บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 711 คำข้อร้องที่เกินไป
หยู่เหวินเห้ามองดูนางที่แค้นเคืองจนหน้าตาแทบจะบิดเบี้ยว ถอนหายใจเบาๆเฮือกหนึ่ง ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความจนปัญญา “เสด็จแม่ หรือว่าจนถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็ยังมองไม่ทะลุปรุโปร่งอีกหรือ? ทำไมท่านถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ?”
ช่วงระยะเวลาที่เสียนเฟยถูกกักบริเวณ ทุกคนภายนอกล้วนบอกว่านางป่วยหนัก ทำเหมือนนางตายไปแล้วเช่นนั้น
ไม่ง่ายที่จะเฝ้ารอจนลูกชายมา ยังไม่ได้ระบายไฟโทสะในใจ ก็ถูกเขาสั่งสอน ในใจเจ็บปวดสิ้นหวังทันที อีกทั้งความโกรธแค้นที่พูดไม่ออก ชี้เขาไว้ เป็นเวลานานจึงประกอบออกมาได้เพียงคำหนึ่ง “ลูกอกตัญญู!”
หยู่เหวินเห้ามองดูนาง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เมื่อก่อนท่านไม่ได้ดื้อรั้นเช่นนี้ เสด็จพ่อและไทเฮาล้วนประกาศต่อภายนอกว่าท่านป่วยหนัก ท่านยังไม่รู้อีกหรือว่านี่หมายความว่าเช่นไร?”
เสียนเฟยกล่าวอย่างเย็นชา: “ข้าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดรัชทายาท หรือว่าฝ่าบาทยังจะสังหารข้าได้อีกงั้นหรือ? หากว่าฝ่าบาทยังต้องการชื่อเสียงความมีคุณธรรมเมตตา ก็ควรปฏิบัติต่อข้าด้วยความเมตตา”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าความคิดดื้อรั้นของนางล้ำลึก โน้มน้าวไม่ได้ แต่ว่า สุดท้ายก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด สายโลหิตเชื่อมโยงกัน ท้ายที่สุดเขาก็เจ็บปวดใจกับทุกการกระทำของนาง
เขากล่าวด้วยความอดทน: “เสด็จพ่อปฏิบัติต่อท่าน มีเมตตาคุณธรรมเพียงพอแล้ว ไม่เช่นนั้นเรื่องที่ท่านเกี่ยวข้องกับท่านลุง ก็สามารถขังท่านเข้าตำหนักเย็นได้ เสด็จพ่อไม่ได้ทำเช่นนี้ กลับขอร้องเพื่อท่านครั้งแล้วครั้งเล่า เสด็จแม่ท่านคิดเองสักหน่อย ที่ผ่านมาหนึ่งปีกว่านี้ ท่านทำเรื่องที่ทำให้คนผิดหวังเจ็บปวดมามากมายเท่าไหร่? แม้แต่เสด็จย่าก็ไม่สนับสนุนการกระทำทุกๆอย่างของท่าน แล้วท่านจะแบกรับความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมของตระกูลซูไว้บนบ่าของท่านทำไม? สำหรับตำแหน่งที่เป็นเกียรติ ตอนนี้หม่อมฉันเป็นรัชทายาทแล้ว ขอเอ่ยคำพูดที่ไร้เคารพอย่างมากสักประโยค วันข้างหน้าลูกชายขึ้นครองราชย์ไทเฮากุมอำนาจทั้งหมดของวังหลัง ท่านก็คือไทเฮา แล้วท่านจะรีบร้อนก้าวข้ามเสด็จแม่ในตอนนี้ไปทำไมพ่ะย่ะค่ะ?”
