บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 682 อย่างไรก็ไปขอร้องหยวนชิงหลิงเถอะ
อ๋องอานผุดลุกขึ้นทันทีแล้วจ้องมองอะหลูอย่างดุร้าย ทำเอาอะหลูตกใจจนก้าวโซเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองเขาด้วยความหวาดกลัว
อ๋องอานยกมือขึ้นบีบคอนาง เส้นเลือดสีเขียวผุดขึ้นบนหน้าผาก กัดฟันแล้วเค้นเสียงพูดออกมาว่า “ใช่ ถ้าพระชายาตายไป ทุกอย่างก็ไร้ความหมายสำหรับข้า ทางที่ดีเจ้าควรหุบปากเสีย ไม่อย่างนั้นอย่าได้โทษว่าข้าใจร้ายกับเจ้า!”
พูดจบ เขาก็ผลักอะหลูจนล้มลงไปกับพื้น
อะหลูแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะปฏิบัติต่อตัวเองเช่นนี้ ทั้งไม่อยากเชื่อว่าเขาจะพูดเช่นนี้ นี่คืออ๋องอานที่นางรู้จักจริง ๆ น่ะหรือ?
ความทะเยอทะยาน และความรู้จักอดทนอดกลั้นของเขาหายไปไหนแล้ว ? เพื่อผู้หญิงคนเดียว กระทั่งงานใหญ่ของเขา เขาก็ไม่สนใจจะสานต่อแล้ว
กุ้ยเฟยเห็นอย่างนี้ ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงพูดกับอ๋องอานว่า “นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่รู้ตัวหรือไม่ ? เจ้าจะสร้างความลำบากให้คนของตัวเองไปเพื่ออะไร ? ที่อะหลูทำก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น ในเวลานี้เราต้องมีสติให้มั่น เดิมทีเจ้าไปทำร้ายรัชทายาทนั่นก็ไม่ถูกต้องแล้ว ตอนนี้เสด็จพ่อของเจ้ารักใคร่ใส่ใจเขาปานแก้วตาดวงใจ เจ้าไปทำร้ายเขาในเวลานี้ จะไม่ยิ่งทำให้เสด็จพ่อของเจ้าโกรธมากขึ้นหรอกหรือ?”
กุ้ยเฟยเข้าไปช่วยพยุงอะหลูด้วยตัวเอง พูดปลอบใจว่า: ” เอาเถอะ เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ เขาแค่สูญเสียสติและเหตุผลไปชั่วคราว เจ้าไปพักผ่อนเสียหน่อยเถอะ เจ้าดูแลพระชายามานานขนาดนี้ก็คงจะเหนื่อยมากแล้ว ช่างลำบากเจ้าเหลือเกินแล้วจริง ๆ ”
อะหลูจิกแขนเสื้อแน่น ลายปักที่แขนเสื้อค่อย ๆ ถูกปลายนิ้วจิกจนจมลึกลงไปทุกที ๆ มันยากที่จะเข้าใจยอมรับได้ แต่ในตอนนี้กลับทำได้เพียงฝืนระงับความไม่พอใจ และความขมขื่นที่มีอยู่เต็มท้องลงไปในส่วนลึกของหัวใจ ถึงอย่างไรก็แค่คนใกล้ตายคนหนึ่ง หลังจากนี้ไปก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องกังวลเกี่ยวกับนางอีกต่อไปแล้ว
นางเหลือบมองอ๋องอานที่แสดงสีหน้าเย็นชาแวบหนึ่ง พยักหน้าเบา ๆ หันหลังแล้วเดินจากไป
กุ้ยเฟยอดบ่นใส่เขาไม่ได้ว่า “เจ้าว่ามาซิ ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย เจ้าไประบายโทสะใส่นางแล้วชายาของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอย่างนั้นรึ ? งานใหญ่ของเจ้า ยังจะทำต่อไปอยู่หรือไม่?”
