บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 707 เขาคือภัยคุกคามอย่างหนึ่ง
ฝ่ามือนั่นยังไม่ลงมา ก็เห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามา โถมตัวมาก็กัดมืออีกข้างหนึ่งของนางไว้
เสียนเฟยเจ็บเป็นที่สุด กลับมองก็ไม่ได้มอง ยกฝ่ามือนั้นขึ้นก็ตกลงไปบนร่างกายเล็กๆนั่น
เมื่อหยวนชิงหลิงเห็น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นข้าวเหนียวน้อย เดิมทีเขาอยู่นอกตำหนักเล่นอยู่กับแม่นม วิ่งเข้ามาโดยไม่คาดคิด
ฝ่ามือนี้ลงไป ก็ได้ยิน “แง้” ร้องไห้เสียงดังทีหนึ่ง ข้าวเหนียวน้อยล้มนั่งบนพื้น ครู่เดียวก็ร้องไห้จนสีหน้าเป็นสีม่วง และเป็นท่าทางที่ร้องไห้จนแทบจะหมดลมอีก
ไทเฮาเห็นดังนั้น ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ อุ้มข้าวเหนียวน้อยไว้ตะคอกใส่เสียนเฟยอย่างรุนแรง “เจ้าตีเขาทำไม? เจ้าเสียสติแล้วหรือ? ตีเขาทำอะไร? ยังใช้แรงตีขนาดนั้น เจ้าอยากตายหรือ!”
ชั่วขณะนั้นเสียนเฟยก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นข้าวเหนียว แม้ว่าตอนนี้จะเห็นชัดแล้ว แต่กลับถูกไทเฮาดุด่ารอบหนึ่ง ในใจก็ไม่พอใจแล้ว กล่าวด้วยความโกรธเคือง: “ไม่ใช่แค่ตีเบาๆไปทีหนึ่งหรือเพคะ? ถึงกับต้องร้องไห้จนน่าสงสารเช่นนี้เชียว? แล้วก็ไม่ได้จะเอาชีวิตเขา ก็เพราะอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้น เด็กกัดมือคนมองไม่เห็นหรือเพคะ? เพราะใครสอนล่ะ? เจ้าเด็กไม่ดีนี่!”
สำหรับหลานทั้งสามคน จากก้นบึ้งของจิตใจนางก็ชอบไม่ลง เพราะเด็กๆไม่สนิทชิดเชื้อกับนาง เห็นนางก็ร้องไห้ สะบัดหน้า เด็กเล็กขนาดนี้กลับเลือกปฏิบัติเพียงนี้ เหมือนกับแม่บังเกิดเกล้าของพวกเขาเช่นนั้น
ไทเฮาได้ยินคำพูดนี้ของนาง โกรธจนทนไม่ได้ “เด็กไม่ดีอะไร? มีที่พูดจาแบบเจ้าเช่นนี้หรือ? เจ้าต้องการตีแม่ของเขา เข้าไม่ต้องกัดเจ้าหรือ? เขานี่คือรู้เรื่อง ทารกเล็กขนาดนี้กลับรู้เรื่องขนาดนี้ เจ้าควรจะดีใจ ไม่มีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆแล้วจริงๆเลย วันนี้หากไม่ใช่เพราะเรื่องของหลิงเอ๋อร์ ก็ไม่ควรให้เจ้าออกมาจริงๆ”
นางปลอบข้าวเหนียว ตบหลังของเขาเบาๆ “พอแล้ว พอแล้ว เด็กดี เราไม่ร้องแล้ว เราไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง มา ให้กินลูกอม”
พูดจบก็เรียกแม่นมไปหยิบลูกอมดอกกุ้ยฮวา ยัดให้ข้าวเหนียวกำหนึ่ง นี่ถึงได้ปลอบให้เขาหยุดลงได้ คว้าลูกอมกำหนึ่งเดินโซเซเข้าไปหาหยวนชิงหลิง แล้วพิงอยู่ในอ้อมกอดของหยวนชิงหลิงไม่ยอมจากไป เหมือนต้องการปกป้องนางไว้
เสียนเฟยคับแค้นใจอย่างมากจริงๆ จิตใจอัดอั้น ข้างกายไม่มีดีสักคน
ไทเฮาก็เข้าเรื่องสำคัญเสียเลย กล่าวอย่างเย็นชา: “วันนี้เรียกเจ้ามา ก็เป็นความประสงค์ของฮ่องเต้ โดยคร่าวๆฮ่องเต้ไม่ยอมที่จะพูดกับเจ้า จึงให้ข้าออกหน้า ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลิงเอ๋อร์ก็ถูกคนอื่นขังไว้ในซาวโถ๋จุ้ยคืนหนึ่ง แพร่หรือไม่แพร่ออกไป เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็จำเป็นต้องแก้ไขปัญหา”
เสียนเฟยเพิ่งจะถูกด่าว่าไปรอบหนึ่ง ในใจไม่ยินยอม ได้ยินคำพูดนี้ของไทเฮา นางเปล่งเสียงไม่พอใจคำหนึ่งแล้วกล่าว: “เรื่องนี้กับพระชายารัชทายาทสลัดความเกี่ยวข้องกันไม่พ้นเพคะ เป็นคนที่นางไปยั่วยุกลับมา เมื่อครู่หม่อมฉันก็ต้องการสั่งสอนนางเพคะ”
