บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 722 ไทเฮาโกรธจัด
เจ้าหญิงเหวินจิ้งส่ายหัว พูดขึ้นด้วยสีหน้าจนใจว่า “เจ้าห้าเป็นคนนึกถึงความรู้สึกของคนอื่น หากเสียนเฟยถูกเสด็จพ่อสั่งประหารเพราะเหตุนี้ เจ้าห้ารู้สึกผิดต่อเรื่องนี้ พังพินาศลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ จะไม่ง่ายที่จะถูกคนอื่นฉวยโอกาสหรือ? อีกอย่าง ท่านให้จางกงกงไปพูดเช่นนั้น….เป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุด ตระกูลซูไม่มีใครตาย หากเสียนเฟยได้ยิน จะไม่บ้าหรือ?”
ฮองเฮาฉู่พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยกับนางว่า “ความหมายของเจ้า คือเสียนเฟยไม่ควรตายหรือ?”
เจ้าหญิงเหวินจิ้งพูดขึ้นว่า“นางควรตายหรือไม่ ลูกไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อ แต่เสด็จพ่อจะกระทำอย่างเหมาะสม เดิมองค์ชายรัชทายาทไม่จำเป็นต้องมาเกี่ยวข้องแม้เพียงนิด ผลที่เลวร้ายที่สุด ก็คือตอนที่เสด็จพ่อสั่งประหารเสียนเฟย แล้วเกิดความบาดหมางกับเสด็จพ่อ แต่ในใจของเขาก็เข้าใจว่าที่เสด็จพ่อทำไปเพราะไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็จะให้อภัยปรับความเข้าใจกัน แต่ตอนนี้เสด็จพ่อได้เลือกไปแล้ว เจ้าห้าล้มล้างตระกูลซู ล่วงเกินเสด็จย่า ยังต้องแบกรับความผิดว่าทำให้แม่ตนเองต้องตาย ท่านจะให้เขาเผชิญหน้ายัง?”
“คนที่จะทำการใหญ่ หากเพียงแค่นี้ก็ผ่านไปไม่ได้ ต่อไปจะดูแลประเทศบ้านเมืองได้อย่างไร?”ฮองเฮาฉู่ยังคงคิดว่านางไม่ผิด เพียงแต่ภายในใจย่ำแย่โดยไม่มีเหตุผล
เจ้าหญิงเหวินจิ้งถอนหายใจ รู้ว่าพูดโน้มน้าวเสด็จแม่ไม่สำเร็จ จึงไม่พูดต่ออีกแล้ว และจางกงกงก็ไปตำหนักชิ่งหยูแล้ว เรื่องนี้จะกลายเป็นอย่างไรถึงขึ้นไหน ใครก็ไม่อาจคาดเดา
แต่ตอนนี้เสียนเฟยยังไม่รู้ว่าภัยกำลังจะมาใกล้ตัว คงเห็นว่าตนเองเป็นแม่ขององค์ชายรัชทายาท บวกกับหลิงเอ๋อร์กำลังจะอภิเษก ฮ่องเต้จะต้องไม่ฆ่านางแน่ นางคิดว่าตนเองยังมีความสำคัญที่ยังสามารถต่อกรได้
เดือดร้อนจนกลายเป็นเช่นนี้ ต้องเป็นผีแล้วเท่านั้นถึงจะรู้
ฮองเฮาฉู่ครุ่นคิด แล้วสั่งคนไปสืบดูทางด้านไทเฮา ดูว่าไทเฮายอมพบองค์ชายรัชทายาทแล้วหรือยัง
สักพัก ก็มีคนมารายงานว่า องค์ชายรัชทายาทยังคงคุกเข่าอยู่ภายในลานตำหนัก
สีหน้าฮองเฮาฉู่ขาวซีด พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังคุกเข่าอยู่หรือ? นี่ก็ค่ำแล้ว ทำไมไทเฮายังทำได้ลงคอ?”
