บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 713 ข้าไม่คู่ควรกับคนอื่นเขา
ยังเป็นเต๋อเฟยที่ตอบสนองไว รีบเบี่ยงเบน: “แต่มีพระชายารัชทายาทอยู่ แม้ว่าท่านพี่เสียนเฟยจะป่วยสาหัสเพียงใด ก็สามารถรักษาหายได้ ท่านหญิงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงท่านพี่เสียนเฟยเพคะ”
“ใช่แล้ว ใช่แล้วเพคะ!” ทุกคนรีบสนับสนุนคำพูดของเต๋อเฟย
ฮองเฮาฉู่รู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป คำพูดนี้พูดขึ้นในวันนี้ไม่เหมาะสม แอบหงุดหงิดใจที่ตัวเองยั้งสติไม่อยู่ ทำให้เกียรติยศของฮองเฮาเสียหาย
แต่ว่า ได้ยินคำพูดของเต๋อเฟย ในใจของนางก็ร้อนใจไม่เป็นสุขอย่างมาก เพราะนางรู้ว่าเสียนเฟยไม่ได้ป่วยหนักอะไร เพียงแค่ถูกไทเฮาและฮ่องเต้กักบริเวณเท่านั้น
เพียงแต่มารดาผู้ให้กำเนิดของรัชทายาทถูกกักบริเวณโดยตลอด แพร่ออกไปก็ไม่น่าฟัง ดังนั้นจึงได้ประกาศต่อภายนอกว่าป่วยหนัก
หากว่าผ่านไประยะหนึ่งความโกรธของไทเฮาสลายไปแล้ว ก็น่าจะยกเลิกคำสั่งกักบริเวณ รอกระทั่งรัชทายาทขึ้นครองราชย์ เสียนเฟยก็เป็นไทเฮา แม้จะบอกว่าตัวเองก็เป็นไทเฮา แต่ว่า ก้นบึ้งของจิตใจก็ไม่ยินดี นางเสียนเฟยมีสิทธิ์อะไร?
ด้วยเหตุนี้เมื่อครู่ที่นางพูด ความจริงก็นับว่าเป็นการสาปแช่งเสียนเฟย หวังว่านางจะบุญน้อยจริงๆ ไม่มีวาสนาจะได้เสพสุข
นางเห็นเหล่าสนมล้วนสนใจหน้าตาของเสียนเฟย ในใจก็ยิ่งไม่สบายใจขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ตอนนี้จะแสดงออกมาก็ไม่ดี กลับยังต้องสนับสนุนคำพูดของเต๋อเฟย กล่าว: “เต๋อเฟยพูดได้ถูกต้อง มีพระชายารัชทายาทอยู่ เสียนเฟยจะต้องดีขึ้นได้แน่”
“ใช่เพคะ ฝ่าบาทมีคุณธรรม ท่านหญิงมีเมตตา มีฝ่าบาทและท่านหญิงอยู่ เหล่าสนมจะต้องโชคดีอายุยืนยาวเป็นแน่เพคะ” หลู่เฟยกล่าวอย่างประจบ สวรรค์รู้ว่าเมื่อครู่นางตกใจแล้ว หัวข้อนี้เป็นนางที่พูดขึ้น หากว่าฮองเฮาพูดออกมาอย่างเสียดสีเย็นชากว่านี้หน่อย เช่นนั้นก็ควบคุมเหตุการณ์ได้ยากแล้ว จะต้องแพร่ไปถึงพระกรรณของไทเฮาและฮ่องเต้เป็นแน่
หยวนชิงหลิงอุ้มเจ้าสิบไว้บนตัก เหนื่อยใจ ผู้หญิงมากความขัดแย้งก็มาก โดยเฉพาะนั่งด้วยกันกับผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากมายเช่นนี้ สามารถรักษาความปรองดองได้ถึงครึ่งชั่วยามก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว
นางหยอกล้อเจ้าสิบน้อย คางของเขาเป็นชั้นสามชั้น จ้องมองหยวนชิงหลิงไม่ขยับ จะหยอกล้ออย่างไรก็ไม่มีการตอบสนอง ดวงตาไม่กะพริบสักน้อย เหมือนปลาอ้วนๆตัวหนึ่งที่ถูกจี้จุด
“อุ้มน้องชาย!” ซาลาเปาก่อกวนต้องการยื่นมือมาอุ้ม
“ไม่ใช่น้องชาย เป็นเสด็จอา!” หยวนชิงหลิงแก้ให้ถูกต้อง
“เสด็จอา!” ซาลาเปาจึงหันไปมองครู่หนึ่งด้วยจิตใต้สำนึก จากนั้นก็ส่ายหน้าจนเหมือนป๋องแป๋ง “เสด็จอาไม่มา!”
