บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 695 ไม่ผุแล้วสลักไม่ได้
แม้หยู่เหวินเห้าจะบอกว่าไม่สนใจเรื่องของอ๋องฉีกับสาวน้อยหน้ากลม แต่ว่า วันนี้มีเวลาว่าง เชิญชวนให้เหลิ่งจิ้งเหยียนกับกู้ซือมาดื่มเหล้าด้วยกัน รวดเรียกน้องเจ็ดมาดื่มด้วยกันที่บ้าน ยังบอกกับหยวนชิงหลิงอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเรื่องนี้ต้องแก้ไขได้แน่นอน จะทำให้สาวน้อยหน้ากลมรู้เสียงในใจของน้องเจ็ดให้ได้
หลังจากกู้ซือแต่งงานแล้ว ก็ไม่ค่อยจะมีอารมณ์อยากจะนัดรวมตัวในแบบผู้ชายมากนัก มีเวลาให้กับเรื่องเช่นนี้ไม่สู้กลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนภรรยาจะดีกว่า จะได้สร้างเด็กๆออกมาได้หลายๆคนในเร็ววันนี้ ถ้าได้แต่งงานดองญาติกับตระกูลของรัชทายาทจะดีแค่ไหน
ฉะนั้น เขาจึงดื่มไปไม่กี่แก้ว ก็คิดอยากจะกลับบ้าน ไหนเลยจะรู้ว่าหยู่เหวินเห้าจะปล่อยระเบิดลูกใหญ่หนักอึ้งออกมา “ใช่แล้ว พวกเจ้ารู้หรือไม่ หยวนหย่งอี้จะแต่งงานแล้ว”
กู้ซือนั่งตัวตรงทันที หันไปมองอ๋องฉีอย่างไม่ตั้งใจพร้อมกับเหลิ่งจิ้งเหยียน
อ๋องฉีกำลังยกแก้วเหล้าขึ้น ดวงตายังคงเบิกบานด้วยคำพูดขำขันที่คุยกันเมื่อครู่ รอยยิ้มยังไม่ทันได้เก็บกลับไป ก็ได้ยินหยู่เหวินเห้าพูดขึ้น รอยยิ้มของเขาแข็งค้างอยู่ที่มุมปากทันที
จากนั้น ทั้งสามคนของมองเห็นรอยยิ้มของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นท่าทีจะร้องไห้ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งหัวจิตหัวใจ “จริงหรือ เช่นนั้นก็ยินดีกับนางด้วยจริงๆ ไม่รู้ว่าท่านชายบ้านไหนจึงได้มีวาสนาดีเช่นนี้ หยวนหย่งอี้เป็นผู้หญิงที่ดี ใครได้แต่งกับนางนับว่ามีวาสนา”
กู้ซือตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ “อ๋องฉี อยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ ไม่มีใครหัวเราะเยาะท่าน ”
อ๋องฉีแหงนหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังฮ่าๆๆสามครั้ง“ร้องไห้อะไรกัน นี่เป็นเรื่องดี ข้ากับนางแม้จะไม่อะไรกัน แต่อย่างน้อยก็เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน ย่อมต้องดีใจกับนางอย่างจริงใจ เอ๋ แต่ว่า ก่อนหน้านี้ได้ยินว่านางจะออกเดินทางแล้วมิใช่หรือ ทำไมไม่ไปกลับจะแต่งงานเสียนี่ หัวใจของผู้หญิง ก็คือการเปลี่ยนแปลง แต่ว่า เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดีจริงๆ สมควรดื่มหนึ่งแก้ว”
เขาพูดแล้ว ก็ยกแก้วเหล้าขึ้น รอยยิ้มที่อ่อนแอนั้นแทบจะถูกฉีกขาดแล้ว “มา พวกเรามาดื่มเพื่อนางหนึ่งแก้ว”