เสียนเฟยได้ยินคำนี้ โกรธก็โกรธไม่ขึ้นแล้ว อดไม่ได้ที่จะถอนใจยาวๆเสียงหนึ่ง มองดูหยู่เหวินเห้าด้วยความไม่พอใจที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง “เจ้าฉลาดตั้งแต่เล็กๆ ตอนนี้ทำไมสมองถึงคิดไม่ได้? หากว่าตระกูลซูสามารถแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ได้ ก็จะเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้า แม่ก็ไม่ได้จะแย่งชิงกับไทเฮาในตอนนี้ แต่หากตอนนี้ไม่กดไทเฮาไว้ กดตระกูลฉู่ไว้ เจ้าจะตกอยู่ในสภาวะอันตราย แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า คนหรืออำนาจทำให้ประเทศเสียหายตกอยู่ในเภทภัยอันตราย เจ้าอย่าโดนหยวนชิงหลิงปิดหูปิดตาจนก่อให้เกิดความเสียหายเพราะความประมาทชะล่าใจเชียว เสด็จย่าของเจ้าเดิมมาจากตระกูลซู นางไม่ช่วยคนของตระกูลซู คือความเห็นแก่ตัวของนาง แม่จะไม่เป็นเช่นนางเด็ดขาด พวกท่านลุงของเจ้า ควรเสพสุขความรุ่งเรืองทั้งหมดตามพวกเรา ควรจะอยู่กุมอำนาจสำคัญในราชสำนัก เจ้าขอให้แม่ไม่ก่อความวุ่นวายก็ได้ สนับสนุนให้ท่านตาและพวกท่านลุงของเจ้าเลื่อนขั้นให้สูงขึ้น แล้วรับปากกับแม่ เพื่อแก้แค้นให้ท่านลุงของเจ้าที่ตายไปโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม เจ้าทำเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แม่จะรับปากเจ้า ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก และจะเต็มใจยอมรับพระชายารัชทายาทของเจ้า”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดรอบนี้ ในใจอดไม่ได้ที่จะมีความเสียใจและความโกรธเคืองผสมผสานกัน และรู้สึกว่าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จึงกล่าว: “เสด็จแม่คิดดูเองว่า สุดท้ายคือพวกท่านลุงสำคัญหรือว่าประเทศชาติใต้ฟ้านี้สำคัญเถอะนะพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบ จึงทูลลาและจากไป
ในใจของเสียนเฟยทั้งโกรธเคืองทั้งเจ็บปวด น้ำตาไหลนองหน้าอย่ากลั้นไว้ไม่ได้ กล่าวด้วยความเกลียดแค้น: “ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าใจ บนไหล่ของแม่กดทับไว้ด้วยชะตาชีวิตในอนาคตของทั้งตระกูลซู”
หยู่เหวินเห้าออกจากตำหนักชิ่งหยู ก็กลับตำหนักกวงหมิงไปหาหยวนชิงหลิง
งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม คนมากมายในราชนิกุลยังมาไปครบ หยวนชิงหลิงรอเขากลับมาไปเข้าน้อมทักทายที่พระตำหนักฉินคุน
เห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยพอใจ ก็รู้ว่าได้รับความไม่พอใจในตำหนักชิ่งหยู จึงจับมือของเขาและกระซิบเบาๆ: “อย่าเสียใจเลย ตอนนี้เสด็จพ่อกักบริเวณนาง เพียงแค่นางอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ก่อเรื่องออกมา เสด็จพ่อก็น่าจะไม่ทำให้นางลำบากใจ”
“นางต้องการให้ข้าสนับสนุนให้ตระกูลซูเลื่อนขั้นและแก้แค้นเพื่อซูต๋าเหอถึงจะยอมไม่ก่อเรื่อง” จิตใจของหยู่เหวินเห้าสับสนมาก โดยปกติเขาแยกแยะบุญคุณความแค้นได้ เกลียดแค้นการกระทำทุกอย่างของเสียนเฟย แต่บังเอิญนั่นก็มารดาผู้ให้กำเนิดตัวเอง
หยวนชิงหลิงทอดถอนใจอย่างเงียบๆ ตระกูลซูอบรมลูกสาวที่ดีผู้หนึ่งออกมาได้
แต่ว่า ในยุคปัจจุบันที่เหมือนเสียนเฟยเช่นนี้ ควรนับว่าเป็นผู้หญิงที่ดีรับผลกระทบจากครอบครัวทำทุกอย่างเพื่อน้องชายหรือว่าผู้หญิงบ้านนอกที่เข้ามาเติบโตในเมืองแล้วสินะ?
