บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 696 เรียกแม่เป็นแล้ว
หยู่เหวินเห้าลากตัวอ๋องฉีไปยังลานฝึกยุทธ “ไป ซ้อมมือเป็นเพื่อนพี่หน่อย”
“ไม่ไป”อ๋องฉีดิ้นรน “ท่านปล่อยข้านะ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ยิ่งไม่ยินดีจะเป็นกระสอบทรายให้ท่านด้วย ท่านไปหาสวีอีเถอะ”
หยู่เหวินเห้าไม่ฟังเสียงยังคงลากตัวเขาไปยังลานฝึกยุทธ ลงมือทุบตีสั่งสอนยกใหญ่ ซ้อมจนเขาต้องสะบักสะบอม วิญญาณแทบกลับร่างไม่ได้ จึงถามเขาว่า “ตอนนี้เจ้ายังเป็นสามีของคนตายอย่างฉู่หมิงชุ่ยอยู่หรือไม่ ”
อ๋องฉีนอนกองอยู่กับพื้น หายใจเฮือกใหญ่ พยายามอย่างแรงจนลืมตาขึ้นมาได้เพียงนิดเดียวมองไปยังใบหน้าที่เขียวคล้ำของหยู่เหวินเห้า
คนอื่นยังหน้าไม่แดงหายใจก็ปกติอยู่
“พี่ห้า ”อ๋องฉีดึงมือเขาเอาไว้ “นอนลงมา ข้ามีเรื่องจะถาม”
หยู่เหวินเห้านั่งลง แล้วก็เตะไปที่ศีรษะของเขาอีกหนึ่งที “ถามได้ แต่ต้องถามเป็นภาษาคน”
อ๋องฉีตะแคงหน้ามองเขา มุมปากมีเลือดไหลซิบออกมา “ท่านมีความสุขหรือไม่”
“ไม่มีความสุข”หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย
“ที่ข้าถามหมายถึงท่านกับพี่สะใภ้ห้าอยู่ด้วยกัน มีความสุขหรือไม่ ”อ๋องฉีมองถุงเงินของเขาที่ร่างหล่นไปแล้วครึ่งหนึ่ง “แม้แต่เงินส่วนตัวท่านยังต้องแอบซ่อนเอาไว้ ให้ท่านเลี้ยงข้าวมื้อหนึ่งยังตระหนี่ยิ่งนัก จะมีความสุขได้อย่างไร”
“เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจ”หยู่เหวินเห้าฉีกยิ้มมุมปาก “นี่เป็นความสนุกระหว่างสามีภรรยา อีกอย่าง ทำไมเจ้าต้องให้ข้าเลี้ยงข้าวด้วย เจ้าเองก็ร่ำรวยกว่าข้ามาก ”
“ร่ำรวยก็เรื่องหนึ่ง ข้าหมายถึงชีวิตของท่านไม่ดีเลย”
“เจ้าน่ะสิมีชีวิตที่ไม่ดี มีภรรยาและลูกอยู่กันพร้อมหน้า ทำไมข้าจะไม่มีความสุข”หยู่เหวินเห้าถาม
มีภรรยาและลูกอยู่พร้อมหน้า สายตาของอ๋องฉีแข็งทื่อ ยื่นมือออกไปเช็ดเลือดที่มุมปาก “ใช่แล้ว สิ่งที่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปต่างค้นหาก็คือสิ่งนี้มิใช่หรือ เมื่อก่อนตอนที่ข้าอยู่กับฉู่หมิงชุ่ย ที่คิดก็คือเรื่องนี้ ”
หยู่เหวินเห้าสั่งสอนเขาไปหนึ่งยก นับว่าได้ระบายอารมณ์ออกไปแล้ว และคร้านจะสนใจเรื่องของเขาแล้วด้วย “ไปเถอะ เจ้าจะตายหรือจะตกต่ำลง วันหน้าข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว”
เจ้าคนหัวดื้อ ให้เขาคิดออกเกรงว่าคงต้องรอไปชั่วชีวิต
สองมือของอ๋องฉีรองไว้หลังศีรษะ มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ตัวสั่นชั่วครู่ ลมแรงมาก
