บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 687 รู้ตัวคนร้าย
อะฉ่ายรีบต่อบทสนทนาทันที : “นอกจากข้าน้อยกับชายารองหลู ยังมีหมอหลวงกับแม่นมคอยดูแลอยู่ด้วย เราสี่คนเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่มีคนนอกเข้ามาเลยเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นมีใครที่เข้าใกล้พระชายาบ้าง?” ดวงตาของหยวนชิงหลิงปรายมองไปทางอะหลู
เมื่อครู่สีหน้าของอะหลูซีดลงไปเล็กน้อย แต่ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว นางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “ข้าเคยเข้าใกล้ แต่ก็แค่ช่วยกดมุมผ้าห่มให้พระชายาเท่านั้น ทุกคนต่างก็เห็นกันหมด หลังจากกดมุมผ้าห่มเสร็จ ข้าก็ถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ นั่งไปได้ครู่เดียวพระชายาก็สำลักแล้วกระอักเลือด ตอนที่สำลักเลือดท่านอ๋องก็กลับมาพอดี จึงสั่งให้อะฉ่ายรีบไปเชิญพระชายารัชทายาทมาที่นี่”
หมอหลวงสามารถเป็นพยานได้ พูดเสริมขึ้นว่า “ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ความจริงเป็นไปตามนี้ กระหม่อมอยู่ข้างเตียงตลอด เห็นเพียงว่าพระชายารองหลูห่มผ้าให้พระชายา แล้วกดที่มุมผ้าเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้น พระชายารัชทายาทต้องการจะพูดอะไรกันแน่ ? ต้องการจะใส่ร้ายอะหลูว่าเป็นคนทำร้ายพระชายาอย่างนั้นรึ?” อะหลูถามด้วยแววตาเย็นเยียบ
หยวนชิงหลิงไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับนาง แค่มองไปทางอ๋องอาน “คนของเจ้า หากเจ้าเชื่อได้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่พี่สะใภ้สี่ไม่มีทางจู่ ๆ ก็เกิดอาการเลือดออกภายในโดยไม่มีเหตุผลแน่ อาจเกิดจากแรงสะเทือนของพลังภายใน การซึมเข้าของกำลังภายในจะไม่ทำให้เลือดไหลในทันที อาจเป็นไปได้ว่าจะส่งผลค่อนข้างช้า ท่านอ๋องเป็นคนที่รู้วรยุทธ์ คงรู้อะไรชัดกว่าข้า”
อ๋องอานหันไปมองอะหลู แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและเย็นชา
สีหน้าของอะหลูยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สบตากับอ๋องอานตรง ๆ “อะหลูมีมีจิตสำนึกที่ชัดเจน ไม่มีอะไรให้ต้องละอายแก่ใจตัวเอง ทั้งไม่เคยคิดจะทำร้ายพระชายา”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องรีบร้อน รอให้พี่สะใภ้สี่ตื่นขึ้นมา เราก็จะได้รู้ทุกอย่างแล้ว แม้ว่าเมื่อครู่นางจะดูเหมือนว่านอนหลับไปแล้ว แต่ที่จริงสติของนางยังคงแจ่มชัดอยู่ นางสามารถรับรู้ได้ว่าชายารองหลูเข้าไปห่มผ้าให้นาง หรือว่าลงไม้ลงมือกับนางกันแน่ ฝ่ามือที่มีแรงอัดของพลังภายใน กับฝ่ามือไม่มีแรงอัดจากพลังภายในย่อมต่างกัน ดังนั้น คนที่ถูกทำร้ายย่อมรู้สึกได้ชัดเจนที่สุด”
อะหลูพูดอย่างเรียบเฉย “นั่นก็ดีที่สุดแล้ว ขอเพียงพระชายาตื่นขึ้นมา ย่อมต้องคืนความบริสุทธิ์ให้ข้าได้แน่”
หยวนชิงหลิงยังคงมองไปทางอ๋องอาน แล้วพูดว่า: “พี่สะใภ้สี่เคยตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง แท้ที่จริงแล้วนางพยายามจะพูดถึงคนร้าย แต่นางไม่มีแรงมากพอที่จะพูดออกมาได้ เดิมทีนางอาจไม่รู้หรืออาจยังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อว่านางมีความมั่นใจมากแล้ว อย่างไรก็รออีกหน่อยเถอะ หากข้าใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี อย่างไรก็สามารถปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา แล้วบอกเจ้าด้วยตัวเองได้อย่างแน่นอน”
อ๋องอานพยักหน้ารับ แต่กลับปรายตามองไปทางอะหลูแวบหนึ่ง แววตานั้นดูเหมือนดั่งดาบน้ำแข็งสองเล่มที่กรีดผ่านเข้าไปที่ใบหน้าของอะหลูอย่างไรอย่างนั้น
อะหลูยกยิ้มอย่างอ่อนระโหย “ท่านอ๋องก็สงสัยอะหลูเหมือนกันรึ? หลายปีที่ผ่านมาอะหลูทำเพื่อท่านอ๋องเช่นไร ในใจของท่านอ๋องก็รู้อยู่ อะหลูไม่มีทางทำเรื่องอะไรก็ตามที่มันทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด”
ประโยคนี้ แม้แต่หยวนชิงหลิงได้ยินก็ยังรู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ ราวกับว่ามันเป็นคำพูดแบบข่มขู่อยู่ในที