อ๋องอานนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ เฝ้าอาการของพระชายาอานด้วยสีหน้าโง่งม เมื่อได้ยินที่กุ้ยเฟยพูด ในใจก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเสียวซ่าน เขาลืมตาขึ้นอย่างเจ็บปวด น้ำเสียงที่พูดก็เปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกไฟเผาทั้งเป็น พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแหบพร่า “ท่านแม่ หากไม่มีนาง จะงานใหญ่อะไรสำคัญแค่ไหน ต่างก็ไร้ความหมายสำหรับข้าทั้งนั้น ”
“เหลวไหล! เจ้าสามารถมีความรักอันลึกซึ้งแบบชายหญิงได้ แต่ต้องไม่ลืมทำงานให้บรรลุเป้าหมายด้วย หากยังพูดจาเหลวไหลอีกล่ะก็ แม่จะไม่ช่วยอะไรเจ้าอีกแล้ว” กุ้ยเฟยดุด่าตำหนิอย่างดุเดือด
อ๋องอานหัวเราะจนน้ำตาไหลพราก “ในวันแต่งงานวันนั้น ข้าสัญญากับนางไว้อย่างนี้ว่า จะต้องมีสักวัน ที่ข้าจะให้นางได้สวมมงกุฎของฮองเฮา นี่เป็นเรื่องที่ข้าได้สัญญากับนางไว้ แม้ว่าสุดท้ายจะมีวันหนึ่งที่ข้าทำสำเร็จ แต่นางไม่อาจได้สวมมงกุฎของฮองเฮาแล้ว ข้ายังจะเป็นฮ่องเต้ไปเพื่ออะไร? ในเมื่อข้าสูญเสียเป้าหมายที่สำคัญที่สุดไปแล้ว”
หากมีวันหนึ่ง สามารถขึ้นไปนั่งอยู่เหนือบัลลังก์มังกรสามารถสยบฟ้าพิชิตปฐพีดั่งที่ตนเคยใฝ่ฝัน แต่หากตอนนั้นข้างกายเขากลับไม่มีนาง ความสำเร็จนี้สำหรับเขาแล้ว ก็ไม่มีค่าอะไรให้รู้สึกยินดีได้ขนาดนั้นแล้ว
“ความรักเพียงคำเดียว ทำร้ายคนได้สาหัสนัก” กุ้ยเฟยเห็นว่าเขาเจ็บปวดขนาดนี้ ก็ทำใจต่อว่าเขาอีกไม่ไหว ปรับสีหน้าให้อ่อนโยนลงมาเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงนางถึงเพียงนี้ ทำไมถึงไม่ไปเชิญพระชายารัชทายาทมาล่ะ ? นางมีความขุ่นเคืองใจกับเจ้า แต่ไม่ได้มีความขุ่นเคืองกับพระชายาเสียหน่อย”
อ๋องอานส่ายหน้า จ้องมองใบหน้าไร้สีเลือดของพระชายาอาน “ถ้าเป็นก่อนหน้าคืนนี้ นางอาจยอมเต็มใจมา แต่ตอนนี้ข้าไปขอร้องนาง นางก็คงไม่ยอมมาแน่ ข้าทำร้ายเจ้าห้า ทั้งยังเคยส่งคนไปลอบสังหารนาง นางอยากเกลียดข้าให้ตายก็เกือบจะไม่ทันเสียด้วยซ้ำ แล้วข้าก็ไม่อยากเห็นก่อนที่เหยียนเอ๋อจะจากไป ยังต้องมาถูกปฏิเสธด้วย”
กุ้ยเฟยก้าวไปข้างหน้า ตบปลอบใจที่มือของเขาเบา ๆ สองครั้ง “เจ้าสี่ แม้ว่าแม่จะรู้สึกว่าความรักอันมากล้นที่เจ้ามีให้กับชายาของเจ้า อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไปก็ตาม แต่แม่ก็เคารพการตัดสินใจของเจ้า”
นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองดูพระชายาอานแล้วพูดว่า “แม้ว่าภรรยาคนนี้จะช่วยอะไรเจ้าได้ไม่มาก แต่นับจากที่เจ้าแต่งงานกับนาง ก็เห็นว่าเจ้ามีความสุขขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจริง ๆ แม่จึงพลอยชอบนางไปด้วย ทั้งยังยากจะตัดใจที่เห็นว่านางกำลังจะจากไป ไม่แน่ว่าพระชายารัชทายาทอาจจะช่วยชีวิตนางไว้ไม่ได้ แต่เจ้าก็ควรต้องไป เพื่อที่อย่างน้อยในวันข้างหน้า เจ้าจะได้ไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง ที่ตัวเองไม่ได้พยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อนางเป็นครั้งสุดท้าย”
อ๋องอานลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า: “นางอาจไม่มีความสามารถนี้ แต่ลูกก็ควรต้องไปสักครั้ง”
