บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 689 เงื่อนไขแลกเปลี่ยน
อ๋องอานหัวเราะ แววตาเป็นประกายคมกริบ “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ? การฆ่าคนคนหนึ่ง มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”
หยวนชิงหลิงเกลียดวิธีการพูดแบบนี้ที่สุด ทำไมเขาถึงพูดอะไรแบบตรงไปตรงมาไม่ได้นะ? เอาแต่พูดจาที่คล้ายกับว่าถูกต้อง แต่ความจริงไม่ถูกต้องอยู่ได้
“ที่นี่ลมแรง พวกเราเข้าไปคุยข้างในเถอะ” หยวนชิงหลิงพูด
อ๋องอานกลับส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก พูดกันที่นี่เถอะ เหยียนเอ๋อกำลังพักผ่อน เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ไปรบกวนนาง แล้วก็ไม่ควรให้นางได้ยินเรื่องอะไรที่มันโหดร้ายไปหน่อยแบบนี้ด้วย”
หยวนชิงหลิงห่อกระชับเสื้อตัวเองแน่น ลมพัดจนใบหน้าของนางเจ็บไปหมด คนคนนี้เห็นอกเห็นใจแค่กับพระชายาอาน แต่กลับไม่เคยแยแสต่อความเป็นตายร้ายดีในชีวิตคนอื่นแม้แต่น้อย
“ข้าสามารถเข้าใจเรื่องนี้แบบนี้ได้หรือไม่? ในช่วงสามวันที่ผ่านมา เจ้าเงียบสนิทไร้การเคลื่อนไหว ตอนนี้ก็รู้ว่าข้าสั่งให้อาซี่ตามไปสกัดนาง ก็ไม่เข้ามาขัดขวาง เป็นเพราะเจ้ามีแผนจะจัดการเก็บอะหลูออกไปให้พ้นทางอยู่แล้ว นางทำงานให้เจ้ามาตั้งนานขนาดนี้ ในมือย่อมต้องมีหลักฐานการทำความผิดของเจ้ามากมายมหาศาล หรืออาจรวมไปถึงช่วยติดต่อในเรื่องกิจการของเจ้าด้วยไม่น้อย ดังนั้น ในช่วงสามวันที่ผ่านมา เจ้าจึงทำให้นางมีความมั่นใจว่าจะรอด แล้วแอบดำเนินการเก็บเอาทุกอย่างกลับมาอย่างลับ ๆ จนวันนี้เจ้าเก็บกลับมาเรียบร้อยหมดแล้ว จึงบอกให้นางออกจากวังไป เพราะเจ้าได้วางกำลังดักซุ่มโจมตีที่นอกวังเอาไว้แล้ว ทันทีที่นางออกไปก็จะถูกคนของเจ้าจับตัว เจ้าจึงพูดว่าอาซี่จะล้มเหลว เพราะว่าขาดความพยายามครั้งสุดท้าย ความหมายคืออย่างนี้สินะ?”
แววตาของอ๋องอานเต็มไปด้วยความชื่นชมยกย่อง “ คิดไม่ถึงว่า นอกจากพระชายารัชทายาทจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยังเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมากอีกด้วย ข้าถึงได้พูดเสมอว่า ถ้าพระชายาอานสามารถทำงานเพื่อข้าได้เช่นนี้ ไยต้องกังวลว่าจะทำเรื่องใหญ่ไม่สำเร็จอีกล่ะ?”
“พอเลย! อย่ามาเยินยอข้าให้มาก ข้ารับไม่ไหว” หยวนชิงหลิงถึงกับพูดไม่ออก มาถึงตอนนี้ เขาไม่ปิดบังซ่อนเร้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากพูดอีกต่อไปแล้ว “ดังนั้น เจ้าจะจัดการกับอะหลูอย่างลับ ๆ แต่ก็ยังจะโยนความผิดไปให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยว่าเขาเป็นคนร้ายเหมือนเดิมอย่างนั้นรึ?
“เรื่องนี้เราคุยกันได้!” อ๋องอานพูดขึ้นทันควัน
“เจ้าพูดมาตรงๆ เลยได้หรือไม่?” หยวนชิงหลิงแนบตัวพิงเข้ากับกับราวบันได แค่ต้องเงยหน้าขึ้นคุยกับเขามันก็ยากพออยู่แล้ว ยังต้องมาอดทนเผชิญกับลมหนาว แล้วคาดเดาว่าที่เขาพูดมีความหมายว่าอย่างไรอีก นางที่สวมแค่เสื้อบาง ๆ แทบจะหนาวตายอยู่แล้ว ชีวิตของนาง หยวนชิงหลิง ไม่สำคัญอย่างนั้นรึ!?