ทุกคนล้วนหัวเราะขึ้นมาแล้ว เมื่อซาลาเปาก่อกวนเช่นนี้ ความเคอะเขินเมื่อครู่ก็หมดสิ้นไปแล้ว
ฮองเฮาฉู่รู้สึกว่าหมดสนุกแล้ว จึงกล่าวว่าต้องการกลับตำหนักไปเปลี่ยนชุด สนมและพระชายาอ๋องทุกคนลุกขึ้นน้อมส่ง
ฮองเฮาฉู่กลับถึงในตำหนักด้วยความแค้นใจ มองดูตัวเองในกระจก สีหน้าแดงระเรื่อจางหายไป ไม่ได้รับความโปรดปรานอีก ลูกชายก็ไม่พยายามมุมานะ อนาคตแม้ว่าเป็นฮองเฮา ก็กลัวเพียงจะโดนเสียนเฟยกดไว้
นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์ใจ ประจวบเหมาะกับที่อ๋องฉีพาเจ้าแปดเข้ามาจากด้านนอกมาน้อมทักทายนาง นางจึงได้ระบายไฟความโทสะลงที่อ๋องฉีทันที “น้อมทักทายอะไร? เจ้าก็ไม่เคยทำให้แม่วางใจได้เลย ยังสู้น้องชายของเจ้าไม่ได้เลยนะ”
อ๋องฉีมาด้วยความยินดีปรีดา ไม่คิดว่ายังไม่ได้คุกเข่าก็โดนตำหนิประโยคหนึ่งแล้ว อดที่จะงงงันไม่ได้ “เสด็จแม่ ใครยั่วให้ท่านโมโหรึพ่ะย่ะค่ะ?”
เจ้าแปดเห็นฮองเฮาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในใจหวาดกลัว จึงถอยไปอีกด้าน
ฮองเฮาฉู่เห็นท่าทางเช่นนี้ของเจ้าแปด แอบถอนใจเบาๆ ยื่นมือไปกล่าวกับเจ้าแปด: “เสด็จแม่ไม่ได้โกรธ มานี่ มาที่เสด็จแม่ตรงนี้”
เจ้าแปดลังเลครู่หนึ่ง จึงค่อยๆเดินเข้าไปจับมือของฮองเฮาฉู่ กล่าวเบาๆ: “เสด็จแม่ไม่ด่าท่านพี่เจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ด่าแล้ว!” ฮองเฮาฉู่ก็รู้ว่าลูกชายของตัวเองมีความสามารถมากเท่าไร บวกกับตอนนี้ท่านพ่อก็ได้นำครอบครัวตระกูลฉู่ช่วยเหลือรัชทายาท ด่าไปก็ไร้ประโยชน์ ฐานะก็กำหนดออกมาแล้ว ยังจะสามารถแย่งชิงได้อีกหรือ?