กุ้ยเฟยพูดว่า “เจ้าไม่ต้องไปด้วยตัวเองหรอก ทางนี้ยังไม่อาจทิ้งนางไว้ได้ แม่จะไปขอร้องเต๋อเฟย นางกับเต๋อเฟยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากเต๋อเฟยเต็มใจที่จะช่วยเรื่องนี้ ย่อมเป็นการดีที่สุดแล้ว หรือไม่ก็ ไปขอร้องทางเสด็จพ่อของเจ้าให้ออกราชโองการสักฉบับ ให้พระองค์เรียกนางเข้าวัง นางไม่กล้าขัดราชโองการแน่”
แต่อ๋องอานกลับส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ นางเกลียดลูกแทบตายแล้ว ไปขอร้องเต๋อเฟยหรือทูลขอราชโองการ นางอาจจะยอมมา แต่ไม่แน่ว่าจะมีใจยอมรักษาให้อย่างแท้จริง จะอย่างไรลูกก็ควรไปที่นั่นด้วยตัวเองสักครั้ง นางอยากทุบตีด่าทออย่างไร ข้าก็พร้อมยอมทนได้ทั้งนั้น ให้นางได้ระบายโทสะสักครั้ง ไม่แน่ว่าอาจแลกความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเหยียนเอ๋อกลับมาได้บ้าง จนอาจยอมรักษาให้อย่างสุดกำลังก็เป็นได้”
กุ้ยเฟยเห็นว่าเขายอมอ่อนน้อมถ่อมตนถึงขนาดนี้แล้ว จึงคิดว่าถ้าพูดอะไรมากไปก็คงไม่ดี เพราะสุดท้ายชีวิตคนสำคัญที่สุด จึงพยักหน้าตกลง “เจ้าไปเถอะ แม่จะดูแลทางนี้แทนเจ้าเอง ฤทธิ์ของยาเม็ดจื่อจินต้องรอจนรุ่งสางถึงจะหมดลง เรียกหมอหลวงเข้ามาเฝ้าด้วยอีกแรง หากว่ามันถึงช่วงเวลาวิกฤติจริง ๆ แม่ก็พอรู้อยู่ว่าหมอหลวงยังมีใบสั่งยาเทียบหนึ่ง ที่ใช้แล้วจะยื้อลมหายใจต่อไปอีกสักระยะ เจ้ารีบไปกลับไปก็พอ”
อ๋องอานหันหน้ากลับไปมองพระชายาอานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ดวงตาแดงก่ำ โน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากของนางเบา ๆ แล้วกระซิบว่า “รอข้านะ ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
อะหลูอยู่ข้างนอก เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างเขากับกุ้ยเฟย นางก็แทบจะเป็นบ้าเสียให้ได้
รอจนเขาสั่งให้หมอหลวงเข้าไปข้างในแล้ว อะหลูก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป วิ่งเข้าไปขวางอยู่ตรงหน้าอ๋องอานแล้วถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเสียสติไปแล้วรึ? ถึงกับจะไปขอร้องหยวนชิงหลิง? นางจะไม่ดีใจจนตีปีกเลยรึ ? หากท่านไปนางก็จะทำแค่นั่งชมดูเรื่องตลกขบขัน ทั้งยังจะเยาะเย้ยท่าน นางไม่มีทางยอมมาแน่ ทำไมท่านถึงต้องไปให้อับอายขายหน้าด้วย?”
ในดวงตาของอ๋องอาน เหมือนกับมีสะเก็ดน้ำแข็งแตกกระจายออก “ไสหัวไปให้พ้น!”
“ข้ายอมปล่อยให้ท่านไปไม่ได้” อะหลูส่ายหน้า ยืนอย่างมั่นคงตรงหน้าเขา “ข้าจะปล่อยให้ท่านถูกหยวนชิงหลิงทำให้อับอายขายหน้าไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าหยวนชิงหลิงดีต่อคนอื่นเช่นไร แต่จุดยืนของเราทั้งสองฝ่ายมันค้ำคออยู่ที่นี่ อีกทั้งคืนนี้ท่านอ๋องยังไปทำร้ายรัชทายาทอีก มีหรือที่นางจะยอมมาช่วยพระชายา? อะหลูกล้าใช้หัวตัวเองเดิมพันกับท่านเลยว่านางไม่มีวันยอมมา ถ้าท่านอ๋องไป ก็มีแต่จะถูกคนของจวนอ๋องฉู่ดูหมิ่นเหยียดหยาม ทำไมจะต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย? คิดว่าพระชายาเองก็คงไม่อยากให้ท่านต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้แน่ ท่านอ๋อง ท่านช่วยมีสติกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?”