เจ้าหญิงเหวินจิ้งนั่งอยู่เฉยไม่ไหวแล้ว นางสงสารน้องชาย รีบหยิบเสื้อคลุมมาสวม ถือเตาอุ่นมือหนึ่งอันแล้วก็ออกไป
เมื่อเข้าสู่เวลาค่ำมืดแล้ว ก็มีหิมะโปรยปรายตกลงมา ลมเหนือพัดผ่าน พัดผ่านใบหน้าเหมือนดั่งมีดบาด เจ้าหญิงเหวินจิ้งรวบเสื้อผ้าไว้แน่น พานางข้าหลวงสองคนแล้วก็รีบเดินทางไป
มาถึงภายในตำหนักไทเฮา ก็เห็นภายใต้แสงสว่างของโคมไฟมีคนคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ เป็นเหมือนดั่งรูปปั้นที่ไม่ขยับ หิมะตกลงทำให้ผมและไหล่ของเขาขาวไปหมด ในใจนางเจ็บปวด รีบถอดเสื้อคลุมของตนเองแล้วก็ไปคลุมให้กับเขา แล้วก็เอาเตาอุ่นมือยื่นไปที่อ้อมอกของเขา
หยู่เหวินเห้าหนาวจนมือเท้าแข็งไปหมด เห็นเป็นเจ้าหญิงเหวินจิ้ง ริมฝีปากของเขาก็สั่นเทาหลายครั้งถึงจะสามารถพูดออกมาได้ว่า “เสด็จพี่…”
เจ้าหญิงเหวินจิ้งเคยเห็นเขาทุกข์ทรมานเช่นนี้เสียที่ไหน? จึงน้ำตาไหล พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “คลุมไว้ พี่จะไปขอร้องเสด็จย่า”
“ไม่ต้อง…..”
“คลุมไว้ ห้ามดื้อ”เจ้าหญิงเหวินจิ้งพูดเสร็จ แล้วก็รีบเข้าไป โดยห้ามไม่ให้นางข้าหลวงรายงาน
ไทเฮานั่งอยู่บนเตียงอรหันต์ หลังจากร้องไห้ไปแล้วหนึ่งรอบ ดวงตาบวมอย่างมาก เต๋อเฟยอยู่เป็นเพื่อนด้านข้าง เห็นเจ้าหญิงเหวินจิ้งมา เต๋อเฟยค่อยโล่งอก ปกติเสด็จย่ารักใคร่หลานคนนี้มาก หวังว่าจะยอมฟังอะไรบ้าง
เจ้าหญิงเหวินจิ้งคุกเข่าพร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จย่า ท่านอย่าโกรธเลย อย่าถือสาเจ้าห้าเลย”
ไทเฮาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดจมูก รู้สึกคัดจมูกอย่างมาก นางมองดูเจ้าหญิงเหวินจิ้งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น จึงพูดขึ้นอย่างอ่อนล้าว่า “เจ้าไม่ต้องคุกเข่าแล้ว แล้วก็ใช้ให้เขาไป ไม่ต้องคุกเข่า นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ครอบครัวล้มละลายแล้วไม่ใช่หรือ? คนยังมีชีวิตอยู่ ดีที่มีเขาเป็นองค์ชายรัชทายาท ทุกคนยังอยู่พร้อม ข้าก็ไม่มีอะไรต้องร้องขอแล้ว”
เจ้าหญิงเหวินจิ้งแสบจมูก คุกเข่าคลานมาข้างหน้า แล้วก็เอามือทั้งคู่วางบนเขาของไทเฮา พร้อมพูดขอร้องว่า “เสด็จย่า เรื่องนี้เจ้าห้ากระทำไปอย่างบุ่มบ่าม แต่เขาก็เติบโตมากับท่านตั้งแต่เด็ก ท่านรู้นิสัยของเขาดี เมื่อหัวร้อน โกรธโมโหขึ้นมา ก็จะไม่สนอะไรแล้ว เราใช้ให้เขาออกเงินสร้างจวนใหม่ให้กับตระกูลซูก็ได้แล้ว ท่านอย่าโกรธเขาเลย เขาสำนึกผิดแล้ว คุกเข่าอยู่ด้านนอกอย่างน่าสงสารมาก หนาวสั่นจนพูดจาไม่เป็นคำแล้ว”
“สร้างจวนใหม่หรือ?” ไทเฮาหัวเราะเยาะ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธโมโห พร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? ข้าเป็นหวงไท่เฮาในตอนนี้ ถูกเขาเผาจวนพ่อแม่จนสิ้น ตระกูลซูทำอะไรผิดมหันต์หรือ? หากคนหนีไม่ทัน ก็จะถูกเผาพร้อมคนแล้วใช่ไหม? เขาหัวร้อน โกรธโมโหขึ้นมา แล้วก็เผาจวนพ่อแม่ของข้าหรือ? หรือว่าข้าก็สามารถที่จะไปเผาจวนอ๋องฉู่ได้?”