ก็โทษที่ตอนนั้นนางนิ่งเงียบเกินไป คิดว่าแต่งตั้งรัชทายาทจะต้องเลือกลูกเมียหลวงเป็นแน่ บวกกับท่านพ่ออยู่ในราชสำนักก็เกือบจะเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่เหนือใครหลายคน รู้สึกมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ จึงไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเพื่อเขา
ตอนนี้พูดอะไรก็สายไปแล้ว
นางดึงเจ้าแปดมานั่งข้างๆ ปรับอารมณ์ จึงมองดูอ๋องฉีและกล่าว: “ไม่ใช่ว่าแม่ชอบว่ากล่าวเจ้า เพียงแต่เจ้าก็จำเป็นต้องทำให้การใช้ชีวิตของตัวเองดำเนินไปได้ดีถึงจะได้ แม่สาวตระกูลหยวนนั่นตอนนี้ก็มั่นหมายแล้ว ข้างกายของเจ้าก็ไม่สามารถว่างไปตลอดได้ รอข้ามปีแล้ว แม่จะขอให้เสด็จพ่อของเจ้า มองหาคนสักคนหนึ่งให้เจ้า เจ้าก็อย่าเที่ยวไปโหยหาถึงคนที่ตายไปแล้ว”
ในดวงตาของอ๋องฉีปกคลุมไปด้วยความหม่นหมองชั้นหนึ่ง เงียบไม่เอ่ยวาจาแต่กลับส่ายศีรษะเบาๆ
กลับเป็นเจ้าแปดพูดขึ้น: “ท่านพี่หยวนดี ข้าแต่งงานกับท่านพี่หยวน”
ฮองเฮาฉู่หัวเราะแล้ว แต่กลับหัวเราะอย่างขื่นขม ลูกชายคนนี้ ชั่วนิรันดรก็ไม่สามารถแต่งงานมีลูกเหมือนคนปกติทั่วไปได้ กระทั่งนางตายวันนั้น ก็ไม่สามารถวางใจได้
น้ำตารื้นในดวงตา ยื่นมือไปลูบใบหน้าของเจ้าแปด “ได้ ได้ แม่จะตบแต่งพระชายาให้ช่างเอ๋อผู้หนึ่ง ดีหรือไม่?”
เจ้าแปดกล่าวอย่างดื้อรั้น: “ต้องการท่านพี่หยวน”
ฮองเฮาฉู่ร้องไห้ออกมาอย่างฉับพลัน
นางปล่อยเจ้าแปด มือสองข้างทาเล็บสีแดงเลือดกุมใบหน้าแล้วร้องไห้ เพราะว่านี้คือวันฉลองปีใหม่ นางร้องไห้ด้วยความอึดอัดใจเป็นที่สุด ร้องไห้แล้วกล่าวไปพลาง: “ทำไมชีวิตของข้าถึงได้ลำบากเพียงนี้นะ? เดิมทีเป็นมารดาของประชาชน มีเกียรติสูงส่งเป็นที่สุด พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นลูกเพียงสองคนที่เกิดจากเมียหลวง ทำไมถึงได้มีชีวิตที่ลำบากเหมือนข้า?”
ในใจของอ๋องฉีก็เป็นทุกข์อย่างมาก คุกเข่าลงมือทั้งสองข้างวางบนเข่าของฮองเฮาฉู่ กล่าวเบาๆ: “เสด็จแม่อย่างร้องไห้เลยพ่ะย่ะค่ะ ท่านพูดอะไร หม่อมฉันทำตามก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาฉู่หยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ฝืนบีบยิ้มออกมา “วันนี้เป็นวันดี ไม่ร้องแล้ว จะโชคไม่ดีเป็นอย่างมาก”
นางมองดูอ๋องฉี “ในใจของเจ้ายังมีคิดถึงชุ่ยเอ๋ออยู่ใช่หรือไม่? นางก็จากไปตั้งนานแล้ว เจ้าควรปล่อยวางแล้ว แม่สาวตระกูลหยวนนั่นข้ามองว่าไม่เลวจริงๆ น่าเสียดายเจ้าก็ไม่ถูกใจนาง เฮ้อ ตอนนั้นยังเป็นชุ่ยเอ๋อที่เลือกให้เจ้าด้วยนะ เจ้าหย่าแล้ว กลับทำให้น้ำใจของชุ่ยเอ๋อเสียเปล่า”
อ๋องฉีฟังคำนี้ กล่าวอย่างเฉยเมย: “น้ำใจของนางเสียเปล่าอะไรพ่ะย่ะค่ะ? นางไหนเลยจะรู้ถึงความดีของหยวนหย่งอี้? เพียงเพื่อต้องการเอาชนะตระกูลหยวนถึงได้เลือกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาฉู่ตะลึง “เจ้า…….เจ้าแค้นเคืองชุ่ยเอ๋อเพียงนี้ ทำไมยังได้คิดถึงนางอีก?”
