บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 694 จ่ายเงินเดือนแล้ว
อะซี่บอกกับหยวนชิงหลิงว่า จอหงวนบู๊เคยพบกับหยวนหย่งอี้สามครั้ง
หยวนหย่งอี้ได้พบกับจอหงวนบู๊โดยบังเอิญขณะที่ออกไปเดินเล่น พวกเขาได้ช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งเอาไว้ด้วยกัน จึงได้รู้จักกันเช่นนี้
หลังจากรู้จักกันแล้ว ก็ได้พบกันโดยบังเอิญอีกครั้งที่ร้านเครื่องประดับบนถนนด้านตะวันตก ตอนนั้นจอหงวนบู๊ได้ไปเลือกของขวัญวันเกิดให้กับมารดา จึงพบเข้ากับหยวนหย่งอี้ที่กำลังเลือกซื้อของอยู่ในร้านพอดี
การพบกันครั้งที่สาม ก็คือตอนที่จอหงวนบู๊ไปทาบทาม เจ้าหนุ่มโง่นี้ก็ตามผู้ใหญ่ไปด้วย
“ที่จริงท่านย่ารู้สึกว่าเขาซื่อบื้ออยู่บ้าง ไม่ค่อยหัวแหลม ไม่เข้าใจในการสร้างบรรยากาศ แต่พี่ใหญ่บอกว่าไม่เข้าใจในการสร้างบรรยากาศก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนคนนั้นจะหัวแหลมไปทำไมกัน และเรื่องซื่อบื้อ เช่นนั้นระหว่างสามีภรรยาก็พูดจากันน้อยหน่อย ตัวนางเองนั้นเห็นดีด้วย ”
“นางนั้นอยากจะหาใครสักคนเพื่อจะได้ลืมน้องเจ็ดให้เร็วขึ้น ”
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินคืนอื่นเขาพูดกันว่า การลืมคนคนหนึ่งนั้นทางที่ดีที่สุดคือหาอีกคนหนึ่งมาแทนที่ คำพูดนี้เป็นประโยคที่รัชทายาทพูดกับอ๋องฉี แต่อ๋องฉีไม่ใส่ใจ กลับเป็นพี่ใหญ่ที่จำขึ้นใจ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกกลัดกลุ้ม เจ้าห้าก็แค่แต่งงานแล้วถึงกับคิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญหรืออย่างไร กล้าทำหน้าที่เป็นอาจารย์ให้คำปรึกษาด้านความรัก
“พี่หยวน ท่านอย่าขอร้องอีกเลย ข้าก็เคยพูดแล้ว คนในบ้านมากมายต่างก็ช่วยกันเกลี้ยกล่อม แต่นางก็ไม่ยอมฟัง ตามใจนางเถอะ นางเอาแต่คิดถึงอ๋องฉีอยู่เช่นนี้ก็ไม่ใช่หนทางที่ดี คนย่อมต้องเดินไปข้างหน้า อ๋องฉีดูแล้วยังคงปล่อยวางฉู่หมิงชุ่ยไม่ได้ ตอนนี้ได้สติคืนมาแล้วก็ดี ถ้าหากให้นางต้องรออีกสามปีห้าปี พบว่ายังคงเป็นเช่นนี้ นั่นยิ่งไม่เท่ากับเป็นการเสียเวลาในวัยสาวอย่างเปล่าประโยชน์หรอกหรือ”
หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงว่าอะซี่จะมองเรื่องราวได้แจ่มแจ้งเช่นนี้ เทียบกับตอนที่มาแรกๆ ความคิดได้เติบโตขึ้นมามาก เห็นที ภายในระยะเวลาหนึ่งปีกว่านี้ ทุกคนต่างก็กำลังเติบโตขึ้น
พริบตาเดียวอะซี่ก็กลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว ความซุกซนราวกับเด็กน้อยในแววตาก็ลดลงไปมาก
นางนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า อะซี่เองก็ถึงเวลาต้องออกเรือนแล้ว
“เอาเถอะ บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก คนอย่างน้องเจ็ด ให้หยวนหย่งอี้รอไปอีกสามปีห้าปี ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อีกอย่าง ที่น่ากลัวที่สุดคือทางนี้กำลังรอเขา แต่เขาก็ไม่ได้เดินออกมาง่ายๆ ยังไปหลงรักผู้หญิงคนอื่นเข้า เช่นนั้นอาจทำให้คนตายได้”
นางยืนขึ้น “ไป ไปจ่ายเงินเดือนกัน เมื่อครู่รัชทายาทดูไม่ชอบมาพากล ดูก็รู้ว่าต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ พวกเราไปจับตาดูเอาไว้”
อะซี่ปิดปากแอบยิ้ม “ที่รัชทายาททำตัวไม่ชอบมาพากล ก็เพราะอยากจะเก็บเงินไว้มากหน่อย คาดว่าคงจะให้ใต้เท้าทังแอบลงมือในสมุดบัญชี ”
หยวนชิงหลิงก็ยิ้มขึ้นมา เรื่องเช่นนี้เจ้าห้าก็ทำออกมาได้ ไร้อนาคตสิ้นดี
เมื่อไปถึงด้านนอกห้องบัญชี ได้มีบ่าวไพร่ไม่น้อยรออยู่แล้ว เห็นหยวนชิงหลิงมาถึง ต่างก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็คำนับและร้องขึ้นพร้อมกันว่า
“คำนับพระชายารัชทายาท”
“สวัสดีทุกคน”ตอนนี้หยวนชิงหลิงได้สวมบทบาทเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างเต็มตัว ได้รับการต้อนรับอย่างดี
เข้าไปในห้องบัญชีแล้ว บนโต๊ะไว้มีการจัดวางก้อนเงินเล็กกองหนึ่งและเหรียญอีแปะไว้จำนวนหนึ่งแล้ว สวีอีรับหน้าที่ชั่ง ห้องบัญชีรับหน้าที่รับผิดชอบจดบันทึกตัวเลข หยู่เหวินเห้ากับทังหยางนั้นตรวจสอบรายรับรายจ่ายในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
เห็นหยวนชิงหลิงเข้ามา หยู่เหวินเห้าเผลอรวบเสื้อคลุมขึ้นมาทีหนึ่ง “มาแล้วหรือ นั่งลงก่อน กำลังตรวจสอบความถูกต้อง ประเดี๋ยวจะให้เจ้าดู”
“ดี”หยวนชิงหลิงพูด นางกับอะซี่นั่งลง ช่วยเอาเงินที่ชั่งเสร็จแล้วใส่ถุง
ตั้งแต่หยวนชิงหลิงมาที่นี่ บ่าวไพร่ทั่วไปต่างก็ได้รับเงินหนึ่งพวงต่อหนึ่งเดือน นางมักจะเลือกที่จะจ่ายเป็นเงินหนึ่งตำลึง
ที่จริงหนึ่งพันอีแปะก็มากว่าจวนอื่นๆอยู่บ้างเล็กน้อย ตอนนี้ค่าเงินในเป่ยถังสูงขึ้น เงินตำลึงสามารถแลกได้สูงสุดถึงหนึ่งพันสองร้อยอีแปะ หรือพูดอีกอย่างก็คือ บ่าวไพร่ในจวนอ๋องฉู่นั้นมีเงินเดือนมากกว่าจวนอื่นๆสูงถึงราวห้าร้อยอีแปะ
