บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 712 เหล่าพระสนมรวมกลุ่ม
เจ้าตัวเล็กทั้งสามน่ารักฉลาดเป็นอย่างมาก จึงทำตามที่แม่นมสอนไว้ก่อนหน้านี้ทันที คุกเข่าลงน้อมทักทายอย่างมีระเบียบ
ผู้คนที่นั่งอยู่ มองดูจนตะลึงตาค้าง
ดูลูกของบ้านอื่น แล้วดูลูกของตัวเอง
นี่ยังไม่ครบหนึ่งปีเต็ม เดินเป็น ทั้งยังพูดได้อีก อย่างไรเสียก็เป็นเด็กที่เกิดในวันที่พระพุทธเจ้าถือกำเนิด สวรรค์ประทานพรสติปัญญาความเฉลียวฉลาดมาให้
หลังจากที่น้อมทักทายแล้ว หยู่เหวินเห้ายังต้องการให้พวกเขาน้อมทักทายทำความเคารพเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ เพราะอีกเดี๋ยวจะมีลูกอมกิน เจ้าตัวน้อยทั้งสามว่านอนสอนง่ายมาก หลังจากที่ได้รับความสนใจและความชื่นชมรอบหนึ่ง จึงได้เข้าไปกินขนมพร้อมกับฉางกงกงแล้ว
ไท่ซ่างหวงบอกว่าตัวเองเหนื่อยหมดแรงเล็กน้อย จึงบอกให้ทุกคนแยกย้าย แล้วเรียกหยวนชิงหลิงให้อยู่ต่อตรวจชีพจรให้เขา ในพระตำหนักจึงเหลือเพียงครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งนี้แล้ว
แต่ว่า เขาก็ให้หยวนชิงหลิงตรวจร่างกายอย่างเชื่อฟังมาก ฟังการเต้นของหัวใจ วัดความดันโลหิต ฟังชีพจร สอบถามรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ล้วนให้ความร่วมมือเป็นที่สุด
ตั้งแต่หลังจากที่เจ้าตัวน้อยทั้งสามถือกำเนิดเขาก็เปลี่ยนเป็นรักและทะนุถนอมร่างกายตัวเองมาก มีความไม่สบายเล็กน้อยก็เรียกคนไปเชิญหยวนชิงหลิง
“เป็นอย่างไรบ้าง?” หยู่เหวินเห้าเห็นหยวนชิงหลวงเก็บอุปกรณ์ตรวจกลับลงในกล่องยา รู้ว่าจบเรื่องแล้ว จึงกล่าวถาม
หยวนชิงหลิงกล่าว: “อาการไม่เลว แค่ความดันโลหิตค่อนข้างสูง กินดื่มจำเป็นต้องระวัง ปีนี้ไม่อนุญาตให้กินอาหารที่มันเลี่ยนได้”
ดวงตาที่สวยงามของนางชำเลืองขึ้นเล็กน้อย ตกลงบนใบหน้าของไท่ซ่างหวง กล่าวอย่างจริงจัง: “ยังมีอีก เหล้าขาวไม่สามารถดื่มได้อย่างเด็ดขาด คำเดียวก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะกำชับให้ฉางกงกงจับตาดูเขาไว้หน่อย”
ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่างโกรธเคือง: “ฉลองปีใหม่พูดคำเหล่านี้ ชั่งขัดความสุขนัก หลังจากฉลองปีใหม่แล้วค่อยว่ากัน”
“ไม่สามารถดื่มได้เพคะ” หยวนชิงหลิงน้ำเสียงเน้นย้ำ “พระองค์เป็นคนที่ควบคุมไม่ได้ ดื่มอึกหนึ่งแล้ว ก็ต้องมีอีกที่สองเป็นแน่”
ไท่ซ่างหวงไม่อยากสนใจนาง หันหน้าไปมองหยู่เหวินเห้า “พบเสด็จแม่ของเจ้ามาแล้วหรือ?”