อีกฟากฝั่งหนึ่ง หยวนชิงหลิงตามหยวนหย่งอี้ทันแล้ว หยวนหย่งอี้กลับยิ้มพูดกับนางว่า “พอแล้ว ตอนนี้ข้าตายใจแล้ว สามารถแต่งงานอย่างสบายใจเสียที บอกตรงๆ ก่อนหน้านี้ยังลังเลอยู่บ้าง รู้สึกว่าการตัดสินใจนี้กะทันหันเกินไป ตอนนี้รู้แล้ว จะพลาดโอกาสไม่ได้”
หยวนชิงหลิงมองดวงตาที่เริ่มแดงก่ำของนาง เมื่อครู่น่าจะร้องไห้
หยวนชิงหลิงรู้ว่าได้ยินกับหูว่าในใจของอ๋องฉีไม่มีนาง ยังบอกอีกว่าภรรยาของเขาได้ตายไปแล้ว มันน่าเสียใจจริงๆ
ตอนนี้ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ไม่เป็นผลแล้ว จึงได้แต่บอกว่า “เอาเถอะ ข้าจะให้อะซี่ส่งเจ้ากลับไป เจ้าอย่าไปคนเดียวเลย”
“ไม่เป็นไร ข้าขี่ม้ามา”หยวนหย่งอี้เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ยิ้มและตบไปที่ศีรษะของตนเองหนึ่งที “ดูข้าสิโง่แค่ไหน ตัวเองขี่ม้ามายังจำไม่ได้ ม้าตัวนี้กินจุมาก ให้อยู่ในจวนของพวกท่านหนึ่งคืน สามารถกินหญ้าที่พวกท่านมีจนหมดเชียวล่ะ ”
นางพูดจาเรื่อยเปื่อยไร้สาระเพื่อพยายามเบี่ยงเบนความเจ็บปวดที่อยู่ในใจ พูดถึงสุดท้ายน้ำเสียงก็เริ่มมีแววสะอื้น จึงยกมือขึ้นมา“ช่างเถอะ ข้าเดินกลับไปได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไร สบายมาก”
พูดจบ นางก็วิ่งออกไปแล้ว
หยวนชิงหลิงเห็นชั่วพริบตาตอนที่นางหมุนตัว เห็นได้ชัดว่ามีน้ำตาไหลออกมาแล้ว
ช่างเป็นจุดจบที่ทำให้รู้สึกเสียดายจริงๆ
ตอนที่นางกลับไป เห็นอ๋องฉีที่ใบหน้าเขียวช้ำเดินซึมๆออกไปจากทางประตูหลัง ท่าทีราวกับไม่กล้าสู้หน้าผู้คน นางก็คร้านจะพูด ความสุขนั้นต้องไขว่คว้ามาด้วยตนเอง ไม่ใช่สวรรค์ประทานให้ หวังว่าน้องเจ็ดจะเข้าใจถึงจุดนี้
วันรุ่งขึ้นหยู่เหวินเห้าพบว่าเงินส่วนตัวของเขาที่เก็บซ่อนเอาไว้ในสระผีได้หายไปแล้ว เงินหลายสิบตำลึงที่ทำการเบียดเบียนมาจากเงินซื้อเนื้อเขากล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจเดินออกไป ที่แท้เงินที่ได้มามิชอบนั้นเก็บเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ
แรกเริ่มนั้นฮ่องเต้หมิงหยวนได้มอบหมายงานให้กับอ๋องอันเรื่องหนึ่ง เดิมทีอ๋องอันไม่อยากจะไป ตอนนี้ก็มีเหตุผลเรื่องต้องดูแลพระชายาอันมาเป็นข้ออ้างแล้ว ตอนนี้จึงว่างงานอยู่บ้าน
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็คร้านจะสนใจเขา ตอนนี้เขาเป็นคนใจกว้างมาก แค่พี่น้องไม่เข่นฆ่าข้ากันก็ดีมากแล้ว
ย้อนกลับมาดูที่หยู่เหวินเห้า ตอนนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีความสำคัญ การตระเวนตรวจตรากองทัพในสิ้นปี ฮ่องเต้หมิงหยวนได้เจาะจงให้เขาไปทำหน้าที่พร้อมกับเจิ้งเป่ยกง
