บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 692 เจ้าจะแต่งงานหรือ
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเดินออกจากกรมการพระนคร สูดลมหายใจเอาอากาศแห่งความอิสระเข้าไปในปอดลึกๆหนึ่งเฮือก
ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ท้องฟ้าอึมครึมเหมือนหิมะจะตกอยู่หลายวันแล้วแต่ก็ไม่ยอมตกสักที สุดท้ายกลับท้องฟ้าแจ่มใส เรื่องราวบนโลกนี้ก็เหมือนอากาศ ทำให้คนครุ่นคิดไม่ทะลุปรุโปร่ง
หยู่เหวินเห้ากะเผลกขาออกมาส่ง เจ้าพระเจิ้งเป่ยประคองเขา เอ่ยอย่างขึงขังจริงจังว่า “รัชทายาท ข้าติดหนี้ชีวิตท่านแล้ว”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ท่านเจ้าพระยาอย่ากล่าวเช่นนี้ ข้าเป็นเจ้ากรมการพระนคร การยืนยันความบริสุทธิ์ของท่านเจ้าพระยาเป็นหน้าที่ของข้า แล้วท่านเจ้าพระยาคิดจะตอบแทนอย่างไร ”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยวางมือหนึ่งไว้บนไหล่ของเขา เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าเคยคิดจริงๆว่าจะรับลูกสาวบุญธรรมคนหนึ่ง ถึงเวลาข้าจะให้ลูกสาวบุญธรรมของข้ายกชีวิตของนางให้ท่าน เพื่อเป็นการตอบแทนความเมตตาของรัชทายาท ”
หยู่เหวินเห้ายกมือขึ้นขัดเอาไว้ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ที่บ้านมีแม่สิงโตอยู่ ขอท่านเจ้าพระยาโปรดจริงจังหน่อย”
เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยหัวเราะเสียงดัง “ข้าแค่ล้อเล่น รัชทายาทไม่ต้องกลัว พระชายารัชทายาทนั้นดีมาก ควรค่าที่ท่านจะปฏิบัติต่อนางดีเช่นนี้”
เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวยกสองมือประสานขึ้นคำนับ เก็บรอยยิ้ม “ภายหน้าหากรัชทายาทมีเรื่องต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ข้ายินดีจะถวายการรับใช้รัชทายาทอย่างสุดความสามารถ”
พูดจบ ก็หมุนตัวก้าวเท้าใหญ่ๆเดินจากไป
หยู่เหวินเห้ามองเงาหลังที่เดินอย่างรีบเร่ง รถม้าของจวนเจ้าพระยาจิ้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม เขาขึ้นรถม้าแล้ว ยังหันหน้ากลับมามองทางหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง
หยู่เหวินเห้าเอ่ยพึมพำว่า “ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ อั่งเปาซักซองก็ไม่ให้ นี่คือสินน้ำใจ คนที่ตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้ยังไม่รู้จักธรรมเนียมมารยาทอีกหรือ”
วันรุ่งขึ้นในการประชุมราชสำนักช่วงเช้า หยู่เหวินเห้าเข้าร่วมประชุมภายใต้การประคับประคองของกู้ซือ รักษาอยู่หลายวัน บาดแผลดีขึ้นมากแล้ว แต่เพื่อไม่ให้มีการบาดเจ็บลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ อย่างไรเสียก็ต้องระมัดระวังหน่อยจึงจะดี ฉะนั้น ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องมีคนคอยประคอง