หยู่เหวินเห้าผลักกาเหล้าทั้งกาไป “ไม่สู้ดื่มทั้งกาเลย”
“ก็ดี ก็ดี”อ๋องฉีวางแก้วลง รับกาเหล้าไป ยกกาเหล้าแหงนหน้าขึ้นเทเข้าปากดื่มลงไป
หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ว่าที่สามีของเขาข้าไปสืบมาแล้ว ชื่อลู่หยวน เป็นลูกของลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งบ้านตระกูลมารดาของพระชายาซุน วรยุทธกล้าแกร่ง อายุน้อยมีอนาคต แม้ตอนนี้จะแค่ยี่สิบสามปี แต่กลับเป็นถึงจอหงวนฝ่ายบู๊แล้ว พอดีกับที่หยวนหย่งอี้ชื่นชอบการฝึกยุทธ ภายหน้าหากแต่งงานไป ก็มีความชื่นชอบอย่างเดียวกันให้สามารถผัวหาบเมียคอนกันได้”
“เป็นลู่หยวนหรอกหรือ เจ้านี่รูปร่างสูงใหญ่แต่สมองไม่เอาไหน”เมื่อพูดเช่นนี้ กู้ซือก็รู้แล้ว รีบพูดต่อทันที ในคำพูดไม่แฝงแววชื่นชมแม้แต่น้อย
อ๋องฉีกระแทกกาเหล้าวางลงบนโต๊ะอย่างแรง เอ่ยเสียงเย็นว่า “รูปร่างสูงใหญ่แล้วมีประโยชน์อะไร ใช้แรงงานหรือ และคนที่มีวรยุทธ นิสัยหยาบกระด้าง ชื่นชอบการใช้กำลังกับคนอื่น นางแต่งงานไป ไม่แน่วันดีคืนดีอาจจะถูกทุบตีเป็นแน่”
กู้ซือส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ พี่ลู่เป็นคนซื่อสัตย์มาก แค่รักการฝึกวรยุทธเท่านั้น ไหนเลยจะมีนิสัยชอบใช้กำลังตีคนได้เล่า ”
“ฮึ”ใบหน้าขาวของอ๋องฉีมีสีแดงแห่งความเย็นชาผุดขึ้นมา “ซื่อสัตย์อย่างนั้นหรือ พูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือพวกที่มีความคิดดื้อรั้น ไม่รู้จักสร้างบรรยากาศ ลู่หยวนคนนั้นเดิมทีเคยพบกันหนหนึ่ง ราวกับท่อนไม้ก็ไม่ปาน แสดงออกไม่เป็น เป็นคนซื่อๆไม่ชอบพูดจา ”
“เป็นไปได้อย่างไร”กู้ซือมองเขา “แม้ว่าพี่ลู่จะไม่ใช่คนที่ฉลาดหลักแหลมนัก ไม่ค่อยชอบพูดจาแสดงออก แต่ก็คงไม่เหมือนท่อนไม้ ท่านเคยเจอเขาที่ไหนกัน ”
“จำไม่ได้แล้ว น่าจะเป็นตอนที่กรมโยธาธิการซ่อมสะพานกระมัง เห็นเขาอยู่ตรงหัวสะพานไกลๆ ไม่ได้เห็นจังๆ แต่มีคนบอกว่าเขาเป็นจอหงวนบู๊ ข้าจึงมองแวบหนึ่ง”
ถ้าหากตอนนั้นรู้ว่าจะกลายเป็นศัตรูหัวใจ อย่างไรเสียก็จะมองให้นานหน่อย
กู้ซือทำหน้าไม่ถูก “คนอื่นอยู่ไกลถึงหัวสะพาน ท่านก็มองออกว่าคนอื่นเป็นท่อนไม้แล้วหรือ”
หยู่เหวินเห้าเอ่ยเสียงเรียบๆว่า “น้องเจ็ด เมื่อครู่เจ้ายังอวยพรนางอยู่เลยมิใช่หรือ ทำไมตอนนี้จึงได้สรรหาแค่คำพูดที่ไม่น่าฟังมาให้ร้ายว่าที่สามีของนางเล่า”