เจิ้งเป่ยกงเป็นบิดาของกู้ซือ เป็นแม่ทัพรุ่นแรกที่ทำการปราบปรามให้สู้เป่ยเกิดความสงบสุข ถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย
กู้กั๋วกงเป็นมีนิสัยแบบฉบับของแม่ทัพสายบู๊ นิสัยใจร้อน ทางนี้เพิ่งจะมีราชโองการลงมา วันรุ่งขึ้นก็ไปเชิญรัชทายาทถึงบ้าน
การไปตระเวนตรวจตรากองทัพ อย่างน้อยต้องไปยังกองทัพในสามเขต ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือน หยู่เหวินเห้ายังไม่ทันได้จัดเตรียมข้าวของอย่างครบครัน และในราชโองการได้ระบุไว้แล้วว่าออกเดินทางหลังจากนี้สองสามวัน
หยู่เหวินเห้าให้กู้กั๋วกงรออีกสองวัน เพราะต้องจัดการมอบหมายงานในกรมการพระนครก่อน เขาที่เป็นใต้เท้าใหญ่ใช่ว่าจะไปก็ไปได้เลย
กู้กั๋วกงจึงปล่อยเขาไว้ไม่สนใจ บอกว่าตนเองจะล่วงหน้าไปยังกองทัพทางใต้ก่อน รอเขาอยู่ที่กองทัพทางใต้
หยู่เหวินเห้าไร้คำพูด คุยกันแล้วว่าจะไปพร้อมกัน เขากลับออกเดินทางไปก่อน
เขาจึงได้แต่รีบทำเวลาไปยังกรมการพระนคร ให้ผู้ช่วยเจ้ากรมเป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องในกรมชั่วคราว
เมื่อเขามอบหมายงานเรียบร้อยแล้ว กู้กั๋วกงก็เดินทางไปยังกองทัพทางใต้แล้วจริงๆ เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางช้ากว่าหนึ่งวัน อยู่เป็นเพื่อนภรรยาและลูกก่อน
เขาบอกกับหยวนชิงหลิง รอให้ไปทำงานครั้งนี้กลับมาแล้ว ต้องไปยังทะเลสาบจิ้งสักครั้ง
อยากจะไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่มีงานมากมายล้อมตัวทำให้ไปไม่ได้
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกสนใจในทะเลสาบจิ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกว่าเมื่อถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนที่เป็นวันหยุด จะพาเด็กๆไปด้วยกัน
หยู่เหวินเห้าออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น พาสวีอีไปด้วย
วันที่สองหลังจากหยู่เหวินเห้าออกเดินทาง ก็มีหิมะตกอย่างหนัก
หิมะที่ตกครั้งนี้เหมือนถูกอัดอั้นเอาไว้นานมาก รอคอยให้มันตกลงมาอยู่ตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะตกลงมาสักที
พอถึงช่วงปลายปี ทั้งในจวนนอกจวนมีงานมากมายต้องทำ โชคดีที่ยังมีทังหยางคอยเป็นธุระจัดการเรื่องราวต่างๆให้ ด้วยเหตุนี้ทำให้หยวนชิงหลิงมีเวลาว่างเป็นครึ่งวัน พาคุณย่ากลับไปเยี่ยมท่านย่าที่จวนเจ้าพระยาจิ้ง
พร้อมกันนั้น ก็ส่งของใช้จำเป็นไปให้จวนเจ้าพระยาจิ้งด้วย
หยวนชิงหลิงห่อตัวคุณย่าไว้อย่างแน่นหนา ให้คนทำชุดกันหนาวยัดนุ่นที่ทั้งหนาและหนักให้กับนาง คุณย่าเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ใช้ขนจากสัตว์หรือหนังสัตว์ ฉะนั้นจึงต้องสวมใส่ให้มากหน่อยจึงจะอบอุ่น