เต๋อเฟยก็ช่วยพูดขึ้นว่า “เสด็จย่า ท่านไม่ควรพูดเช่นนี้ องค์ชายรัชทายาทก็แค่โกรธไปชั่วขณะเท่านั้น ช่วงนี้ตระกูลซูกระทำเรื่องที่เกินเหตุมากมาย ได้ยินว่ามีการจ้างนักฆ่าไปทำร้ายพระชายารัชทายาท ปกติองค์ชายรัชทายาทรักใคร่ภรรยา กระทำรุนแรงไปในทันใดก็อาจเป็นไปได้ เรื่องนี้ไม่เกิดก็เกิดขึ้นแล้ว ท่านโกรธโมโหเขา ท่านทุกข์ทรมาน เขาก็ทุกข์ทรมาน ไม่ใช่หรือ?”
เดิมไทเฮาก็รู้เรื่องที่ตระกูลซูกระทำ เดิมก็ไม่ได้เข้าข้างช่วยเหลือตระกูลซู แต่หลังจากที่ตระกูลซูถูกไฟเผา ความไม่ดีทั้งหมดของตระกูลซู มลายหายไปในสายตาของนางจนหมดสิ้น ตอนนี้นางรู้สึกถึงเพียงความอัปยศ เป็นความอัปยศอย่างที่สุด ทำให้พ่อแม่บรรพบุรุษต่างก็ไม่ได้สงบสุข ดังนั้นเมื่อเต๋อเฟยพูดเช่นนี้ นางไม่ยอมรับฟังเลยสักนิด กลับยิ่งโกรธโมโห พร้อมพูดขึ้นว่า “ตระกูลซูกระทำเรื่องที่ผิดไปบ้างแล้วก็จริง แต่ทำไมฮ่องเต้ถึงไม่ลงโทษล่ะ? ฮ่องเต้ไม่มีทางเลือกจึงต้องให้องค์ชายรัชทายาทกระทำแทนหรือ? บอกว่าเขารักใคร่ภรรยา เป็นแค่รักใคร่หรือ? หลงใหลอย่างที่สุดต่างหาก เรื่องนี้ยังดีที่แม่ของเขาถูกกักบริเวณไม่รู้เรื่อง หากแม่ของเขารู้เรื่อง กลัวว่าจะต้องถึงแก่ชีวิตแน่ แล้วเขาก็จะกลายเป็นคนฆ่าแม่ตนเอง เป็นลูกอกตัญญู”
คำพูดพวกนี้ พูดจนในใจเต๋อเฟยกับเจ้าหญิงเหวินจิ้งตื่นตกใจอย่างที่สุด โดยเฉพาะเจ้าหญิงเหวินจิ้ง เพราะนางรู้ว่าเสียนเฟยจะต้องเดือดร้อนอย่างแน่ เจ้าห้าอยู่ด้านนอก เขาก็ต้องได้ยินคำพูดพวกนี้แน่
ไทเฮาโกรธโมโหขึ้นมา รั้งไม่ไหวแล้ว ถึงแม้เสียงจะหนักแน่น น้ำเสียงกลับเฉียบคม พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เกิดจากเพราะพระชายารัชทายาทหรือ? ก็เพราะเขาเข้าข้างช่วยเหลือพระชายารัชทายาทมาตลอด จนทำให้แม่ของเขาตรอมใจ รู้ว่าคาดหวังอะไรในตัวเขาไม่ได้ จึงต้องคาดหวังคนในครอบครัว ข้าก็มีความผิด คิดอยากที่จะช่วยฮ่องเต้แบ่งปันความกังวล สั่งกักบริเวณเสียนเฟย ไม่ให้นางออกจากตำหนักชิ่งหยู ทำให้นางไม่มีที่พึ่ง จนพ่อกับพี่ชายของนางออกหน้าแทนนาง แต่ทั้งหมดนี้ นางกระทำผิดตรงไหน? เดิมเจ้าหญิงก็ไม่ควรที่จะอภิเษกกับพ่อค้า นี่เป็นการฉีกหน้าเสียนเฟย พ่อค้าคนหนึ่ง ต่อให้ดีแค่ไหน เขาคู่ควรกับเจ้าหญิงไหม?”