ไฟแห่งความโมโหในแววตาของอ๋องฉีถูกซ่อนเอาไว้ เอ่ยอย่างเศร้าๆว่า “ใครพูดจาให้ร้ายเขากัน ก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น อวยพรนั้นต้องอวยพรอยู่แล้ว แต่ว่าว่าที่สามีของเขาคือใคร รู้สึกไม่เหมาะสมกับนาง นางควรจะเลือกคนที่ดีกว่านี้ อย่างน้อย ก็ต้องเหมือนอย่างจิ้งเหยียนเช่นนี้ ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนหมุนแก้วเหล้าอยู่ ใบหน้าหล่อเหล่าของเขาแฝงรอยยิ้มจางๆที่ดูเย็นชา“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็สามารถเชิญแม่สื่อสักคนไปทาบทามดู ให้นางมีตัวเลือกเพิ่มขึ้น ”
“เหลิ่งจิ้งเหยียน ”อ๋องฉีรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที
หยู่เหวินเห้าตบโต๊ะ “เจ้าจะโมโหอะไรกัน เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย หลังจากพวกเจ้าหย่ากันแล้ว ก็มีอิสระที่จะแต่งกับใครก็ได้ เจ้าไปสนใจทำไมว่าใครจะไปทาบทามสู่ขอนาง ถ้าหากเจ้าปล่อยวางนางไม่ลง มีความสามารถก็ไปตามกลับมา เอาความคิดฟุ้งซ่านที่ไม่ควรมีโยนทิ้งไปซะ”
อ๋องฉีถูกตำหนิไปยกหนึ่ง ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เอ่ยอย่างปากแข็งว่า “ใครว่าข้าปล่อยวางนางไม่ลง ในหัวใจของข้าไม่เคยมีนางเลยด้วยซ้ำ”
“เจ้ามันสมองหมู ”หยู่เหวินเห้าแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะตบเขาให้ตายในฝ่ามือเดียว “เจ้าพูดจาให้ร้ายว่าที่สามีของคนอื่น ไม่ใช่เพราะในใจเจ้ามีนางอยู่หรอกหรือ เจ้าไม่สามารถยอมรับความคิดของตัวเองได้เลยหรือ ยอมพูดออกมาจากปากแค่นี้มันยากมากหรือ เจ้าจะตายหรืออย่างไร”
หลังจากอ๋องฉีดื่มเหล้าไปหนึ่งกา ก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะปากแข็งต่อไป “นี่ไม่ใช่เรื่องของปากแข็งหรือไม่ ข้าแค่รู้สึกว่านางควรจะหาคนที่ดีกว่านี้ แต่ไม่ใช่หาชาวยุทธที่ไหนมาก็ได้ ถ้าหากหาได้ดี ข้าย่อมต้องอวยพรนางแน่นอน”
หยู่เหวินเห้ามองเขา รู้สึกสิ้นหวัง คืนนี้ตนเองต้องนอนกลางถนนแน่
“เลิกแยกย้าย”หยู่เหวินเห้าพูดอย่างโมโห “กลับไปให้หมด เหล้านี้ไม่ต้องดื่มแล้ว”
อ๋องฉีกลับคว้ากาเหล้าเอาไว้ “ทำไมจะไม่ดื่ม ดื่มต่อ”
แม้แต่คนโง่เง่าอย่างกู้ซือ ก็เริ่มรู้สึกระแคะระคายขึ้นมา เขามองไปยังฉากกั้นที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง ปรากฏว่าด้านล่างนั้นมีรองเท้าปักลายดอกไม้โผล่ออกมาสองคู่
เขาถอนหายใจเบาๆ “เห้อ สมควรแล้วที่มีใครบางคนต้องโดดเดี่ยวเดียวดายตลอดชีวิต”
พูดจบ ก็ลุกขึ้นมาพร้อมกันกับเหลิ่งจิ้งเหยียน
“ทำไมพวกเจ้าจะกลับกันแล้ว ดื่มอีกสักหน่อยสิ ”อ๋องฉีร้องเรียก
หยู่เหวินเห้าเอาเหล้าแก้วหนึ่งสาดไปที่หน้าของเขา “ดื่ม ดื่มให้ตาย ดื่มจนเมียก็ไม่มีแล้ว”