ประกายอำมหิตในดวงตาของอ๋องอานปรากฏชัด ไม่มีวี่แววว่าจะจางหาย แต่น้ำเสียงของเขากลับสงบนิ่งอย่างมาก “ใช่แล้ว เจ้าจะไม่ทำเรื่องอะไรที่มันทำร้ายข้าจริง ๆ นั่นแหล่ะ”
ดูเหมือนว่า ความบริสุทธิ์ของอะหลูจะได้รับการยืนยันแล้ว
หยวนชิงหลิงไม่ได้รู้เรื่องระหว่างพวกเขามากมายขนาดนั้น พูดแค่เพียงว่า: “นับจากนี้เป็นต้นไป ข้างกายพี่สะใภ้สี่หากไม่ใช่ข้า ก็ต้องเป็นท่านอ๋อง หรือไม่ก็ต้องเป็นกุ้ยเฟย ห้ามใครอื่นเข้าใกล้นางอีกเด็ดขาด จนกว่านางจะฟื้นขึ้นมา”
“เช่นนั้นก็ถือเป็นการดีที่สุดแล้ว!” อะหลูชิงตอบตัดหน้าอ๋องอานด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ อะหลูก็ขอออกไปจากวังก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่ต่อไปก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
แต่อ๋องอานกลับพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่ในวังนี่แหล่ะ ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ก็ได้”
“เพคะ ทุกอย่างล้วนทำตามที่ท่านอ๋องจัดการ!” อะหลูพูดอย่างเชื่อฟัง
นางถอยออกไป หยวนชิงหลิงจึงขอให้หมอหลวงกับกุ้ยเฟยออกไปด้วย ไม่จำเป็นต้องมีคนมากมายขนาดนี้มาอยู่เฝ้าไข้ก็ได้
หยวนชิงหลิงเหน็ดเหนื่อยมาก จึงพูดกับอ๋องอานว่า: “ท่านอ๋องคอยเฝ้าดูอาการไปก่อน ข้าจะไปพักสายตาบนเก้าอี้เสียหน่อย ง่วงเหลือเกินแล้ว”
อ๋องอานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลำบากแล้ว”
ครั้งนี้คำพูดสามคำนี้ เขาพูดได้อย่างชัดเจนและหนักแน่นมาก
เขายังถึงกับสั่งให้อะฉ่ายเตรียมชามาให้หยวนชิงหลิงเลยทีเดียว ในตำหนักมีเพียงอะฉ่ายคนเดียวที่ทำงานยุ่งมือเป็นระวิง ในขณะที่คนอื่นที่เหลือ ต่างไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาโดยเด็ดขาด
หยวนชิงหลิงครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ครุ่นคิดไปมาครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า: “บางทีท่านอ๋องอาจคิดว่าข้าเป็นคนชอบยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยอาจไม่ใช่คนร้ายจริง ๆ ก็ได้ ข้าได้คุยกับรัชทายาทในกรมการปกครองเมื่อคืน เขาบอกว่าแท้ที่จริงแล้วคดีนี้มีจุดที่น่าสงสัยอยู่ประการหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขาจงใจจะเข้าข้างเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยหรอกนะ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องยินดีจะรับฟังประเด็นที่น่าสงสัยนี้หรือไม่?”
อ๋องอานนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง ราวกับกลายเป็นรูปปั้นปูนปลาสเตอร์ไปแล้ว ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย หลังจากผ่านไปนาน ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองหยวนชิงหลิง น้ำเสียงที่พูดแหบพร่าเล็กน้อย “เจ้าว่ามาสิ”
หยวนชิงหลิงยืดตัวขึ้นแล้วพูดว่า: “ในวันเกิดเหตุ กรมการพระนครได้ทำการสอบปากคำคนจำนวนมาก แล้วทำการวินิฉัยเปรียบเทียบก่อนและหลัง ต่อมาจึงพบว่าชายารองหลูออกจากสวนว่างไป หลังจากที่ท่านอ๋องกับเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยทะเลาะกันเสร็จสิ้นแล้ว”
“แล้วมันอย่างไรล่ะ?” สมองของอ๋องอานยังไม่ตื่นเต็มที่ เพียงแต่จิตใต้สำนึกของเขาคัดค้านคำพูดของหยวนชิงหลิงที่ว่า เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยไม่ใช่คนร้ายขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว
“แล้วมันอย่างไร?” หยวนชิงหลิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ตอนที่ชายารองหลูไปที่ตำหนักหมิงซินเพื่อตามหาพี่สะใภ้สี่ เจตนาของนางคือ ต้องการไปเรียกพี่สะใภ้สี่ให้มาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ อีกทั้งตอนที่นางออกไป ยังสั่งให้อะฉ่ายไปเชิญกุ้ยเฟยอีก ในเมื่อตอนนั้นก็ทะเลาะกันจบไปแล้ว เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยก็ออกจากอุทยานหลวงไปแล้ว ทำไมนางยังต้องไปขอให้พี่สะใภ้สี่มาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้เจ้าด้วยล่ะ?”