ไทเฮากวาดตามองนางอย่างไม่พอใจ “ข้าถามแล้ว เป็นหลิงเอ๋อร์เองที่ต้องการตามคนอื่นไป นิสัยลูกสาวของตัวเจ้าเอง เจ้ายังไม่รู้อีก? พระชายารัชทายาทห้ามนางได้หรือ? ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาไถ่ถามความรับผิดชอบ เพราะต้องการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ความหมายของฮ่องเต้บอกว่า ตอนนี้หลิงเอ๋อร์ดูแล้วก็ถึงอายุที่จะต้องอภิเษกสมรสแล้ว คุณสมบัติบุคลิกของท่านชายสี่ตระกูลเหลิ่งก็ไม่เลว ไม่เช่นนั้นก็ทรงอนุญาตยกให้เขาไปเสียเลย และเพื่อเลี่ยงเรื่องนี้แพร่ออกไปในวันข้างหน้า ทำให้ชื่อเสียงเสียหาย”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำนี้แล้ว ยกนิ้วโป้งให้เสด็จพ่อในก้นบึ้งของจิตใจเงียบๆ
ไม่ใช่วิธีการที่สูงส่งอย่างไรกัน?
ท่านชายสี่ร่ำรวยจนเป็นศัตรูกับประเทศได้ ความร่ำรวยชนิดนี้จำเป็นต้องกุมไว้ในมือ ไม่ใช่เพื่อเงินของเขา แต่เป็นเรื่องที่ทำเพื่อไม่ให้คนอื่นหลอกใช้เงินของเขามาเป็นภัยประเทศและประชาชน
เศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญในความเจริญรุ่งเรืองของประเทศหนึ่ง การค้าของท่านชายสี่เกี่ยวเนื่องไปถึงอาชีพแต่ละประเภท ล้วนมีความยอดเยี่ยมในทุกๆด้าน ทันทีที่ถูกคนดึงไปเป็นพวกใช้ประโยชน์ เช่นนั้นก็อันตรายมาก
หยวนชิงหลิงเข้าใจ ตอนนี้คือมาหารือเรื่องแต่งงาน ไม่ใช่มาถามโทษ
เสด็จพ่อใจร้อนจริงๆเชียว เพิ่งจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นเมื่อวาน วันนี้ก็มีแผนรับมือนี้ทันทีแล้ว ก็ราวกับว่าเขาได้เตรียมป้องกันอย่างแน่นหนาไว้ล่วงหน้าดีแล้วต้องการจะจับกุมท่านชายสี่กระต่ายขาวตัวใหญ่ตัวนี้ ใครจะรู้ ยังไม่ได้ลงมือ ท่านชายสี่ก็มุดเข้ามาเองแล้ว
เสด็จพ่อกลัวจะดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้!
เมื่อเสียนเฟยได้ฟัง ก็ไม่ยินยอมในพริบตาแล้ว “ตระกูลเหลิ่งนั้นมีเงินเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่คนทำการค้า ฐานะสังคมหยาบคาย จะคู่ควรกับหลิงเอ๋อร์ได้อย่างไรเพคะ?”
เงินสำคัญมาก แต่ตำแหน่งอำนาจสำคัญยิ่งกว่า เช่นนั้นจึงจะได้รับประโยชน์ไปตลอดชีวิต เงินไม่แน่ว่าเมื่อไหร่ก็หมดไปได้แล้ว
เจ้าหญิงอภิเษกสมรส จะไม่พินิจถึงฐานะวงศ์ตระกูลได้อย่างไร?
ไทเฮากล่าวอย่างเย็นชา: “เจ้าไม่ยอมก็จำเป็นต้องยอม ครั้งนี้อนุญาตให้เจ้าออกมา ไม่ได้เรียกให้เจ้ามาด่าคน แต่เพราะเรียกพระชายารัชทายาทมาตรวจชีพจรให้เจ้า เจ้าป่วยเป็นโรคฉุกเฉิน ด้วยเหตุนี้เรื่องการแต่งงานของเจ้าหญิงจะต้องกำหนดออกมาเร็วหน่อย เพื่อเลี่ยงไม่ให้โรคของเจ้าหนักขึ้น ไม่ได้เห็นเจ้าหญิงออกเรือน”
สีหน้าของเสียนเฟยเปลี่ยนไปมาก “ไม่ ข้าไม่เห็นด้วยเพคะ เรื่องการแต่งงานนี้ข้าไม่ตกลง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงให้ข้าแสร้งทำเป็นป่วยมาเร่งการเรื่องแต่งงาน เพื่อเงินแล้วพวกท่านจึงสละความสุขทั้งชีวิตของหลิงเอ๋อร์ พวกท่านชั่งเกินไปแล้วเพคะ”
แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะไม่ชอบเสียนเฟย แต่ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ของนางพูดได้ถูกต้อง
ความคิดของฮ่องเต้นางก็เข้าใจ แต่ความคิดของหยู่เหวินหลิงฮ่องเต้จะเข้าใจหรือไม่?นางยินยอมที่จะแต่งงานหรือไม่?