อ๋องฉียืนขึ้นมา รู้สึกโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว“ไม่ผิด ข้าไม่มีเมียตั้งนานแล้ว ตายแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่มองเห็นอย่างชัดเจนหรอกหรือ ทำไมต้องสาดเกลือไปบนบาดแผลของข้าด้วย ”
หลังฉากกั้น มีคนสองคนค่อยๆเดินออกมา
หยวนชิงหลิงประคองหยวนหย่งอี้ไว้อย่างจนใจ ที่จริงนางไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าห้ามากนัก ก็เพราะกลัวจะเป็นดั่งเช่นตอนนี้ เรื่องอื่นอ๋องฉีนั้นไม่เท่าไหร่ โง่เขลา ปากแข็ง
เมื่ออ๋องฉีมองเห็นหยวนหย่งอี้ สีหน้าก็ซีดลงหลายส่วน รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมากะทันหัน เอ่ยพึมพำว่า “เจ้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“คำนับรัชทายาท ”สายตาของหยวนหย่งอี้เต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ใบหน้ายังคงความเรียบเฉยมีมารยาทไว้อย่างเหมาะสม “ให้ข้าฟังความในใจของท่านอ๋องอยู่ตรงนี้ บอกว่าหลังจากฟังแล้ว ข้าจะเข้าใจเอง ขอบคุณ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
“ข้า……”อ๋องฉีรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้ายิ่งขาวซีดลงไปอีก มองใบหน้าเย็นชาห่างเหินของนาง ในใจมีความทุกข์ที่พูดไม่ออก “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“พระชายาฉีตายไปตั้งนานแล้ว ท่านอ๋องควรไว้อาลัยต่อนาง ขอลา ”หยวนหย่งอี้พูดจบ ก็ย่อตัวคำนับให้เขา ค่อยๆเดินออกไป
“ตามไปสิ”หยวนชิงหลิงมองเขาที่ยืนบื้ออยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างโมโห
แสงสว่างในแววตาของอ๋องฉีค่อยๆเลือนหายไป เขานั่งลงที่เดิม เอ่ยพึมพำว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากทำให้นางต้องเสียเวลา ในเมื่อให้ในสิ่งที่นางต้องการไม่ได้ ไม่เหนี่ยวรั้งเอาไว้ถือเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้สมหวัง”
สายตาเย็นเยียบของหยวนชิงหลิงกวาดมองใบหน้าของหยู่เหวินเห้า “จัดการเรื่องได้ดีทีเดียว ทำให้นางได้แต่งงานอย่างตายใจเสียที”
หยู่เหวินเห้าก้มหน้าลง ใครจะรู้ว่าหมูตัวนี้ดื่มจนเกือบจะเมาอยู่แล้ว ยังไม่ยอมพูดความในใจ ช่างเป็นไม้ผุที่สลักไม่ได้แล้วจริงๆ
เมื่อก่อนหากยายหยวนต้องการรู้อะไรจากเขา ก็แค่ให้เหล้า ดื่มหมดแล้วไม่ว่าอะไรก็พูดออกมาหมด
หยวนชิงหลิงมองอ๋องฉี พูดว่า “ถ้าหากในใจของเจ้ายังมีฉู่หมิงชุ่ยจริง ข้าก็ไม่แนะนำให้เจ้าไปตามสาวน้อยหน้ากลมกลับมา เจ้าลองคิดทบทวนดีๆเถอะ เรื่องแต่งงานถ้าถูกกำหนดแล้ว เจ้าอยากจะตามกลับมาก็เป็นไปไม่ได้ ฮูหยินเฒ่าตระกูลหยวนคงไม่เห็นด้วยที่จะทำลายคำมั่นสัญญาในการแต่งงาน”
พูดจบ นางก็ออกไปตามหยวนหย่งอี้