เขาขอร้องแทนอ๋องอันในการประชุม บอกว่าเป็นเรื่องบาดหมางใจกันระหว่างพี่น้อง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย ตอนนี้พวกเขาพี่น้องได้จับมือพูดคุยคืนดีกันแล้ว หลังจากนี้พี่จะรักเอ็นดูน้องจะเคารพให้เกียรติพี่ จะร่วมทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระและขจัดความทุกข์ของเสด็จพ่อ
แม้ว่าเหล่าขุนนางใหญ่มากมายจะยังคงรู้สึกว่าการกระทำครั้งนี้ของอ๋องอันจะมากเกินไป แต่ว่าคนที่ถูกทำร้ายยังยินดีจะให้อภัยเขา และไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าพี่น้องในราชวงศ์นั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ หลังจากหยู่เหวินเห้าพูดจบแล้ว ก็ไม่มีคนดึงดันให้เขาเอาเรื่องต่อ แต่ราชครูเหว่ยกลับดื้อดึงที่จะตำหนิสั่งสอนอ๋องอันไปหลายประโยค ส่วนคนอื่นๆนั้นไม่มีเสียงโต้แย้ง
ฮ่องเต้หมิงหยวนนั้นมีความสุขจนใช้โอกาสนี้แสดงน้ำใจ แล้วก็ลงโทษโดยการงดจ่ายเงินเดือนให้กับอ๋องอันหนึ่งปี และเงินเดือนหนึ่งปีที่งดจ่ายนี้จะให้กับหยู่เหวินเห้าเป็นการชดเชย เรื่องนี้ก็นับว่าจบสิ้นแล้ว
แต่ว่า ด้วยเรื่องนี้หยวนชิงหลิงก็มีเรื่องเล่าเกิดขึ้นใหม่อีกหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือสามารถช่วยคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้
พระชายาอันหมดลมแล้ว หมอหลวงและคนในวังหลายคนต่างก็เห็น กุ้ยเฟยก็อยู่ในเหตุการณ์ แม้แต่คนที่ตายไปแล้วยังสามารถช่วยเหลือกลับมาได้ พระชายารัชทายาทคงไม่ใช่เทพเทวดาหรอกกระมัง
ในระยะเวลาสั้นๆ ประชาชนในเมืองหลวงก็ยิ่งเพิ่มความชื่นชมในตัวหยวนชิงหลิงมากขึ้น กระทั่งมีนักเขียนบทกลอนแต่งกลอนให้กับนางด้วย และมีการขนานนามว่าหมอเทวดา
จะหมอเทวดาหรือไม่ หยวนชิงหลิงไม่ได้ปลาบปลื้ม แต่ว่า เริ่มจากโรคเรื้อน ต่อด้วยการช่วยคนจากความตาย เป็นการป่าวประกาศให้นางอย่างดีที่สุด
นางเองก็ไม่เสียเวลา หลังจากที่พระชายาอัน “ออกจากโรงพยาบาล”แล้ว รีบให้คนเริ่มทำการแพร่กระจายข่าวสารออกไป ว่าจะทำการสร้างโรงเรียนแพทย์ ไม่เก็บค่าเล่าเรียน ยังรับผิดชอบเรื่องอาหารการกินและมีที่อยู่ให้
ข่าวนี้ย่อมทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ผู้คนมากมายต่างก็อยากจะมาลองดู โดยเฉพาะลูกหลานคนจน
แต่ว่า มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง หยู่เหวินเห้าได้เสนอขึ้นมา “ต้องเป็นคนที่เคยร่ำเรียนมาก่อนจึงจะมาได้”
หยวนชิงหลิงรู้สึกอึ้งขึ้นมาทันที ใช่แล้ว ที่นี่ไม่มีการศึกษาภาคบังคับเก้าปี คนมากมายไม่เคยได้รับการศึกษามาก่อน จะสอนหลักการแพทย์ อันดับแรกต้องรู้หนังสือก่อน