อ๋องอานขมวดคิ้ว ดวงตามืดทะมึน “ดังนั้นเจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของอะหลู? พลังภายในของอะหลูไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น”
หยวนชิงหลิงพูดว่า ” ข้าพูดในสิ่งที่ข้ารู้เท่านั้น การคาดเดาก็อยู่ในขอบเขตที่เป็นเหตุเป็นผล เมื่อครู่ข้าค่อนข้างแน่ใจว่ามีคนลอบลงมือกับพี่สะใภ้สี่แน่นอน ตอนที่ข้าอยู่ที่นี่ การหายใจ ชีพจร และการเต้นของหัวใจของนางล้วนเป็นปกติ ข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็เกิดอาการเลือดออกกะทันหัน จนทำให้เกิดเลือดคั่งในทรวงอก นี่เป็นผลมาจากแรงสะเทือนของพลังภายใน เมื่อครู่มีคนอยู่ไม่กี่คนท่านอ๋องก็น่าจะรู้ ไม่ใช่เจ้า ก็ต้องเป็นอะหลู ไม่ใช่อะหลู ก็ต้องเป็นอะฉ่ายหรือไม่ก็หมอหลวง ไม่มีทางคิดเป็นคนอื่นได้”
อ๋องอานไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาดำคล้ำมืดทะมึนจนดูน่ากลัว
หยวนชิงหลิงหลับตาลง แล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก
อ๋องอานอาจจะมีความคิดบางอย่างในใจแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่เก็บอะหลูไว้ในวัง คงเพราะอยากป้องกันไม่ให้อะหลูชิงออกไปลงมือทำเรื่องอะไรบางอย่าง ที่อาจส่งผลร้ายต่อเขาขึ้นมาก็เป็นได้
เมื่อถึงช่วงเวลาเที่ยงวัน พระชายาอานก็ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ
ครั้งนี้นางตื่นขึ้นมา ก็ยังคงอ่อนแรงอยู่
อ๋องอานจับมือนาง ถามเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครทำร้ายเจ้า? บอกข้าหน่อยเถอะ”
ริมฝีปากของนางแห้งผากจนน่ากลัว หยวนชิงหลิงเอาสำลีมาชุบน้ำทาที่ริมฝีปากของนางเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น นางส่งเสียงพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า ” เสียง…เสียงดังกริ๊ง ๆ คนร้าย…มีเสียง…ดังกริ๊ง ๆ ”
“เสียงดังกริ๊ง ๆ?” อ๋องอานงุนงงไปชั่วขณะ
พระชายาอานอยากอธิบาย แต่นางจนปัญญาที่เวลานี้ จะพูดออกมาได้แต่ละคำช่างยากลำบากนัก นางร้อนใจจนดวงตาฉายแวววิตกกังวล
หยวนชิงหลิงถาม: “เสียงดังกริ๊ง ๆ อาจเป็นเสียงของเครื่องประดับที่ศีรษะ อีกเดี๋ยวท่านอ๋องลองตั้งใจฟังเสียงเครื่องประดับศีรษะของอะหลูให้ละเอียดก็น่าจะรู้ พี่สะใภ้สี่ เจ้าลองนึกให้ดี เมื่อครู่นี้มีใครเข้ามาทำร้ายเจ้าหรือไม่?”
นางมองไปที่อ๋องอาน ” เวลาที่พลังภายในซึมเข้าสู่ร่างกายมีความรู้สึกอย่างไร เจ้าลองอธิบายให้พี่สะใภ้สี่ฟังด้วยตัวเองเถอะ”
อ๋องอานทำใจให้สงบ แล้วลูบแก้มของพระชายาอานอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นเมื่อครู่น่าจะมีคนใช้แรงที่บ่าของเจ้า เจ้ารู้สึกว่าที่แขนหรือที่ไหล่อุ่น ๆ จนลงไปถึงปอดหรือไม่? หรือว่ามีความรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ เหมือนโดนแทงขึ้นมาบ้างหรือไม่?”
พระชายาอานเปิดปาก ผ่านไปเนิ่นนาน จึงเค้นคำพูดออกมาได้คำหนึ่ง “มี…”
แววตาของอ๋องอานหรี่ลงชวนเคลิบเคลิ้ม พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า : “อื้ม อย่างนี้นี่เอง ไม่เป็นไรนะ ไม่มีใครที่จะทำร้ายเจ้าได้อีกแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าดูแลเจ้าเอง”
“เป็น…ใคร?” พระชายาอานถามอย่างยากลำบาก
อ๋องอานส่ายหน้าเบา ๆ “เจ้าให้ความสำคัญกับการรักษาอาการบาดเจ็บให้ดีก็พอ เรื่องอะไรที่เหลือไม่ต้องสนใจหรอกนะ”
เขาก้มหน้าลงจูบนางเบา ๆ แววตาเป็นประกายดั่งพายุอันบ้าคลั่ง ที่พร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่งให้พินาศ!