ราวกับว่าลูกชายของตัวเองมีอนาคตสดใสแล้ว ก็ต้องช่วยเหลือพาทั้งตระกูลปลดจากความยากจนให้ร่ำรวยสูงขึ้นไปทีละขั้น
นางมีความคิดกตัญญูเช่นนี้ มีความรักความห่วยใยและอยากปกป้องพี่ชายน้องชายเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็ต้องพยายามมุมานะเองสิ ทำไมต้องลำบากให้ลูกชายของตัวเองลำบากใจ?
สำหรับการแก้แค้นเพื่อซูต๋าเหอ นางคิดมาตลอดว่าคนที่ฆ่าซูต๋าเหอเป็นนาง บอกให้เจ้าห้าแก้แค้นเพื่อซูต๋าเหอ คือต้องการให้เจ้าห้าฆ่าภรรยาหรือ?
หยวนชิงหลิงไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ
“นางเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วจะทำร้ายตัวนางเองให้ตาย” หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความวิตกกังวลสุดๆ
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มาก ตอนนี้ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมพบนางแล้ว แม้แต่เรื่องการอภิเษกสมรสที่สำคัญของเจ้าหญิงก็แค่เรียกให้นางออกมาเดินตามขั้นตอนให้ผ่านไปแล้วบอกว่านางป่วยหนัก ไม่อนุญาตให้นางช่วยจัดเตรียมเรื่องการอภิเษกสมรส แม้แต่เจ้าหญิงก็ไม่อนุญาตให้เข้าพบ คิดดูก็รู้ หากว่าก่อเรื่องกระทบถึงเกียรติหน้าตาออกมาอีก สุดท้ายจุดจบก็สามารถมองเห็นได้
“ช่างเถอะ ไปน้อมทักทายเสด็จพ่อกันเถอะ!” หยู่เหวินเห้าเก็บอารมณ์จิตใจไว้แล้วกล่าว
ทั้งสองบอกแม่นมให้พาเด็กๆมา จูงมือแล้วก็ไปพระตำหนักฉินคุน
วันนี้ในพระตำหนักฉินคุนคึกคักมาก อ๋องชินลุ่ยสามีภรรยากับอ๋องชินจวิ้นอ๋องหลายท่านล้วนมากันหมดแล้ว ไท่ซ่างหวงนั่งอยู่บนที่นั่งสูง สวมชุดราชสำนักรูปมังกร เส้นผมสีขาวหวีจนเรียบ หล่อเหลามากเพียงแต่ค่อนข้างเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรง เหมือนกับว่างานเลี้ยงมากเกินไปทำง่วงนอน
เห็นหยวนชิงหลิงสามีภรรยาจูงมือของเด็กๆเดินเข้ามาพร้อมกัน ดวงตาหนักหน่วงนั้นจึงมีแววความสดใสเข้ามาอย่างฉับพลัน หัวเราะแล้วกล่าวกับฉางกงกงที่อยู่ข้างกาย: “ครอบครัวของพวกเขาตอนนี้กลับมีอำนาจบาตรใหญ่เป็นอย่างมาก ไม่รู้ยังคิดว่าเป็นการออกเดินทางของปูกลุ่มหนึ่ง”
ทุกคนจึงมองออกไป เห็นเพียงสามีภรรยาสองคนเดินอยู่สองข้าง เด็กสามคนอยู่ตรงกลาง ไม่เพียงยึดทางเดินทั้งเส้น เพราะเด็กๆเดินเหมือนปูเช่นนั้น พวกเขาสามีภรรยาก็ต้องคล้อยตามฝีเท้าเด็กๆ และดูเหมือนว่าจะเดินอย่างระเกะระกะขวางทางผู้อื่นเล็กน้อย
และด้านหลังของพวกเขา ติดตามมาด้วยหมาป่าหิมะที่ฝีเท้าเหมือนกัน แม่นมและแม่นมสี่กับคนอื่นๆก็อยู่ด้านหลัง เป็นขบวน
อ๋องชินลุ่ยก็หัวเราะแล้วกล่าว: “เสด็จพ่อ รอให้พวกเด็กๆโตกว่านี้หน่อย พระตำหนักของท่านก็ไม่พอให้พวกเขาเดินเล่นเกะกะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงหรี่ตา “เช่นนั้นก็สร้างให้ใหญ่ขึ้น!”