อ๋องอานยกมือขึ้นแล้วฟาดออกไปทันที ฝ่ามือนี้เต็มไปด้วยความเหลืออดและโกรธเคือง “ไปให้พ้น อย่ามาพูดจาเหลวไหลกับข้าให้มากนัก”
เดิมคิดว่าฝ่ามือนี้ จะสามารถผลักอะหลูออกไปให้พ้นทางได้ คิดไม่ถึงว่าอะหลูกลับไม่ขยับเลยซักนิด ทั้งยังยืนนิ่งอย่างมั่นคงดื้อรั้นตรงหน้าเขาเหมือนเดิม
อ๋องอานตกตะลึงไปเล็กน้อย “เจ้า…” นางรู้วรยุทธ์อยู่บ้าง แต่ก็แค่เพลงหมัดเตะต่อย แต่ฝ่ามือเมื่อครู่ที่เขาใช้ผลักนางออกไป ใส่แรงไปหนักมาก นางถึงกับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยเชียวหรือ?
ภายใต้ความสิ้นหวัง อะหลูคิดแค่อยากจะหยุดเขาไว้ กลับไม่ทันป้องกันฝ่ามือนี้ที่ฟาดมา นางตกใจบ้างเล็กน้อย แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน แค่พูดอย่างดื้อรั้นเหมือนเดิมว่า : “ท่านอ๋อง อะหลูไม่อาจยอมให้ท่านไปได้เด็ดขาด ท่านเชื่ออะหลูเถอะ ข้าคิดเพื่อท่านอ๋องทั้งสิ้น ทุกเรื่องที่อะหลูทำก็เพื่อท่านอ๋องทั้งสิ้น”
อ๋องอานจ้องนางตาเขม็ง ประกายไฟแห่งความสงสัยผุดขึ้นในสมองของเขา แต่พลันต้องตกใจขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของกุ้ยเฟยที่อยู่ข้างใน “หมอหลวง รีบมาดูเร็วเข้า นางอาเจียนเป็นเลือดอีกแล้ว!”
ดวงตาของอ๋องอานทะมึนหนักอึ้ง สั่งการลงไปโดยไม่หยุดคิด ให้ผู้ติดตามของเขาไปเฝ้าที่ประตูวัง นอกจากกุ้ยเฟยกับหมอหลวงแล้ว ห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้พระชายาได้เด็ดขาด หลังจากสิ้นคำสั่ง เขาก็วิ่งอ้อมอะหลู ทะยานออกนอกวังไปทันที
ใบหน้าของอะหลูโศกเศร้าหม่นหมอง เขาบ้าไปแล้ว สรุปว่าท่านอ๋องบ้าไปแล้วจริง ๆ เพื่อผู้หญิงคนเดียว กระทั่งศักดิ์ศรีเขาก็ไม่ต้องการแล้วด้วยซ้ำ
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นขุ่นเคือง หันหลังกลับอย่างรวดเร็วคิดจะเข้าไปในตำหนัก แต่ถูกผู้ติดตามหยุดเอาไว้ “พระชายารองหลู ท่านอ๋องมีคำสั่ง นอกจากกุ้ยเฟยกับหมอหลวงแล้ว ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปทั้งสิ้น”
อะหลูกำหมัดแน่น ดวงตาลุกวาวด้วยความโกรธ แต่เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของกุ้ยเฟยที่ดังไม่หยุด นางก็ค่อย ๆ คลายมือออก พูดขึ้นว่า “ได้ เช่นนั้นข้าไม่เข้าไปก็ได้”
เมื่อฤทธิ์ของยาเม็ดจื่อจินหมดลง นางก็ต้องตายอยู่แล้ว และไม่ว่านางจะตายหรือไม่ ก็ไม่มีทางที่ใครจะได้รู้ความจริง