หยู่เหวินเห้าตอบรับเสียงหนึ่ง สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
ไท่ซ่างหวงไม่ได้เอ่ยวาจาใดๆ เพียงแค่ปล่อยให้หยวนชิงหลิงจัดระเบียบเสื้อผ้าของเขาให้ดี นิ่งเงียบครู่หนึ่ง จึงค่อยๆกล่าว: “ทุกคนมีชีวิตอยู่ก็ล้วนมีความปรารถนา นางสนใจเพียงความต้องการของนาง เจ้าก้าวก่ายนางไม่ได้ ควบคุมเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าให้ดี ทำเรื่องที่รัชทายาทอย่างเจ้าควรทำ ทำเรื่องที่หัวหน้าครอบครัวอย่างเจ้าควรทำ นอกเหนือจากนั้น ควบคุมไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว”
ด้านนอก เสียงประทัดดังขึ้น วันสิ้นปีวันนี้ ในพระราชวังจุดประทัดมากมาย แต่ละตำหนักล้วนจุดครั้งหนึ่ง และด้านนอกตำหนักกวงหมิง เว้นไปครู่หนึ่งก็จุดครั้งหนึ่ง เดินไปที่ไหน ก็เป็นเปลือกประทัดสีแดงสดทั้งพื้น
ไท่ซ่างหวงจึงกล่าว: “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็จุดประทัดพวงหนึ่งที่ด้านนอกพระตำหนักฉินคุนนี้ ขับไล่เคราะห์ร้ายโรคภัยไข้เจ็บปีนี้ออกไป”
หยู่เหวินเห้าเก็บอารมณ์ความรู้สึก ยืนขึ้นมาตะโกนเสียงดัง “ซาลาเปา ทังหยวน ข้าวเหนียว ออกมาจุดประทัดกับพ่อกัน”
เจ้าตัวเล็กทั้งสามเหมือนปลาที่ว่ายน้ำตามกันออกมา
หยวนชิงหลิงไม่ได้ออกไป อยู่เป็นเพื่อนไท่ซ่างหวงในพระตำหนัก มองออกไปจากประตูของพระตำหนัก เห็นเพียงหยู่เหวินเห้าที่ยิ้มจนดูเหมือนว่าเบิกบานใจ แต่ว่าความกลัดกลุ้มบนใบหน้าไม่ได้คลี่คลายไปเลย
หยวนชิงหลิงอดทอดถอนใจไม่ได้
ไท่ซ่างหวงจึงกล่าว: “เสียนเฟยทางนั้นคาดว่ามีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้ว เจ้าดูแลเจ้าห้าให้มากๆหน่อย อย่าให้เขาทำเรื่องโง่ๆออกมา”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ชะงักครู่หนึ่ง นางเงยหน้าถามไท่ซ่างหวง “ยังมีวิธีอื่นอีกไหมเพคะ? เช่นส่งนางไปสำนักแม่ชี”
ไท่ซ่างหวงกล่าวเบาๆ: “คนเป็นๆทั้งคน จะสามารถส่งไปที่ไหนได้? อีกทั้งนางยังเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดรัชทายาทในปัจจุบันอีก หากว่าส่งออกจากวังไปสำนักแม่ชี ถูกผู้คนรู้เข้า จะไม่ยิ่งอับอายหรือ? อันที่จริงเป็นตายทั้งหมดอยู่ที่ความคิดชั่วขณะของนาง หากว่านางไม่รักและถนอมศีรษะของตัวเอง ไม่ว่าผู้ใดก็จนปัญญา”
เขามองดูหยวนชิงหลิง ขนคิ้วที่ยุ่งเหยิงขมวดขึ้น “เจ้าก็พยายามอย่าเข้ามายุ่งเลย”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “หม่อมฉันรู้เพคะ เพียงแค่สงสารเจ้าห้าเท่านั้น”
เสียงประทัดดังขึ้น “ปังปังปังปัง” ดังแล้วรอบหนึ่ง พวกเด็กๆดีอกดีใจจนกระโดดโลดเต้นขึ้นมา ฝูเป่าเห่าต่อเนื่องหมุนเป็นวงไม่หยุด หมาป่าหิมะกลับวางมาดเป็นที่สุด ไม่กระดิกแม้แต่น้อย
เสียงเย็นยะเยือกของไท่ซ่างหวงดังเข้ามา “นางเป็นแม่ล้วนไม่สงสาร จะมีวิธีอะไรอีก?”