“อะหลูสามารถเป็นคนร้ายได้ แต่รัชทายาทต้องไปกราบทูลเสด็จพ่อว่า เหตุการณ์ที่กรมการพระนคร เป็นแค่ความคับข้องใจส่วนตัวระหว่างพี่น้อง ซึ่งตอนนี้ได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เวลานี้รัชทายาทกับข้าต่างก็คืนดีกันอย่างสมานฉันท์แล้ว หากเสด็จพ่อยังทรงกริ้ว ตั้งใจจะลงโทษข้าอีก รัชทายาทจะต้องเป็นคนขอร้องเสด็จพ่อให้ละเว้นข้า”
เมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินเรื่องนี้ ก็โกรธจนแทบคลั่ง “เจ้ามันช่างถนัดใช้จุดอ่อนของคนมาหาผลประโยชน์ให้ตัวเองเสียจริงนะ!”
ทำไมไม่ขึ้นสวรรค์ไปซะเลยล่ะ!?
อ๋องอานไม่มีท่าทีหวั่นไหว พูดต่อไปหน้าตาเฉยว่า “ มีขุนนางหลายคนเขียนฎีกาให้มีการลงโทษข้าอย่างรุนแรงแล้ว ในโทษฐานทำให้รัชทายาทได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่เป็นความผิดที่สั่นคลอนรากฐานของประเทศชาติ คาดว่าพวกขุนนางที่ถวายฎีกา อาจมีข้อแนะนำให้ส่งข้าออกจากเมืองหลวงไปใช้ชีวิตยังพื้นที่พระราชทานอันห่างไกลแน่ คงไม่อาจกลับมาเมืองหลวงได้พักใหญ่ ๆ ข้าสามารถยอมรับการลงโทษอื่นได้ แต่จะไม่ยอมไปอยู่พื้นที่พระราชทานอันกันดารเด็ดขาด คิดว่ารัชทายาทคงสามารถทำได้ถึงจุดนี้ คำขอของข้าไม่ถือว่ามากเกินไป ข้าไม่ต้องออกจากเมืองหลวง ส่วนเขาก็ได้ใจของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย อย่างไรก็เป็นประโยชน์ในวันข้างหน้ามากแน่นอน”
หยวนชิงหลิงแค่นยิ้มเย็นชา สุดท้ายเขาก็ไม่อาจมีสำนึกตื่นรู้ขึ้นมาได้จริง ๆ นั่นล่ะ ตอนนี้พระชายาอานเพิ่งพ้นขีดอันตรายมาได้ไม่เท่าไหร่ สมองเขาก็เริ่มคิดคำนวณส่วนได้ส่วนเสียอีกแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างรึไง?
“ดังนั้น เจ้าคิดว่านี่จะเป็นการใช้หนี้ให้หายกันไป สองฝ่ายไม่มีอะไรติดค้างกันอย่างนั้นสินะ? อย่าลืมนะว่าเจ้ายังติดค้างหนี้ชีวิตข้าอยู่ มันไม่มีทางที่จะหายกันได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเย็นชา
อ๋องอานมองนาง “แน่นอนว่าชีวิตของเหยียนเอ๋อ ย่อมไม่อาจชดเชยด้วยเงื่อนไขใด ๆ ได้ทั้งนั้น นี่คือกุศลผลบุญของนางที่ไม่อาจไปแตะต้องให้เสียหายได้แม้แต่น้อย บุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตนางในครั้งนี้ ข้าติดค้างอยู่ วันหลังข้าต้องหาทางตอบแทนคืนให้เจ้าอย่างแน่นอน”
หยวนชิงหลิงถึงกับหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกแล้วจริง ๆ
บุญคุณที่ช่วยพระชายาอานไม่อาจชดเชยได้ง่าย ๆ เกรงว่าจะไปทำให้กุศลผลบุญของนางต้องแปดเปื้อนเสียหาย เขาช่างดูแลปกป้องพระชายาอานราวแก้วตาดวงใจจริง ๆ
“พระชายารัชทายาทจะลองกลับไปคิดพิจารณาดูก่อนก็ได้ เงื่อนไขนี้ ต่างก็เป็นประโยชน์กับเราทั้งสองฝ่าย เจ้าห้าคลี่คลายคดีให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้ ข้าก็หลีกเลี่ยงโทษสถานหนักได้ มีอะไรไม่น่ายินดีล่ะ?”