หากว่านางยินยอม หยู่เหวินหลิงต่อท่านชายสี่…….หยวนชิงหลิงก็อธิบายความรู้สึกออกมาไม่ได้ คุณลุงกับสาวน้อยน่ารัก บางทีอาจจะเหมาะสมกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าไทเฮาจิตใจแน่วแน่แล้ว กล่าวอย่างเย็นชา: “ไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เรื่องนี้วนมาไม่ถึงเจ้าเป็นคนตัดสินใจ เจ้าทำเพียงให้พระชายารัชทายาทตรวจชีพจรเท่านั้น ประกาศอาการป่วยที่หนักขึ้นของเจ้าต่อสังคมภายนอก เพื่อให้เจ้าได้เห็นเจ้าหญิงออกเรือน ดังนั้นจึงได้กำหนดวันแต่งงานในเร็ววัน”
ในดวงตาเสียนเฟยเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ มองดูหยวนชิงหลิงกัดฟันกล่าวด้วยความโกรธ: “ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นแผนการของเจ้าสินะ? เพื่อดึงคนทำการค้าเหล่านั้นมาเป็นพวก เพื่อเงิน เจ้าแม้แต่น้องสาวของสามีก็เสียสละได้”
หยวนชิงหลิงจับมือนางไว้ นิ้วมือกดที่ข้อมือของนาง “ชู่ว เสด็จแม่ป่วยหนัก อย่าพูดเยอะเพคะ!”
เสียนเฟยแทบจะล้มลงพื้น!
ด้านในห้องทรงพระอักษร ในที่สุดฮ่องเต้หมิงหยวนก็นับว่าได้ให้มู่หรูกงกงหลอกราชครูออกไปได้แล้ว บอกว่าไท่ซ่างหวงเชิญเขาไปเล่นหมากรุก เขาจึงทิ้งหยู่เหวินเห้าไปด้วยความดีใจเป็นที่สุด
เมื่อราชครูไป หยู่เหวินเห้าเห็นเสด็จพ่อขมวดคิ้ว เขากระชับสะโพกทันที แย่แล้ว ต้องการรับสั่งให้เฆี่ยนตีแล้ว
“เข้ามา” ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับคลายคิ้วอย่างกะทันหัน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อพูดธุระกับเจ้าเล็กน้อย”
หยู่เหวินเห้าเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง “เสด็จพ่อท่านพูดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนโยนเอกสารฉบับหนึ่งให้เขา “เจ้าดู!”
หยู่เหวินเห้าหยิบมาเปิดออกดู ด้านในเขียนว่าในเขตแดนของเป่ยถัง ซาวโถ๋จุ้ยมีกี่แห่ง สำนักการเงินมีกี่ที่ ร้านแพรต่วนมีกี่ร้าน โรงงานย้อมสีมีกี่โรง ร้านทองมีกี่ร้าน ที่นาดีมีกี่ตารางเมตร ภูเขามีกี่ตารางเมตร บ้านมีกี่แห่ง ด้านหลังจดบันทึกเป็นแถวยาวมากยาวมากๆ เขียนเพียงแค่ไม่สามารถคาดเดาได้
“นี่คือทรัพย์สมบัติของท่านชายสี่?” หยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้โง่ แวบเดียวก็มองออกว่าฉบับนี้คือใบแสดงรายละเอียดทรัพย์สมบัติของท่านชายสี่ อันที่จริงเป็นเพียงแค่คร่าวๆโดยประมาณ มีมากกว่านี้อีกมากนัก
“ไม่ผิด ข้าบอกให้คนจัดการสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้านานแล้ว” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าว
“ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อจัดการทรัพย์สินของเขาทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หยู่เหวินเห้าแอบตะลึงในใจ คงไม่ได้จะค้นบ้านยึดทรัพย์ของท่านชายสี่หรอกนะ?
“ตอนนี้เจ้าเป็นรัชทายาทแล้ว ข้าถามเจ้า เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าท่านชายสี่เหลิ่งมีภัยคุกคามต่อแคว้นต้าโจว?” ฮ่องเต้หมิงหยวนเล่นแหวนหยกในมือ เอ่ยถามเบาๆ