เดิมทีหยวนชิงหลิงคิดจะรวบรวมลูกศิษย์ที่ยากจนกลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่าจุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เพราะว่าพวกเขานั้นยากจนมาตั้งแต่แรก หลังจากได้รับการอบรมสั่งสอนแล้ว ค่อนข้างยินดีที่จะอยู่เป็นหมอประจำการที่โรงหมอหุ้ยหมิงอย่างเต็มใจหลายปี ไม่เร่งรีบที่จะออกไปเปิดโรงหมอของตนเอง
ถ้าหากได้รับการบ่มเพาะออกมาแล้ว ก็กลายเป็นผึ้งแตกรังที่ออกไปเปิดโรงหมอกันเองเสียหมด ต่างก็เพิ่มราคาของยาหรือการตรวจวินิจฉัยให้แพงขึ้น เช่นนั้นก็เท่ากับไม่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายที่จะให้การรักษาแก่ราษฎรทุกคนได้
ฉะนั้น ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ อย่างไรเสียก็ต้องสร้างโรงเรียนและที่พักขึ้นมาใหม่ทั้งหมดก่อน เมื่อมีประกาศรับสมัครออกไป มีคนมากมายที่ขันอาสามาช่วยก่อสร้าง ในจำนวนคนเหล่านั้นมีไม่น้อยที่เคยเป็นประชาชนที่มาทำลายโรงเรียนก่อนหน้านี้
ในวันที่พระชายาอันออกจากวังกลับไปยังจวน หยวนชิงหลิงก็ตามไปด้วย ที่สำคัญคือต้องทำการตรวจร่างกายหลังจากที่นางกลับไปถึงจวนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าพระชายาอันนั้นไม่ค่อยมีความสุข ไม่พูดจาตลอดทาง พอกลับไปถึงจวนก็บอกกับอ๋องอันว่าต้องการคุยเป็นการส่วนตัวกับพระชายารัชทายาท ให้เขาออกไปก่อนอย่าอยู่ฟังผู้หญิงเขาคุยเรื่องส่วนตัวกัน
อ๋องอันดูแล้วใจกว้างมาก หัวเราะและพูดว่า “พูดคุยได้ แต่ห้ามพูดถึงเรื่องไม่ดีของข้ากับน้องห้า”
พระชายาอันก็ยิ้ม “แน่นอนว่าต้องไม่พูดอยู่แล้ว”
อ๋องอันมองนางอย่างลึกล้ำอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวออกไป
พระชายาอันเห็นเขาเดินออกจากประตูไปแล้ว ยังเรียกให้สาวใช้ที่ชื่ออะฉ่ายไปปิดประตู คอยเฝ้าอยู่ภายนอก
หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง พระชายาอันต้องการจะพูดอะไรกับนาง จึงได้ระมัดระวังเช่นนี้ราวกับเกรงว่าจะมีใครมาแอบฟัง
ยังไม่ทันได้สติกลับคืนมา นางก็ถูกพระชายาอันคว้าข้อมือเอาไว้ อาการบาดเจ็บสาหัสของพระชายาอันยังไม่หายดี การจับครั้งนี้ใช้แรงไม่น้อย
“พระชายารัชทายาท ข้าขอโทษท่านแทนท่านอ๋องด้วย”
หยวนชิงหลิงมองดวงตาของนางที่มีน้ำตารื้นอยู่ ยิ้มและพูดว่า “พูดอะไรกัน ขอโทษเรื่องอะไร”
พระชายาอันถอนหายใจหนักๆหนึ่งเฮือก สายตาเจ็บปวด “ความคิดของเขาก็ใช่ว่าข้าไม่ไม่รับรู้เลย ก่อนหน้านี้อะหลูไปมาหาสู่เป็นการส่วนตัวกับคนของกรมอาญาและเหล่าบัณฑิต ปรึกษาหารือกันอย่างลับๆในห้องหนังสือ ตอนนั้นข้าก็เกิดข้อสงสัยขึ้นในใจ หลังจากที่ได้กลับไปบ้านมารดาก็ได้ถามพี่ชาย พี่ชายไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ข้ารับรู้อยู่ลึกๆว่าเขากำลังเป็นปรปักษ์กับรัชทายาท วางแผนจะช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาท ”