พวกเด็กๆวิ่งโซซัดโซเซกลับมา เกาะติดอยู่ข้างเท้าของหยวนชิงหลิง รอยยิ้มบนใบหน้าน้อยๆทั้งสามที่เหมือนกันเป๊ะเหมือนดั่งดอกไม้ ชี้ออกไปตรงเปลือกประทัดด้านนอกเลียนเสียงปังปังปัง
หยวนชิงหลิงหัวเราะแล้วอุ้มเจ้าข้าวเหนียวน้อยขึ้นมา เจ้าข้าวเหนียวน้อยขี้กลัว ดีอกดีใจเช่นนี้ยังพบเห็นได้ยาก
มองดูรอยยิ้มของพวกลูกๆ นึกถึงสถานการณ์ตอนนี้ของหยู่เหวินเห้า ในใจอดเจ็บปวดอย่างฉับพลันไม่ได้
ผู้คนในพระราชวังมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว หลังจากที่หยวนชิงหลิงและหยู่เหวินเห้าออกมาจากในพระตำหนักฉินคุน นางจึงพาพวกเด็กๆไปตำหนักหมิงซิน บรรดาท่านหญิงและเจ้าหญิงล้วนอยู่ด้านใน กุ้ยเฟยฉินเฟยหลู่เฟยเต๋อเฟยชิงเฟยก็อยู่ แม้แต่ไทเฮาก็นั่งลงพูดคุยกับทุกคน ขึ้นปีให้เป็นความสุข ราวกับว่าความแค้นส่วนตัวทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนไม่มีแล้ว พวกนางล้วนเป็นครอบครัวหนึ่งครอบครัวที่รักใคร่กัน
พระชายาอานนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างสุภาพอ่อนโยน ด้วยกันกับพระชายาซุนพระชายาจี้ พระชายาหวยหรงเยว่ยังมาไม่ถึง แต่ว่าหลู่เฟยเหลือเก้าอี้ให้นางที่หนึ่งด้วยความเอาใจใส่
นางสนมที่นั่งอยู่นอกจากฮู่เฟยแล้ว ทั้งหมดล้วนอายุสามสี่สิบปีแล้ว แต่ฮู่เฟยออกจากจากอยู่เดือน สีหน้าแดงระเรื่อ ราวกับว่ายิ่งสวยงามพริ้มเพรากว่าก่อนหน้านี้แล้ว
ฮู่เฟยอุ้มลูกออกมาแล้ว เจ้าสิบน้อยดูท่าทางอาวุโสมาก แค่เดือนกว่า แต่กลับจ้องมองสถานที่ที่หนึ่งนิ่งๆเสมอ ท่าทางจริงจังมาก
พวกเด็กๆแสดงความประหลาดใจมากต่อท่านลุงหัวโตๆผู้นี้ มักจะยื่นมือเล็กๆอ้วนๆของพวกเขาไปลูบใบหน้าเจ้าเนื้อของเจ้าสิบน้อยอย่างระมัดระวัง เจ้าสิบน้อยก็เพ่งตามองพวกเขา
ความจริงในวังไม่ได้มีทารกมานานมากแล้ว โดยเฉพาะวันที่มีความสุขเพียงนี้ ทุกคนล้วนคอยผสมโรงทำให้ครึกครื้นสนุกสนานอย่างเต็มที่ อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีหัวข้อที่พูดคุยร่วมกันได้มากนัก จึงได้เอาเด็กมาหยอกล้อ
หลู่เฟยหัวเราะแล้วกล่าว: “องค์ชายสิบหน้าตาดี หน้าผากอิ่มเอิบ ปากและคางเหลี่ยมกลม อนาคตจะต้องสามารถทำคุณูปการมากมายเป็นแน่”
