บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 728 จับตัวหยู่เหวินหลิงเป็นประกัน
พระชายาอ๋องจี้ฟังแล้ว ค่อยๆหรี่ตาลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ที่จริงในใจเจ้าห้าเข้าใจทุกอย่าง อะไรจะเกิดขึ้นเขาก็รู้ทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นคงไม่คัดพระไตรปิฎกเล่มนี้”
หยวนชิงหลิงไม่ค่อยรู้เรื่องพระไตรปิฎก จึงถามขึ้นว่า “พระไตรปิฎกเล่มนี้ มีความหมายอะไรหรือ?”
พระชายาอ๋องจี้อธิบายว่า “พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก่อนเกิดภัยพิบัตินับไม่ถ้วนในอดีต เคยเป็นหญิงพราหมณ์ แม่ของนางไม่เชื่อในอัญมณีทั้งสามแล้วทำความชั่ว หลังจากตายแล้วไปลงนรก ด้วยเหตุนี้หญิงพราหมณ์จึงปฏิญาณตนต่อหน้าพระพุทธองค์ ว่าจะช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากบาปทุกข์ ในขณะเดียวกันก็เพื่อไถ่บาปให้กับแม่ที่เสียชีวิต คำปฏิญาณดั้งเดิมของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ จึงแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่”
พระชายาอ๋องจี้พูดเสร็จ ก็ถอนลมหายใจออกมาเบาๆหนึ่งที
แววตาหยวนชิงหลิงหมองหม่น ความรู้สึกก็เยือกเย็นลงในทันใด
ในใจเขาจะทรมานขนาดไหน
พระชายาอ๋องจี้พูดขึ้นว่า “เสียนเฟยไม่มีทางรอดแล้ว แต่เรื่ององค์ชายรัชทายาทยังไม่แน่นอน ผลจากการปลดองค์ชายรัชทายาทร้ายแรงมาก เสด็จพ่อไม่มีทางเลือกทางเดินนี้แน่”
“ในใจข้าพอรู้ว่าเสด็จพ่อจะทำอย่างไร”หยวนชิงหลิงก็เห็นด้วยกับคำพูดของพระชายาอ๋องจี้ สิ่งนี้ในใจเจ้าห้าก็พอรู้เหมือนกัน
ตำหนักชิ่งหยู
ตั้งแต่แทงทำร้ายไทเฮาบาดเจ็บ เสียนเฟยก็ถูกส่งกลับไปยังตำหนักชิ่งหยู คนเดิมที่คอยรับใช้นางต่างก็ถูกเปลี่ยนไปจนหมดแล้ว กรมวังส่งคนใหม่มาคอยรับใช้นางอยู่หลายคน
ตอนที่เสียนเฟยเพิ่งถูกส่งกลับมา ก็เอะอะโวยวายอยู่นาน ขว้างข้าวของในตำหนักเสียหาย แต่สองวันนี้สงบลงแล้ว ไม่เอะอะไม่โวยวาย นั่งอยู่ตรงหน้าประตูทั้งวัน สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ลมแรงแค่ไหนก็ไม่ยอมกลับ นั่งอยู่จนตัวแข็ง
หยู่เหวินหลิงพานางข้าหลวงข้างกายเดินเข้ามา นางไปทูลขอความกรุณาจากเสด็จพ่อ ถึงสามารถมาหาได้
ในใจหยู่เหวินหลิงก็รู้ดี การเจอกันในครั้งนี้ คงจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย เพราะเสด็จพ่อตรัสว่าวันที่แปดของปีใหม่ จะมีเรื่องสำคัญประกาศ
นางเห็นท่านแม่นั่งอยู่ตรงหน้าระเบียงด้วยอาการซึมเศร้า น้ำอุ่นเอ่อล้น แล้วก็ไหลตกลงมา
เสียนเฟยเงยหน้ามองดูนาง ท่าทีดูแปลกๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าร้องไห้ทำไม? ข้ายังไม่ตายเลย”
หยู่เหวินหลิงเดินเข้าไปดึงมือของนางไว้ ร้องไห้พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ เข้าไปเถอะ ที่นี่หนาว”
เสียนเฟยกลับสะบัดมือของนางออก จับคางของนางแล้วบังคับให้เงยขึ้น พร้อมพูดขึ้นอย่างเฉียบคมว่า “เจ้าจำไว้ เจ้าเป็นลูกสาวของข้า ข้าตกอยู่ในสภาพดั่งวันนี้ เป็นเพราะหยวนชิงหลิง หลังจากที่เจ้าอภิเษกเข้าไปอยู่ในตระกูลเหลิ่ง จะต้องทำให้คนของตระกูลเหลิ่ง ช่วยเจ้ากำจัดหยวนชิงหลิง เจ้ารู้ไหม? มีเพียงเช่นนี้ ท่านแม่ถึงจะมีความหวัง”
นางใช้แรงอย่างมาก จนกระดูกข้อนิ้วมือส่งเสียงดัง จับแรงจนคางของหยู่เหวินหลิงเจ็บ หยู่เหวินหลิงมองดูนางอย่างโศกเศร้า น้ำตาไหลไม่หยุด
“ร้องไห้ช่วยอะไรได้?” เสียนเฟยปล่อยนาง พร้อมพูดขึ้นอย่างหยาบคายว่า “รู้จักแต่ร้องไห้ เอาแต่ร้องไห้สามารถช่วยข้าได้หรือ? ข้าทำร้ายไทเฮาบาดเจ็บ เสด็จพ่อของเจ้าจะต้องไม่ไว้ชีวิตข้าแน่ เขาจะต้องส่งข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น เจ้ารู้ไหม?”