หยวนชิงหลิงไม่ชอบความรู้สึกที่ว่า เขาถือไพ่เหนือกว่า สามารถควบคุมทุกอย่างไว้ในมือได้แบบนี้ “ข้าเชื่อว่าพี่สะใภ้สี่ต้องรู้ว่าใครคือคนร้าย เมื่อนางฟื้นจากอาการบาดเจ็บ นางต้องยอมฟังคำพูดเกลี้ยกล่อมของข้า แล้วไปช่วยเป็นพยานที่กรมการพระนครแน่”
อ๋องอานยกยิ้มน้อย ๆ “เจ้าว่า นางจะฟังข้า หรือจะฟังเจ้าล่ะ?”
ณ จุดนี้ หยวนชิงหลิงไม่แน่ใจเลยจริงๆ
เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกที่มั่นอกมั่นใจของอ๋องอาน นางก็รู้สึกว่า ตัวเองจนปัญญาไร้ความสามารถเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ที่อะหลูมาเยาะเย้ยนางเสียอีก พูดอย่างโกรธเคืองว่า: “ข้ารับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ เจ้าต้องไปบอกรัชทายาทด้วยตัวเอง”
“รัชทายาทฟังเจ้า ให้เจ้าเป็นคนพูดย่อมดีกว่าให้ข้าเป็นคนพูดแน่ บางครั้ง พระชายาอาจจะทนต่อความโกรธได้ แต่รัชทายาทอาจไม่ยินดีที่จะทน” อ๋องอานพูดจบ ก็หันหลังเดินจากไปทันที
นี่ทำให้หยวนชิงหลิงโกรธจนแทบไฟลุกท่วมเลยทีเดียว
ครึ่งชั่วยามต่อมาอาซี่ก็กลับมาถึง มีท่าทีเร่งร้อน ใบหน้าแดงก่ำ ดึงหยวนชิงหลิงไปด้านข้างแล้วพูดว่า: “พี่หยวน ข้าสะกดรอยตามอะหลูออกจากวัง เพียงไม่นานนางก็ถูกจับตัวไป ถูกลักพาตัวบนถนนเลย มีหลายคนเลยทีเดียว ฝีมือล้วนไม่ธรรมดา”
หยวนชิงหลิงกัดฟันแล้วพูดว่า: “นั่นเป็นคนของอ๋องอาน ช่างเถอะ เราไปเก็บของแล้วออกจากวังกันก่อน ทางพระชายาอาน ไม่น่าจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะ”
อ๋องอานทั้งเจ้าเล่ห์และตระหนี่ถี่เหนียว หนึ่งคือ เตรียมจัดการเรื่องที่จะตามมาทางอะหลูไว้แล้ว สองคือ รอจนพระชายาอานอาการดีขึ้นถึงค่อยลงมือ
หลังจากที่พวกนางออกจากวังแล้ว ก็ตรงไปที่กรมการพระนครทันที ในตอนกลางวันอย่างนี้ แม้ว่าเจ้าห้าจะได้รับบาดเจ็บอยู่ เขาก็ต้องทำงานอยู่ที่กรมแน่ ๆ
เมื่อเห็นนางมา เจ้าห้าก็เดินกระปลกกระเปลี้ยเหมือนคนเป็นง่อยเข้ามาหา ขาขวิดกันไปมาแทบจะเป็นรูปวงกลม ดูงุ่มง่ามเงอะงะอย่างยิ่ง “ทำไมถึงมาได้แล้วล่ะ? พี่สะใภ้สี่ไม่เป็นไรแล้วรึ? ถ้าไม่เป็นไร เจ้าก็กลับจวนไปพักผ่อนเถอะ”
หยวนชิงหลิงช่วยพยุงเขาที่เดินขาปัดป่ายจนแทบจะเป็นเลขแปดเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ถ่ายทอดคำพูดของอ๋องอานออกไป แต่เพื่อรักษาความรู้สึกของหยู่เหวินเห้า แน่นอนว่านางเลือกพูดออกไปว่าอ๋องอานแค่มาขอร้องนาง
หลังหยู่เหวินเห้าได้ยินเรื่องนี้ก็โกรธมาก “คนแบบนี้ ถึงตายก็ไม่เปลี่ยนจริง ๆ ไม่มีช่องโหว่ไหนที่เขาจะไม่ฉวยโอกาส เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาคิดจะกำจัดอะหลูแน่แล้ว แต่ยังมีหน้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งนี้อีก”
