บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 710 สิ้นปีอีกแล้ว
ท่านชายสี่เหลิ่ง ความจริงชื่อเดิมในตอนแรกสุดชื่อว่าเหลิ่งซี่
ทั้งชีวิตนี้ของเขา เคยมีชื่อมากมาย เมื่อก่อนเขาทำอาชีพหนึ่ง ก็เปลี่ยนชื่อหนึ่ง แต่ว่าแซ่เหลิ่งทำให้คนคุ้นเคยรู้จักมากที่สุด ที่บ้านร่ำรวยเป็นอย่างมากถูกคนเรียกอย่างยกย่องว่าท่านชายสี่
คนมากมายรู้สึกว่าท่านชายสี่เงินเยอะตัวคนโง่ แต่คนที่เคยทำการค้ากับเขาจะรู้ว่าเขาปราดเปรื่องเหมือนดั่งจิ้งจอก
ในด้านการค้า เขาไม่ยอมหลีกให้แม้สักเหวินเดียว ควรเป็นราคาอะไรก็เป็นราคานั้น
เพียงแต่เขาก็มีหลักการที่ยึดถือมาก ทำการค้าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยผิดต่อหลักการที่ตัวเองกำหนดไว้ เหมือนดั่งสำนักเหลิ่งหลัง รักษากฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อนั่น ยอมให้ตัวเองชดใช้กลับเป็นหมื่นพัน
และเพราะเช่นนี้ คนมากมายชอบทำการค้ากับเขา เพราะว่า เขาไม่หลอกลวงคน มีความปราดเปรื่องของคนทำการค้าไม่มีแผนการพ่อค้าคนกลางของคนทำการค้า
การใช้ชีวิตของท่านชายสี่โง่มาก เขายอมจ่ายเงินเพื่อคนและเรื่องที่ตัวเองพอใจ แต่ก็จำกัดเพียงแค่วัตถุ เพราะของเหล่านี้เขาสามารถให้ได้ และก็ไม่ได้แยแสแม้แต่น้อย
แต่หากเป็นอย่างอื่น เขาจะขี้เหนียวมาก
อย่างเช่นความรู้สึก
เขาไม่ได้ชอบคนผู้หนึ่งง่ายๆ ตอนนี้เขาชอบหยวนชิงหลิงมาก แต่ก่อนหน้านี้หยวนชิงหลิงในสายตาของเขา ก็เป็นแค่เศษถ่านหินโดยแท้ มองไม่เข้าตาเขาต่างๆนานา
หากไม่ได้เห็นว่าในมือของนางแย่งชีวิตประชาชนนับร้อยบนเขาโรคเรื้อนนั่นกลับมา ถึงตอนนี้ก็ยังคงมีความคิดต้องการจะสังหารนาง
ดังนั้น เวลาที่เขาชอบคนผู้หนึ่ง คือทำดีต่อคนผู้นั้นอย่างจดจ่อเป็นใจเดียวไม่เปลี่ยนผันความคิดเป็นอย่างอื่น
เพื่อไว้ชีวิตชีวิตของหยวนชิงหลิง เขาเอาจำนวนชื่อลูกศิษย์เพียงคนเดียวของตัวเองให้นาง
ท่านชายสี่เป็นคนใบหน้าเย็นชาจิตใจอบอุ่นผู้หนึ่งจริงๆ
ชีวิตนี้ของท่านชายสี่ ที่อยากได้มากที่สุดคือหมาป่าหิมะตัวหนึ่งที่เป็นของเขา
คนเมื่อถึงเวลาหนึ่งที่แน่นอนแล้ว วัตถุทางการใช้ชีวิตถึงขั้นหนึ่งแล้ว การแสวงหาก็จะยิ่งขึ้นไปอีกระดับ จากวัตถุเป็นจิตวิญญาณ
หมาป่าหิมะก็เป็นการแสวงหาทางจิตวิญญาณของเขา คนมากมายไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ดึงดัน รวมถึงคนของสำนักเหลิ่งหลังล้วนคิดว่าเขาต้องการหมาป่าหิมะ เพียงแค่ต้องการทำให้สำนักเหลิ่งหลังมีชื่อเสียงสอดคล้องกับความจริงยิ่งขึ้น
แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่!