คุณย่าหยวนมองตัวเองที่สวมใส่เสื้อผ้าจนตัวบวมเบ่ง รู้สึกขำตัวเอง “ย่าเหมือนแบกผ้าห่มผืนใหญ่ไว้บนตัว”
“อบอุ่นก็พอ อากาศเช่นนี้คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องสวยงาม”หยวนชิงหลิงเองก็สวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีแดงปักลายดอกไม้ตัวหนึ่ง ข้างนอกยังคลุมทับด้วยเสื้อคลุมคอปิดที่ยัดขนสัตว์ บนลำคอยังพันผ้าพันคอเอาไว้ เส้นผมถูกหวีเรียบไม่ได้จัดทรงสูง สวมที่ครอบหูสีแดง ดูแล้วน่ารักเป็นพิเศษ
หยวนชิงหลิงประคองคุณย่าขึ้นรถม้า เมื่อลมพัดมา ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความหนาว
คุณย่ารีบหันกลับไปเรียกให้พวกแม่นมอุ้มเหล่าของว่างขึ้นรถม้าก่อน อย่าให้เหลนสุดที่รักของนางต้องโดนความหนาว
ไหนเลยจะรู้ว่า เหล่าของว่างที่เอาแต่ร้องงอแง ดิ้นไปมาอย่างสุดกำลัง เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในจวน พวกเขาต่างก็อยากจะลงไปคลานกับพื้น ตอนนี้กำลังบิดตัวราวกับจะลงไปคลานกับพื้นอีกแล้ว แม่นมต่างก็คอยโอ๋คอยปลอบ ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ไม่สำเร็จ หยวนชิงหลิงและคุณย่าจึงต้องเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แม่นมสี่เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เอ๋ ท่านชายมีเหงื่อออกแล้ว เป็นไปได้อย่างไร”
วันนี้อากาศหนาวเย็นมาก จึงได้ห่อตัวพวกเขาเอาไว้อย่างหนาเป็นพิเศษ เพราะเกรงว่าจะหนาว ข้างในสามชั้นข้างนอกอีกสามชั้น ห่อได้มิดชิดแน่นหนามาก
แต่พอมาดูตอนนี้ ปรากฏว่าบนหน้าผากกับบนจมูกมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดออกมา
หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปสำรวจดู ทำหน้าไม่ถูก “ใส่เยอะขนาดนี้เชียว รีบขึ้นรถม้าถอดออกสักสองตัว ไม่ต้องใส่เยอะขนาดนี้ ”
นางอุ้มข้าวเหนียวไป จากนั้นก็ให้แม่นมอุ้มเด็กๆขึ้นไปบนรถม้าของนาง ในเมื่อตอนนี้ก็ไม่ต้องการให้ใครอุ้มแล้ว ปล่อยให้เล่นกันเองอยู่ในรถม้าก็พอ
ขึ้นรถม้าแล้ว ถอดเสื้อออกไปสองตัว พวกเขาจึงหยุดงอแง นอนหลับไปอย่างว่าง่าย
ก่อนหน้านี้ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังช่วงหนึ่ง เลี้ยงได้อ้วนมาก ตอนนี้หลังจากออกจากวังมาแล้ว ก็ผอมลงบ้างเล็กน้อย แต่คางสองชั้นของซาลาเปาไม่ยอมหายไปเสียที ช่างน่ารักน่าชังจริงๆ
คุณย่าหยวนมองเหลนทั้งสามคน รู้สึกมีความสุขเต็มหัวใจ ในสายตาก็แฝงแววแห่งความยินดีและมีความสุข
“แม่……”