“มีทางอื่นหรือไม่ล่ะ? ใครใช้ให้เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยโชคร้ายกันเล่า? ถูกคนมากมายเห็นว่าไปที่ศาลาจันทร์เสี้ยวพอดี ทั้งยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่เคยเข้าไปอีก” หยวนชิงหลิงตบหลังของเขาเบา ๆ “เอาเถอะ ๆ ไม่ต้องโกรธแล้ว อย่างไรเสด็จพ่อก็คงเห็นแก่สถานะของพระชายาอาน คงจะไม่ลงโทษเขาให้หนักอยู่แล้ว ก็ถือเสียว่าเป็นข้อตกลงไปก็แล้วกัน”
“ไม่ได้ ข้าจะไปหาพี่สะใภ้สี่” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างโกรธเคือง
หยวนชิงหลิงดึงเขาเอาไว้ “เอาน่า หยุดก่อน ๆ ไปหานางก็ไม่มีประโยชน์หรอก แม้ว่านางจะเต็มใจออกมาเป็นพยาน คำให้การของนางก็ไม่หนักแน่นพอที่จะปิดคดีได้ เพราะเดิมทีพวกนางมีความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ คนหนึ่งเป็นชายาเอก อีกคนก็ชายารอง ขอแค่มีใครซักคนยกประเด็นนี้ขึ้นมาคัดค้าน ตัวพระชายาอานเองก็จะไม่มีหนทางให้ย้อนกลับได้เช่นกัน”
หยู่เหวินเห้าพูดไปด่าไป “พี่สะใภ้สี่น่ะใจอ่อนเกินไป”
“ดังนั้น ถึงได้ถูกอ๋องอานหลอกให้ตายใจได้ถึงขนาดนี้อย่างไรล่ะ”
หยู่เหวินเห้านั่งลงอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ แล้วค่อย ๆ แยกขาออกจากกัน ปล่อยให้แผลได้ระบายอากาศไม่ให้เกิดความอับชื้น “อันที่จริง พี่สะใภ้สี่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความคิดหรอกนะ แค่เพราะถูกปิดหูปิดตาไม่ได้รับรู้ทุกเรื่อง ช่างเถอะ นางเพิ่งจะเสียลูกไป ก็อย่าไปซ้ำเติมให้นางทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นเลย อย่างที่เจ้าพูดนั่นล่ะ เสด็จพ่อเองก็ลำบากพระทัย เพิ่งจะลงโทษเขาไปครั้งหนึ่ง หากต้องโทษหนักอีก คงถูกตัดสินว่าเป็นผู้ทำลายภราดรภาพในพี่น้องร่วมสายเลือด ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ดังนั้น ครั้งนี้ก็ปล่อยให้เขาทำสำเร็จสักครั้งแล้วกัน คนเลวย่อมหาทางเอาเปรียบคนอื่นตลอดกาลนั่นล่ะ แค่ต้องเวทนาขาที่น่าสงสารของข้าเท่านั้น…..”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ใช่แล้ว ช่างเป็นขาที่น่าสงสารเสียจริง เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามนี้เถอะ แต่ข้าเดาว่าตอนที่อะหลูถูกส่งตัวมา คงจะไม่เหลือสภาพที่มีลมหายใจแล้วล่ะ ด้วยนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิตของเขา หากไม่ทำให้อะหลูอยู่ในสภาพปางตาย มันจะสลายความโกรธแค้นของเขาหมดไปได้อย่างไรล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่าคงจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน “อะหลูผู้นี้น่ารังเกียจมากจริง ๆ นั่นล่ะ ก็สมควรกำจัดไปเสียทีจริง ๆ แต่ก็ดี ให้เขาซ้อมให้น่วมแล้วค่อยส่งมา อย่างไรก็ต้องมีคำสารภาพที่สมบูรณ์ มันจะช่วยประหยัดเวลาให้ทางเราไม่ต้องเค้นสอบปากคำอีก การทรมานเพื่อเค้นคำรับสารภาพจากผู้หญิงปากแข็ง ออกจะไม่เป็นลูกผู้ชาย แต่ถ้าเราไม่ทรมานเพื่อเค้นเอาคำสารภาพ นางไม่มีทางยอมรับความผิดแน่”
หยวนชิงหลิงกลับนึกสงสัย ไม่รู้ว่าอ๋องอานมีวิธีการอย่างไรเพื่อใช้จัดการกับอะหลูกันแน่ ?