เต๋อเฟยยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเสด็จย่าดื้อมาก เดิมนางไม่ได้เข้าข้างเสียนเฟย ทำไมตอนนี้กลับพูดเข้าข้างเสียนเฟยเสียล่ะ?
เฮ้อ เห็นทีว่าถึงเวลาจะเกิดเรื่องจริงๆแล้ว ในใจไทเฮายังคงเข้าข้างตระกูลซู เข้าข้างเสียนเฟย
ไทเฮาด่าต่อว่า “ก็แค่คำด่าไม่ใช่หรือ? เขาได้เจ้าหญิงมาเป็นภรรยา จะถูกด่าไม่กี่คำไม่ได้เลยหรือ? เดิมเขาก็ไม่คู่ควรอยู่แล้ว ได้ผลประโยชน์ไปอย่างง่ายดาย ทำไมจะทนรับเรื่องแค่นี้ไม่ได้? ถูกคนอื่นว่าเพียงไม่กี่คำ จะทำให้เสียชื่อเสียงของพวกพ่อค้าอย่างพวกเขาขนาดไหนเชียว? องค์ชายรัชทายาทต้องการที่จะทำความร่วมมือกับพ่อค้า ยกระดับของพ่อค้า แต่ก็ไม่ควรที่จะทำกับคนของราชวงศ์เช่นนี้ ทำกับคนในครอบครัวของข้าเช่นนี้”
ไทเฮาด่าไปด้วย แล้วก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ร้องไห้ขึ้นมาอย่างหนัก
เจ้าหญิงเหวินจิ้งกับเต๋อเฟยมองตากันอย่างจนใจ แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงพูดปลอบไทเฮา ขอให้นางอย่าร้องไห้
ด้านนอก หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดพวกนี้แล้วทั้งหมด
ในใจเขาก็เจ็บปวดอย่างมาก ตอนที่ไปตระกูลซู ก็รู้แล้วว่าผลจะเป็นเช่นนี้ หลายปีมานี้ถึงแม้เสด็จย่าไม่ได้ยกย่องคนของตระกูลซู แต่ในใจของนางตระกูลซูยังคงสำคัญที่สุด เมื่อเกิดเรื่องแล้วจริงๆ นางก็ยังคงยืนข้างตระกูลซูอย่างไม่รู้ตัว
แต่ตระกูลซู ยังสามารถปล่อยให้เหิมเกริมอีกต่อไปได้หรือ? พวกเขาเป็นดาบคมให้กับท่านแม่ กระทำเรื่องที่เลวร้ายมามากมายขนาดไหนแล้ว? อีกอย่างด้านนอกท่านชายสี่ ถูกพูดจนชื่อเสียงเสียหาย แม้แต่หลิงเอ๋อร์ก็ถูกว่าจนเสียหายไปด้วย หากไม่ให้ตระกูลซูออกมารับความผิด คืนความยุติธรรมให้กับท่านชายสี่ สิ่งที่เสด็จพ่อทำไปทั้งหมดนี้จะมีความหมายอะไร?