ส่วนเงินทองแดงที่กองอยู่ข้างๆนั้น เป็นเงินรางวัลที่หยวนชิงหลิงได้กำหนดขึ้น ภายในหนึ่งเดือน ขอเพียงไม่ได้มีการทำผิดได้รับโทษ ล้วนสามารถได้รับเงินรางวัลมูลค่าห้าสิบอีแปะ แต่ถ้าหากมีการอุทิศตนเป็นกรณีพิเศษหรือทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมมาก เงินรางวัลก็จะเพิ่งสูงขึ้นเป็นหนึ่งร้อยอีแปะจนถึงห้าร้อยอีแปะเป็นต้น ล้วนอ้างอิงจากบันทึกของผู้ดูแลของตนเอง
อะซี่เอาบัญชีขึ้นมาเรียกให้คนเข้ามาเอาเงินเดือน ถุงใส่เงินเดือนล้วนเป็นพวกเขาที่ทำขึ้นเอง เขียนชื่อของพวกเขาเอาไว้ หลังจากรับไปแล้ว รอถึงเดือนหน้าเมื่อใกล้ถึงเวลาจ่ายเงินเดือนแล้ว ก็เอาถุงเงินกลับมาส่งคืนให้ห้องบัญชี
“ขอบคุณพระชายารัชทายาท ขอบคุณรัชทายาท ”บ่าวไพร่รับเงินเดือน เดินจากไปอย่างดีอกดีใจ
รอให้บ่าวไพร่ทั่วไปต่างก็รับเงินเดือนหมดแล้ว จากนั้นก็เป็นหัวหน้าผู้ดูแลในส่วนต่างๆ ผู้ดูแลทั่วไปจะได้สองตำลึง
หมันเอ๋อกับฉี่หลอนับว่าเป็นผู้ดูแลของตำหนักเซี่ยวเยว่ ทั้งสองคนต่างได้รับสองตำลึงบวกเพิ่มกับเงินรางวัลอีกห้าร้อยอีแปะ
หมันเอ๋อพูดกับอะซี่อย่างดีใจว่า “ประเดี๋ยวจะเลี้ยงเจ้ากินเกี๊ยว”
“ได้”อะซี่ขยิบตาให้ทีหนึ่ง “ครั้งหน้าข้าจะเลี้ยงเจ้ากินไก่ย่าง”
ตอนนี้อะซี่อยู่ในจวนอ๋องฉู่ก็มีเงินเดือน ทางฝั่งตระกูลหยวนก็มี ฉะนั้นนางมีเงินเดือนให้รับสองที่
อะซี่อยู่ในจวนอ๋องฉู่มีเงินเดือนห้าตำลึง ที่จริงตอนแรกนางไม่ยอมรับเงินเดือน หลังจากนั้นหยวนชิงหลิงบอกว่าเป็นการให้เงินค่าขนมแก่นาง นางจึงยอมรับไว้
จนมาถึงสวีอี สวีอียื่นมือออกไปรับ “ขอบพระทัยพระชายารัชทายาท ”
ถุงเงินอันหนักอึ้งวางลงบนมือของสวีอี สวีอีเปิดออกดูชั่วครู่ก็รีบปิดมันไว้ทันที ดวงตาเบิกกว้าง “สวรรค์ ผิดแล้วกระมัง”
“ไม่ผิด สิบตำลึง ”หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆ“รับไว้เถอะ เดือนนี้เจ้างานยุ่งวุ่นวายไม่ได้ว่างเว้น ขึ้นเขาลงห้วยไปพร้อมกับข้า เป็นการลำบากเจ้าด้วย”
หยู่เหวินเห้าที่อยู่ข้างๆได้ยินเข้า ก็มองสวีอีด้วยสายตาอิจฉาริษยา จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เขาได้สิบตำลึง แล้วข้าเล่า”
“พวกท่านทั้งสามล้วนได้สิบตำลึง”หยวนชิงหลิงโยนไปให้ หยู่เหวินเห้ารับไว้ รู้สึกไม่ค่อยพอใจ “เช่นนั้นข้าก็เท่ากับสวีอีน่ะสิ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ขุนนางระดับหกในพื้นที่มีเงินตอบแทนประจำปีแค่สี่สิบห้าตำลึง ท่านได้เดือนละสิบตำลึง ยังถือว่าน้อยหรือ สิบตำลึงนี่แค่ค่าขนมของท่าน ค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดท่านไม่ต้องดูแล ทำไมจะไม่พอใช้จ่าย ข้าเดือนหนึ่งยังใช้จ่ายแค่สิบตำลึงเท่านั้น”