ในใจของอ๋องฉีคิดทบทวนด้วยความขมขื่น “หม่อมฉันไม่ได้คิดถึงนางพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาฉู่มองดูเขา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง: “เช่นนั้นเจ้ากับแม่สาวนั่นเกิดอะไรขึ้น? ข้าได้ยินหลิงเอ๋อร์บอกว่า เป็นเพราะเจ้าคิดถึงชุ่ยเอ๋ออยู่ตลอด ไม่เคยลืมเลือน จึงทำให้คนอื่นเขาเสียใจ ไม่ใช่แม่จะว่าเจ้า แม้ว่าเดิมทีชุ่ยเอ๋อจะเป็นหลานสาวของข้า แต่เรื่องที่นางชั่งใจดำเป็นที่สุด แทบจะเผาเจ้าให้ตายไปอย่างคิดไม่ถึง ในวันนั้นที่เจ้าได้รับบาดเจ็บ ก็โชคดีได้หยวนหย่งอี้อยู่ข้างกายเจ้าคอยดูแลทั้งวันทั้งคืน เกรงว่าแม้เจ้าจะตั้งใจไปหาก็หาภรรยาที่ดีขนาดนี้ไม่ได้ ไตร่ตรองเองเถอะ หากว่าเจ้ายังอยากหันหลังกลับไป ก็ไปขอร้องฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนเถอะ บางทีอาจจะยังมีความหวัง”
อ๋องฉีกลับส่ายหน้า กล่าว: “จอหงวนฝ่ายบู๊ลู่หยวนคนนั้นข้าได้สืบแล้ว คนนิสัยดีซื่อสัตย์ จิตใจเมตตา การปฏิบัติตัวแบกรับหน้าที่ได้ มีจิตใจรับผิดชอบต่อหน้าที่ หยวนหย่งอี้แต่งงานกับเขาต้องมีความสุขแน่ หม่อมฉัน…….ไม่คู่ควรกับนาง จึงจะไม่ทำร้ายชีวิตครึ่งค่อนหลังของนางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาฉู่ได้ยินคำพูดนี้ อดทอดถอนใจยาวๆไม่ได้ “จะว่าเจ้าว่าอะไรดีล่ะ? ขณะที่อยู่ก็ไม่รักษา ตอนนี้สูญเสียไปแล้ว ก็ยากที่จะย้อนกลับ”
ฮองเฮาฉู่ก็ไม่ได้ชื่นชมหยวนหย่งอี้มากมายจริงๆ เพียงแค่พอใจตระกูลหยวน ตระกูลหยวนทางนั้นตระกูลใหญ่การค้ากว้างขวาง ในราชสำนักก็มีอำนาจ สามารถปรองดองกับตระกูลหยวนได้ หลังจากนี้มีปัญหาอะไร ตระกูลหยวนก็สามารถช่วยเหลือได้
แต่ว่า เรื่องมาถึงตอนนี้ ยังมีวิธีการอะไรอีก? เจ้าลูกคนนี้นี่ก็เป็นคนที่ดื้อรั้นหัวแข็งอีก
เจ้าแปดกลับพูดพร่ำอยู่ตลอดไม่หยุด “ข้าต้องการแต่งงานกับท่านพี่หยวน ข้าต้องการแต่งงานกับท่านพี่หยวน”