เที่ยงวันนี้ เขานั่งอยู่หน้าระเบียง ในมืออุ้มหมาป่าสีเทา มองดูเงาร่างของหมาป่าหิมะแวบผ่านทางด้านนอกลาน การปล้นชิงแวบออกมาจากในตาของเขา แต่กลับต้องฟังหรงเยว่ที่กำลังพูดบลาๆๆอยู่ “ได้ยินว่านี่คือพระราชประสงค์ของฮ่องเต้ ให้ท่านชายแต่งงานกับเจ้าหญิงหยู่เหวินหลิง”
ท่านชายสี่อุ้มหมาป่าสีเทา ลูบหัวของหมาป่าสีเทา เดิมทีหมาป่าก็เลี้ยงไม่เชื่อง แต่ถูกท่านชายสี่ฝึกให้เชื่องจนว่านอนสอนง่ายเหมือนดั่งลูกสุนัข ปล่อยให้มือใหญ่ๆของเขาตีคลุมลงมาอย่างฉับพลัน “จัดการ!”
“ฮ่องเต้ทรงอนุญาตเพราะมีเจตนาอื่นแฝง!” หรงเยว่เตือน
“สามารถให้เจ้าหญิงอภิเษกสมรสกับคนทำการค้าผู้หนึ่งในตลาดได้ เจ้าบอกว่าเขาไม่ได้มีเจตนาแฝงข้าก็ไม่เชื่อ” ดวงตาของท่านชายสี่ลึกล้ำ
“เช่นนั้นท่านชายต้องการจะตอบรับจริงหรือเจ้าคะ?” หรงเยว่รู้สึกว่าค่อนข้างเสี่ยง
“ตอบรับ!” ท่านชายสี่ปล่อยหมาป่าสีเทา ให้มันวิ่งออกไป หมุนตัวเขาห้อง “เจ้าบอกให้คนเตรียมตัวหน่อย เลือกวันที่เป็นมงคลฤกษ์งามยามดีมอบเงินทองของกำนัลและของขวัญอื่นไปที่บ้านฝ่ายเจ้าสาว!”
ตั้งแต่เป่ยถังสถาปนาราชวงศ์เป็นต้นมา ก็ไม่เคยมีเจ้าหญิงแต่งงานลงเอยกับคนทำการค้า
การกระทำเช่นนี้ของฮ่องเต้หมิงหยวน ทำให้เกิดข่าวคราวที่ใหญ่โตออกมา นั่นคือราชสำนักเริ่มเห็นความสำคัญของคนทำการค้า ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจ
ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของราชวงศ์สถาปนาราชวงศ์เป็นต้นมา นโยบายของเป่ยถังล้วนเป็นการให้ความสำคัญกับการเกษตรควบคุมการค้ามาโดยตลอด จนกระทั่งรัชสมัยของไท่ซ่างหวง ฐานะของคนทำการค้าค่อยๆถูกยกระดับ และมีการประกาศนโยบายที่มีผลประโยชน์ต่อการค้าเล็กน้อย การค้าขนาดใหญ่มหึมาเช่นท่านชายสี่ชนิดนี้ถึงได้ปรากฏตัวขึ้น
ตอนนี้ ราชสำนักเปิดการติดต่อทางด้านการค้ากับแคว้นต้าโจว และยกเจ้าหญิงให้ตระกูลคนทำการค้าอีก ดูเหมือนว่า ราชสำนักน่าจะต้องการดำเนินการพัฒนาการค้าขนาดใหญ่แล้ว
กลางดึกฮ่องเต้หมิงหยวนยืนอยู่ที่หน้าต่าง คิดขึ้นมาว่าถ้าหากเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ภาษีและเงินหลั่งไหลเข้าท้องพระคลังอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ท้ายที่สุดเขาก็จะได้บอกลาสมญานามฮ่องเต้ผู้อับจนได้!
