ขังเขาไว้ แต่จัดที่ทางไว้ให้เขาที่ด้านหลังที่ทำการ ถึงขั้นเรียกหมอมาช่วยใส่ยารักษาบาดแผลให้เขา
นายทะเบียนประจำกรมการพระนครติงว่านี่เป็นการไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามกฎ หยู่เหวินเห้าถึงกับจ้องเขาตาเขม็ง “อะไรคือไม่เหมาะสมตามกฎ? เขาถูกทัณฑ์โบยเพราะเรื่องลงมือกับกองทหารรักษาพระองค์ในวัง ส่วนเรื่องที่ว่าเขาทำร้ายพระชายาอานหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่ยังต้องสอบสวน ตราบใดที่ยังไม่ถูกตัดสินว่าผิด เขาก็ไม่ใช่คนร้าย อีกทั้งฝ่าบาทก็ไม่ได้ริบตำแหน่งเจ้าพระยาของเขาคืน จะให้กระทำการตัดสินในฐานะนักโทษได้อย่างไรกัน? ”
ผู้ช่วยเจ้ากรมก็พูดเสริมขึ้นว่า: “ใช่แล้ว ตอนนี้ท่านเจ้าพระยาถูกกักตัวไว้ ยังไม่มีการตัดสินโทษ จะส่งตัวเข้าคุกไม่ได้ ทำแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน จากนี้ค่อยไปสอบปากคำ”
เมื่อนายทะเบียนได้ยินดังนั้น จึงทำได้เพียงต้องถอยไป
ทางหยู่เหวินเห้าก็รอให้เจ้าพระยาได้รับยาใส่แผลจนเสร็จ ทั้งไม่ได้นำใครคนอื่นเข้ามา แค่นำตัวซือเย๋ (ที่ปรึกษาของที่ทำการปกครอง) เข้ามาเพื่อจดบันทึก
เมื่อวานเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยยังมีท่าทีอหังการ น่าเกรงขามไม่น้อย แต่ตอนนี้เขาถูกโบยไปสามสิบไม้ แล้วยังถูกย้ายตัวไปที่กรมการพระนครอีก จึงมีสภาพเหี่ยวเฉาอิดโรยเหมือนมะเขือยาวที่ถูกทุบด้วยน้ำแข็งมาทั้งคืน บอบช้ำยับเยินอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้ามาถึง เขาก็ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พูดเสียงดังจนเคราปลิวพะเยิบพะยาบว่า: “ข้าไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ ต่อให้ข้ามีนิสัยดุร้ายป่าเถื่อน ก็ไม่มีทางเอาโทสะไประบายกับผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง รัชทายาท ท่านจะต้องค้นหาความจริงให้ได้นะ!”
หยู่เหวินเห้ารินน้ำแก้วหนึ่งให้เขาด้วยตัวเอง หลังจากยื่นให้ ก็นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าเขาแล้วมองดูเขาดื่มน้ำแก้วนั้นลงไปอย่างหิวกระหาย ค่อยพูดขึ้นว่า: “เจ้าพระยา ไม่ใช่ว่าจะสั่งสอนเจ้านะ แต่มันก็จริงอย่างที่เจ้าพูด นับตั้งแต่ที่เจ้าสามารถเอาชนะเป่ยโม่ได้ จนกลับมาถึงราชสำนัก ดูเอาเถิดว่าเจ้าเย่อหยิ่งทะนงตนเพียงใด ? เจอปัญหาก็ไม่รู้จักใช้สมองตรึกตรองให้รอบคอบ ถึงกับกล้าลงมือในวัง เจ้าคิดว่าตัวเองมีหัวกี่หัวอย่างนั้นรึ?”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยรู้ว่าตัวเองหุนหันพลันแล่นเกินไป แต่ปากก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ “ฝูสู้มันพุ่งเป้ามาที่ข้า เขากับอ๋องอานมันก็พวกเดียวกันทั้งนั้น มีอย่างที่ไหน! ถ้าข้าออกไปได้ จะต้องให้พวกนั้นได้เห็นดีแน่! ”
“จนถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าก็รู้จักสงบปากสงบคำบ้างเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้คดีถูกย้ายมาที่กรมการพระนครแล้ว เจ้าวางใจเถอะ หากเจ้าไม่เคยทำจริง ๆ ข้าย่อมไม่มีทางใส่ร้ายเจ้าแน่ เจ้าบอกมาว่าทำไมตอนนั้นถึงไปที่อุทยานหลวง? แล้วทำไมถึงต้องผ่านไปทางศาลาจันทร์เสี้ยว?”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยลุกขึ้นคิดจะนั่งลง แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ก้นแตะพื้นเตียง ก็เจ็บเสียจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว เขาผรุสวาทอย่างดุเดือด “ฝูสู้ไอ้สารเลวชั้นต่ำ เรื่องอื่นใดต่างไร้ความสามารถ ดีแต่รู้จักใช้วิธีลงทัณฑ์โบยเก่งนัก! ข้าทำสงครามในสนามรบ ได้รับบาดแผลมานับไม่ถ้วน แต่ก็ล้วนเป็นบาดแผลอันทรงเกียรติทั้งนั้น เมื่อไหร่กันที่ต้องมาทนรับบาดแผลที่แสนจะอัปยศอดสูถึงเพียงนี้?”
เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นว่าเขาเจ็บจนถึงกับกัดฟันกรอด ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เอาเถอะ เจ้านอนคว่ำลงก็แล้วกัน ข้าเองก็มีประสบการณ์ในเรื่องทัณฑ์โบยอยู่ไม่น้อย ในช่วงสามวันนี้เจ้าจะไม่สามารถนั่งได้เลย ทำได้เพียงนอนคว่ำอยู่อย่างนี้นี่ล่ะ เห็นสภาพเจ้าตอนนี้ก็เหมือนผลกรรมตามทันจริง ๆ ตอนนั้นเจ้ามาวางอำนาจ เผด็จการดึงดันจะให้ข้าแต่งลูกสาวของเจ้าให้จงได้ แม้ว่าต่อมาภายหลังเรื่องราวต่าง ๆ มันจะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็ทำให้ข้าพลอยถูกทัณฑ์โบยไปด้วย นี่สินะที่เรียกว่ากงเกวียนกำเกวียน”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าตัวแสบ ช่างจดจำความแค้นเสียจริงนะ เรื่องผ่านไปตั้งนานแล้ว เจ้ายังจะเก็บไว้ในใจอีก”
ขณะที่เขาพูด ก็มองหยู่เหวินเห้าอย่างพิจารณา พูดด้วยความชื่นชมว่า: “ถ้าหากข้ายังมีลูกสาวอีกล่ะก็ ข้าก็ยังยินดีที่จะยกนางให้แต่งกับเจ้านะ เจ้านี่มันตัวเป็นคนแต่นิสัยเป็นสุนัขแท้ ๆ น่าพอใจเสียจริงเชียว!”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าก็รู้สึกขอบคุณนะ แต่คงรับไว้ไม่ได้หรอก พ่อตาอย่างท่านนี่ข้าคงดูแลไม่ไหวแน่”
ซือเย๋ก็ถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน นี่เขาจะพูดแบบนี้จริง ๆ น่ะหรือ? ลูกสาวของเขากลายเป็นท่านหญิงไปแล้ว ถ้าหากมีลูกสาวอีกคน รัชทายาทก็คงไม่อาจรับไว้ได้แน่ ๆ
คนที่สมองเหมือนหมูเช่นนี้ ที่ตอนแรกเขาไปสร้างผลงานที่เป่ยโม่ ทั้งสาเหตุที่พากเพียรสร้างความดีความชอบอย่างกล้าหาญไม่กลัวตาย คงเพราะถ้าต้องใช้สมองวางแผนสร้างผลงานจริง ๆ คงไม่มีทางทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้นี่เอง
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยฝืนยิ้มยินดีทั้งที่ในใจทุกข์ตรม “นี่ข้ากำลังชมท่านอยู่นะ ตอนนี้ท่านเป็นผู้สะสางคดีนี้ ข้าก็ต้องหัดประจบสอพลอเสียหน่อย ชายหนุ่มมากความสามารถย่อมเหมาะสมกับสาวงามที่เพียบพร้อมสินะ หลังจากนี้ข้าไปรับลูกสาวบุญธรรมมาสักคน แล้วค่อยยกให้แต่งงานกับท่านก็ได้”
เมื่อเห็นว่าเขายังคงไม่รู้จักสงบปากสงบคำอีก หยู่เหวินเห้าก็จงใจขู่ให้เขากลัว “เจ้าพระยาควรเป็นห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่า จนตอนนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังทรงคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่เจ้าพระยาจะเป็นคนทำร้ายพระชายาอาน เจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่ ก็เหลือแค่สองทางเท่านั้นแล้ว อย่ามัวสิ้นเปลืองสมอง คิดแต่เรื่องจะยกลูกสาวให้แต่งกับข้าอีกเลยน่า”
ทันทีที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยโหวได้ยินอย่างนี้ เขาก็กังวลจนผุดลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าจะไม่ใส่ร้ายข้าไม่ใช่รึ มาตอนนี้กลับพูดเรื่องได้ออกไป หรือไม่ได้ออกไปสองทางนี่อีก ฮ่องเต้เฒ่าเลอะเลือนนั่นไม่เชื่อข้า มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เขามีความเห็นไม่ลงรอยกับข้ามานาน เรื่องนี้ข้าถูกใส่ร้ายชัด ๆ ข้าไม่เคยไปแตะต้องพระชายาอานเลยแม้แต่ปลายเล็บ ถึงขั้นไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นนางหรือไม่ ทำไมถึงกลายเป็นว่า ข้าเป็นคนลงมือทำร้ายนางไปเสียแล้วล่ะ?”
หยู่เหวินเห้ากด ๆ ที่ฝ่ามือตัวเอง “หากเจ้ายังอยากออกไปล่ะก็ จงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาอีกครั้ง ข้าไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระ แต่เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบในวันนั้น อย่างไรก็ต้องพูดออกมาให้หมด”