หยวนชิงหลิงมองนาง ที่จริงด้วยฐานะของนาง ที่อ๋องอันทำทั้งหมดนางสมควรจะรู้ตั้งแต่แรก แต่อ๋องอันมีความสามารถในการปกปิดที่เยี่ยมมาก ไม่ยอมให้นางต้องแปดเปื้อนเรื่องเหล่านี้
หยวนชิงหลิงค่อยๆดึงมือกลับไป พูดว่า “นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกผู้ชาย พวกเราไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้จะดีกว่า”
พระชายาอันส่ายหน้า น้ำตาไหลออกมา “ระหว่างพี่น้อง สมควรต้องรักใคร่ปรองดอง ข้าไม่หวังให้เขาทำเช่นนี้ เจ้าวางใจได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของข้า ข้าก็จะยับยั้งเขาให้ได้ จะไม่ให้เขาทำให้รัชทายาทต้องลำบากใจอีก นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าช่วยข้า เป็นข้าที่ไม่สามารถให้เขาทำลายความสงบสุขที่อยู่ร่วมกันระหว่างพี่น้องได้ เป็นญาติพี่น้อง ไม่ควรทำเช่นนี้ ”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าส่งๆ “อืม เจ้าพูดได้ถูกต้อง”
ไม่ได้เป็นการทำพอเป็นพิธี บางทีอ๋องอันอาจจะเป็นห่วงความรู้สึกของนาง แต่อ๋องอันต้องการปิดบังเรื่องราวต่อนางนั้นทำได้ง่ายดายเสียนี่กระไร ที่นางยับยั้งได้ก็มีขีดจำกัด
ตอนที่หยวนชิงหลิงไปจากจวนอ๋องอัน เห็นพระชายาซุนกับหยวนหย่งอี้มาด้วยกัน
พระชายาซุนไม่ให้นางกลับ ดึงดันที่จะลากตัวนางเข้าไปด้วย บอกว่าพูดคุยด้วยความเป็นห่วงอย่างคนที่เป็นสะใภ้ร่วมบ้านเขาทำกัน
หยวนชิงหลิงต้านนางไม่ไหว จึงได้แต่เข้าไปพร้อมกับพวกนางอีกครั้ง
พระชายาซุนนั้นเป็นคนสดใสร่าเริง เก่งในการพูดจาเอาใจให้คนมีความสุข พูดเรื่องขำขันให้พระชายาอันฟังมากมาย พระชายาอันนั้นยิ้ม แต่ในแววตายังคงมีความกังวลที่ปัดเป่าทิ้งไปไม่หมดเหมือนเดิม
พระชายาซุนรู้ว่านางหลุดพ้นจากความตายมา และยังสูญเสียลูกไปอีก คงจะมีความสุขไม่ได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ จึงพูดว่า “ใช่แล้ว มีข่าวดีจะประกาศ”
หยวนชิงหลิงเผลอมองไปยังท้องของนาง คำว่า “ท้องแล้ว”เกือบจะหลุดออกจากปาก โชคดีที่ยังยับยั้งเอาไว้ทัน คำพูดนี้ไม่เหมาะที่จะพูดต่อหน้าพระชายาอัน
กลับเป็นพระชายาอันที่ถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “พี่สะใภ้รองตั้งครรภ์แล้วหรือ”
พระชายาซุนฉีกยิ้มมุมปาก “แม้แต่ฝันข้ายังมีความหวัง ถ้าหากข้าตั้งท้องเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เป็นพรที่ฟ้าประทานให้ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เรื่องน่ายินดีที่ข้าจะบอกคืออี้เอ๋อได้รับการแนะนำจากแม่สื่อ น่าจะใกล้สำเร็จแล้ว หลังปีใหม่ก็สามารถจัดงานแต่งได้แล้ว”
หยวนชิงหลิงมองไปทางหยวนหย่งอี้อย่างตกตะลึง “อะไรนะ เจ้า เจ้าจะแต่งงานแล้วหรือ”