อาการป่วยของเสียนเฟยสาหัสมากแล้ว ดังนั้นฮ่องเต้หมิงหยวนทรงตัดสินใจให้จัดการเรื่องงานอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดีที่สุดก็ทำให้แล้วเสร็จภายในเดือนอ้าย นี่ก็ทำให้คนของกรมพิธีการวิ่งวุ่นแทบตายเชียว
โชคดี ประสิทธิภาพในการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับมีเงินหรือไม่มีเงิน ท่านชายสี่มีเงิน คนดำเนินงานก็มากเป็นธรรมดา ประสิทธิภาพในการดำเนินงานก็สูงขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว
วันแต่งงานกำหนดขึ้นในวันที่สิบห้าเดือนอ้าย ฉุกละหุกเป็นอย่างมาก แต่ว่า ที่ควรมี ไม่ขาดสักอย่าง กระทั่งยังอลังการเป็นที่สุดอีกด้วย
กรมพิธีการและกรมวังได้จัดระเบียบรายการของขวัญสินสมรสที่ยกให้ติดตามเจ้าสาวไปในวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ยื่นถวายให้ฮ่องเต้หมิงหยวนทอดพระเนตร
หลังจากที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้ว ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงได้กระจอกเช่นนี้?”
ผู้ควบคุมหลักของกรมวังผายมือออก กล่าวอย่างจนปัญญา: “ขาดแคลนปัจจัยที่จำเป็นถึงเป็นคนที่มีความสามารถก็ยากที่จะทำงานให้สำเร็จได้น่ะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ตอนนี้ปลายปีแล้ว ทุกๆที่ล้วนจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่าย เงินปลายปีที่ท่านหญิงแต่ละตำหนักควรจะได้รับ ผ้าพับแพรต่วน ไข่มุกอัญมณีเครื่องประดับ แป้งเครื่องแต่งหน้า น้ำมันไฟและเทียน ยังมีงานเลี้ยงฉลองของพระราชวังในวันส่งท้ายปีที่จำเป็น นี่ก็ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ”
ความจริงฮ่องเต้หมิงหยวนก็พยายามสุดความสามารถที่จะให้สิ่งที่ดีทีสุดแก่เจ้าหญิงแล้ว แต่ว่า ในกระเป๋าไม่มีเงิน จนปัญญาจริงๆ
คิดแล้วคิดอีก จึงกล่าว: “ได้แล้ว กำหนดเช่นนั้นไปชั่วคราวเถอะ ข้าค่อยคิดวิธี”
วันรุ่งขึ้น จึงประกาศเรียกท่านอ๋องทุกท่านเข้าวัง
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็พูดอย่างง่ายดายมาก น้องสาวของพวกเจ้าจะอภิเษกสมรสออกไปแล้ว พวกเจ้าเป็นพี่ชายล้วนต้องเพิ่มสินสมรสให้นาง
หยู่เหวินเห้าไม่ได้ขี้เหนียว เพราะก่อนหน้านี้หยวนชิงหลิงก็คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ขณะที่ฮ่องเต้จัดงานอภิเษกสมรสให้อ๋องหวย ก็กระจอกมาก ตอนนี้เจ้าหญิงจะอภิเษกสมรสออกไป ทั้งยังเป็นช่วงจับจ่ายสิ้นปีพอดี สามารถหยิบเงินออกมาได้ไม่มากจริงๆ
ดังนั้น วันนี้ฮ่องเต้ประกาศเรียกพวกเขาเข้าวังไป ก็รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องสินสมรส จึงบอกต่อหยู่เหวินเห้าให้เพิ่มสินสมรสให้แก่เจ้าหญิงหนึ่งแสนตำลึง
หยู่เหวินเห้าสะบัดหนึ่งแสนตำลึงออกมาทันที อ๋องหวยก็บอกว่าให้หนึ่งแสนตำลึงทันที
อ๋องจี้และอ๋องอานเพ่งมองอ๋องหวยอย่างดุดันแวบหนึ่ง คนที่พึ่งพาผู้หญิงผู้นี้สามารถหยิบหนึ่งแสนตำลึงออกมาได้ตามสบายเป็นแน่อยู่แล้ว แต่เปิดหัวออกมาไม่ดี หากว่าพวกเขาให้น้อยแล้ว จะไม่ทำให้เสด็จพ่อไม่พอพระทัยหรอกหรือ?