ความรู้สึกความรักและเอ็นดู เผยออกมาให้เห็นอย่างไม่ขาดสาย
หลังจากเจ้าตัวเล็กทั้งสามเข้าพระตำหนักแล้วก็เริ่มสะบัดออกจากมือของท่านพ่อท่านแม่ วิ่งเข้าไปทางไท่ซ่างหวง การเดินนี้ยังเดินได้ไม่มั่นคง แต่วิ่งขึ้นมากลับเป็นลมระลอกหนึ่ง เจ้าตัวเล็กทั้งสามพุ่งเข้าในอ้อมกอดของไท่ซ่างหวงในพริบตา เงยหน้าน้อยๆขึ้นมาถามหาลูกอมมากิน
เจ้าตัวเล็กทั้งสามที่เคยอยู่ในวังมาก่อน มีความคุ้นเคยเป็นอย่างมากต่อพระตำหนักฉินคุนและไท่ซ่างหวง หากบอกว่าไทเฮารักและเอ็นดู เลี้ยงให้กินอย่างเดียว เช่นนั้นไท่ซ่างหวงก็ให้กินขนมลูกเดียว ฟันงอกออกมาไม่กี่ซี่ ก็คิดอยากจะกินลูกอมอยู่เสมอ ไท่ซ่างหวงก็เปลี่ยนวิธีการทำให้พวกเขา
“อย่าเสียมารยาท!” หยู่เหวินเห้าตะโกนอย่างเฉียบขาด “ทั้งหมดมาคุกเข่าน้อมทักทาย!”
เป็นวันธรรมดาก็แล้วไป วันนี้คนอยู่มากมายขนาดนี้ ไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ผิดมารยาท จำเป็นต้องสอนเป็นธรรมดา
ไท่ซ่างหวงตบมือน้อยๆของพวกเขา กล่าว: “ได้ เดี๋ยวค่อยกิน เชื่อฟังคำของเสด็จพ่อก่อน น้อมทักทายก่อน”
เขาพูดพลาง เงยหน้าเหลือบมองหยู่เหวินเห้าอย่างดุดันแวบหนึ่ง ตำหนิที่เขาดุเด็กๆ
เขาจะไม่ตำหนิหยู่เหวินเห้าต่อหน้าเด็กๆ เวลาที่พ่อแม่สั่งสอนลูก แม้ว่าจะสงสารแต่ก็ไม่สามารถก้าวก่ายได้ เพียงแต่ ไม่พอใจอย่างแน่นอน ตามด้วยกรอกตาขาวด้วยความไม่พอใจใส่หยู่เหวินเห้าครั้งหนึ่ง
จุดนี้ เขาและไทเฮาไม่เหมือนกัน ไทเฮาเอาแต่รักหลงและเอ็นดูอย่างเดียว ใครดุว่าสักคำก็ไม่ได้ ยังจะสนใจว่าเจ้าสั่งสอนไม่สั่งสอนอะไรอีกหรือ