ฮู่เฟยก็หัวเราะแล้ว “หวังว่าจะเป็นชายชาตรีห้าวหาญเปี่ยมด้วยพลังเหมือนกับบรรดาพี่ชายของของเขาก็พอแล้ว”
“ข้ากลับคิดว่า เลี้ยงลูกชายอายุร้อยปี ต้องกังวลเก้าสิบเก้าปี ยังเฝ้าหวังให้ปลอดภัยแข็งแรงก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ได้ต้องการมากมายแล้วล่ะ” หลู่เฟยกล่าว ตั้งแต่หลังจากที่อ๋องหวยป่วยแล้วเก็บชีวิตกลับคืนมาได้ นางก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรสำคัญกว่าการมีชีวิตอยู่แล้ว
แน่นอน ต้องมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรง
ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับคำพูดของหลู่เฟย เห็นนางถอนใจเบาๆ ก็รู้ว่านางนึกถึงเรื่องขณะนั้นที่อ๋องหวยป่วย เต๋อเฟยจึงกล่าวปลอบโยนนาง: “ตอนนี้เจ้าหกดีเพียงใดแล้วล่ะ หลังจากแต่งกับพระชายาหวย สุขภาพก็ดีกว่าเมื่อก่อน คนก็เบิกบานขึ้นมากแล้ว เจ้าแค่รอเสพสุขก็พอ”
พูดถึงลูกสะใภ้ของตัวเอง บนใบหน้าของหลู่เฟยก็เป็นความภูมิใจ กล่าว: “เฝ้ารอแน่นอนว่าก็เฝ้ารอคอยวันนี้”
นางมองดูพวกเด็กๆ กล่าวด้วยความอิจฉา: “ความจริงคนที่มีบุญวาสนาที่สุดก็คือท่านพี่เสียนเฟย ลูกชายได้เป็นรัชทายาท พระชายารัชทายาทก็มีความสามารถ อีกทั้งมีหลานๆที่เฉลียวฉลาดน่ารักเพียงนี้…….แต่ว่า นางสุขภาพไม่ดี หวังว่านางจะสามารถหายดีได้ในเร็ววัน”
สีหน้าของฮองเฮาฉู่ขุ่นเคืองเล็กน้อยแล้ว นางเป็นฮองเฮา อ๋องฉีคือลูกชายของเมียหลวง กับไม่ได้เป็นรัชทายาท แม้ว่าหลังจากที่ถูกท่านพ่อว่ากล่าวและปลงตกแล้ว แต่ตอนนี้ได้ยินคำพูดของหลู่เฟยก็ยังคงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ลูกชายของนางไม่มีอนาคต ไร้ยศไร้ตำแหน่ง พระชายาหลวงก็ตายจากไปผู้หนึ่งชายารองก็จากไปผู้หนึ่ง ตอนนี้ยังเป็นโสดอยู่แน่ะ
ฉะนั้น นางกล่าวเบาๆ: “ไม่แน่ว่าเสียนเฟยจะมีบุญวาสนา หรือว่าเพราะบุญวาสนาน้อย รับไม่ได้ มิเช่นนั้นจะป่วยจนไม่ได้เสพสุขกับบุญวาสนานี้ได้อย่างไรล่ะ?”
ฐานะที่เป็นฮองเฮา พูดวาจาเช่นนี้จริงๆแล้วไม่เหมาะสม ผู้คนในเหตุการณ์ล้วนตะลึงไปครู่หนึ่ง