แต่หนึ่งแสนตำลึงก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเอาออกมาได้ตามใจชอบ แม้ว่าจะเอาออกมาได้ก็ปวดใจ
ท้ายที่สุดทั้งสองคนตกลงออกสองหมื่นตำลึงอย่างฝืนใจ
ฮ่องเต้หมิงหยวนถอนหายใจลึกๆ มองดูลูกชายไม่กี่คนของตัวเอง ในใจรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนับหมื่นอย่างแท้จริง
เขาผู้นี้ที่เป็นบิดา หนึ่งแสนตำลึงก็ไม่สามารถหยิบออกมาได้ตามอำเภอใจ พวกเขาก็ควักออกมาง่ายๆแล้ว
อดทนอีกหน่อยเถอะ เพียงรอแค่ท้องพระคลังทางนั้นมีสมบูรณ์พูนพร้อมแล้ว เขาก็จะออกพระราชโองการเพิ่มเงินเท่าหนึ่งที่จัดสรรให้แก่กิจการพลเรือนทุกปี ถึงเวลาการใช้ชีวิตก็จะดีแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนบอกมู่หรูกงกงให้บันทึกไว้ เงินเหล่านี้ก่อนวันสิ้นปีจำเป็นจะต้องถึงตามต้องการ
ไท่ซ่างหวงทางนั้น ก็ให้แล้วหนึ่งแสนตำลึง เช่นนี้คำนวณขึ้นมาสินสมรสที่ให้ติดตัวเจ้าสาวของเจ้าหญิงก็ไม่นับว่าเสียมารยาทแล้ว
ท้องพระคลังในพระราชวังเอาเงินเหล่านี้ไปจัดการสินสมรสที่ให้ติดตัวเจ้าสาว หามเข้าไปในตำหนักทีละกล่องที รอเพียงเจ้าหญิงอภิเษกสมรสออกไปวันนั้น ค่อยเอาแต่ละกล่องเหล่านี้ขนย้ายไปที่จวนของเจ้าหญิง
วันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสองก็คือวันฉลองสิ้นปี เริ่มตั้งแต่วันที่ยี่สิบแปด ก็เริ่มเป็นวันหยุดปิดพระราชวัง
วันสิ้นปีจำเป็นต้องเข้ามาฉลองที่พระราชวัง งานเลี้ยงฉลองของพระราชวังอลังการเป็นอย่างมาก สนมล้วนออกงานทั้งหมดเป็นธรรมดา นอกจากเสียนเฟยที่ “ป่วยหนัก”
อาการป่วยของเสียนเฟยได้ยินว่าสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ในกลางดึกมักจะมีเสียงร้องแหลมดังออกมาเสมอ วังหลังผู้ใดก็ไม่รู้ว่าเสียนเฟยป่วยเป็นโรคอะไร รู้สึกเพียงแค่โรคชนิดนี้น่ากลัวยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่ามักจะอาการกำเริบในช่วงกลางดึกเสมอ
หยู่เหวินเห้าพาครอบครัวเข้าวังร่วมงานเลี้ยงฉลอง จึงเข้าไปน้อมทักทายที่ตำหนักชิ่งหยู
เสียนเฟยนั่งกลางตำหนัก ผมเผ้ารุงรัง ใช้สายตาแค้นเคืองมองดูเขา ตะโกนด่าทอ “เจ้าชั่งไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ข้าให้กำเนิดเจ้าอบรมสั่งสอนเจ้า เจ้ากลับไม่สนใจใยดีต่อข้า?”