หยวนชิงหลิงตรวจสอบสมุดบัญชีครู่หนึ่ง พบว่าในบัญชีรายจ่ายมีการเล่นตุกติกเกิดขึ้น เดือนนี้มีรายจ่ายจากการซื้อเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เนื้อส่วนมากในจวนนั้นได้รับการจัดส่งมาจากในวัง ที่ต้องซื้อด้วยตนเองนั้นน้อยมาก ที่นี่ได้เพิ่มจำนวนเงินเข้าไปในส่วนของเนื้อที่ทางวังได้จัดส่งมาให้โดยตรง
หยวนชิงหลิงลองคำนวณดูคร่าวๆแล้ว เจ้าห้าอย่างน้อยก็โกงไปยี่สิบตำลึง
นางเองก็ไม่ได้พูดออกไป คิดว่าอย่างน้อยตอนนี้เขาก็เป็นเจ้ากรมการพระนคร เชิญคนในกรมกินข้าวสักมื้อดื่มเหล้าสักไหนั้นก็สมควรอยู่ ผูกสัมพันธ์ไมตรีเอาไว้
จ่ายเงินเดือนแล้ว หยวนชิงหลิงได้คำนวณค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงเรียน ที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้นับว่าสูญเปล่าไปแล้ว เพราะว่าทุกเผาและทุบทำลาย ไม่สามารถใช้การได้อีก กระทั่งต้องให้คนมารื้อถอนออกไป แล้วก่อสร้างขึ้นมาใหม่ โชคดีที่มีคนบางส่วนมาช่วยเหลือโดยไม่คิดค่าจ้าง ไม่เช่นนั้นนี้ก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
ท่านชายสี่เหลิ่งบอกว่าเงินของซาวโถ๋จุ้ยไม่ให้นาง แต่ก็ให้คนเอามาส่งให้ เพียงแค่หักเอาไว้จำนวนมาก แต่อย่างน้อยก็มีรายรับมากกว่าหนึ่งพันอีแปะ ไม่เลวจริงๆ
หยวนชิงหลิงควักเงินออกมาจำนวนหนึ่ง มอบให้ทังหยางไปจัดการเรื่องของซุ้มโจ๊ก
ตั้งแต่ซุ้มโจ๊กที่ฉู่หมิงชุ่ยทำพังไป ทุกเดือนหยวนชิงหลิงต้องจัดทำขึ้นหลายครั้ง แต่เหล่านี้ล้วนปล่อยให้ทังหยางเป็นคนไปจัดการทั้งหมด หนึ่งเดือนจัดซุ้มโจ๊กขึ้นประมาณสี่ครั้ง หนึ่งสัปดาห์หนึ่งครั้ง
ทั้งหมดต่างก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ค่อยกลับไปยังตำหนักเซี่ยวเยว่พร้อมกับเจ้าห้า
ในตำหนักเซี่ยวเยว่มีไฟใต้ดิน อบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง หยวนชิงหลิงมองเขาแวบหนึ่ง ยื่นมือออกไปคิดจะช่วยเขาถอดเสื้อตัวนอก หยู่เหวินเห้ารีบกระโดดถอยร่นไปข้างหลังทันที มองนางอย่างระมัดระวัง “อย่าแตะต้องเสื้อของข้า”
“ไม่ร้อนหรือ”หยวนชิงหลิงถามอย่างรู้สึกขำ
“ไม่ร้อน หนาว”หยู่เหวินเห้าห่อให้แน่นขึ้น “วันนี้ข้ายังไม่อาบน้ำ ข้าจะไปที่สระผี ”
“ข้าไปพร้อมกับท่าน”
“ไม่ต้อง คืนนี้ข้าอยากอยู่เงียบๆคนเดียว แช่น้ำคิดเรื่องคดีเสียหน่อย ”หยู่เหวินเห้าพูดจบ ก็รีบวิ่งออกไปทันที
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเงินส่วนตัวของเขาล้วนเก็บไว้ที่สระผี ไม่ต้องสนใจเขา ผู้ชายที่ไม่ซ่อนเงินส่วนตัวเป็นผู้ชายที่ไม่ดี