หยู่เหวินหลิงร้องไห้ พร้อมพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ท่านแม่…..ข้ากลัวเพียงว่าเสด็จพ่อจะฆ่าเจ้า”
“เขาไม่ทำ” เสียนเฟยหรี่ตาลง พร้อมพูดขึ้นด้วยท่าที่โหดเหี้ยมว่า “เขาฆ่าข้า เท่ากับเป็นการฆ่าแม่ขององค์ชายรัชทายาท นอกเสียจากเขาจะปลดองค์ชายรัชทายาท แต่การปลดองค์ชายรัชทายาทเป็นการกระทำที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ จะได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เสด็จพ่อของเจ้าให้ความสำคัญต่อแผ่นดินเป็นอันดับแรก จะไม่กระทำอะไรที่เป็นการเสี่ยง เขายอมที่จะอดกลั้น แล้วก็ปิดบังเรื่องนี้ไว้”
หยู่เหวินหลิงคิดไม่ถึงว่านางจะคิดเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงเศร้าว่า “ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ เสด็จพี่ใหญ่พูดว่า คาดว่ารอเมื่อถึงวันที่แปดของวันขึ้นปีใหม่ตอนว่าราชการเช้า จะมีคนยื่นฎีกาปลดพี่ห้า”
“ใครกล้าทำเช่นนี้?” เสียนเฟยหันไปมองนาง พร้อมพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยมว่า “ใครกล้ายื่นฎีกาเช่นนี้ เสด็จพ่อของเจ้าก็จะตัดหัวคนนั้น เป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี ข้าจะไม่รู้นิสัยของเขาได้อย่างไร? เขาจะยอมให้มีคนทำให้แผ่นดินสั่นคลอนหรือ? อีกอย่าง ข้าทำร้ายไทเฮาได้รับบาดเจ็บ ไทเฮายังเป็นคนตระกูลซูคนตระกูลเดียวกัน ขอเพียงไทเฮาไม่เอาเรื่อง ใครจะกล้าเอาเรื่อง?”
“ใช่” นางจ้องมองหยู่เหวินหลิง พร้อมพูดขึ้นว่า “ทางด้านเสด็จย่าของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง? นางจะเอาเรื่องไหม? เจ้ากลับไปดู ขอประทานอภัยนางแทนข้าด้วย และก็ฝากบอกนางว่า สิ่งที่ข้าทำทุกอย่างล้วนทำเพื่อตระกูลซู ไทเฮาก็เป็นลูกสาวของตระกูลซู นางน่าจะเข้าใจทุกอย่างที่ข้าทำ”
หยู่เหวินหลิงส่ายหัว เช็ดน้ำตาพร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อไม่อนุญาตให้ลูกไปเยี่ยมเสด็จย่า แต่ข้าคิดว่าในใจเสด็จย่าคงโกรธท่านแล้ว”
“ข้ายังไม่โกรธนาง แล้วนางจะโกรธด้วยเรื่องอะไร?” เสียนเฟยคว้าจับข้อมือของนางไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงแหลมอีกครั้งว่า “อีกอย่าง เจ้าสั่งคนไปบอกหยู่เหวินเห้า เขาฆ่าคนของตระกูลซูไปมากมายขนาดนี้ ไม่ช้าก็เร็วคนของตระกูลซูจะต้องไปแก้แค้นเขา เจ้าให้เขารีบไปคุกเข่าขออภัยโทษหน้าประตูใหญ่ตระกูลซู ขอพวกเขาให้อภัย”
หยู่เหวินหลิงอ้าปากค้าง แทบไม่อยากเชื่อหูของตนเอง จึงพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ตระกูลซูไม่เพียงไม่มีคนตาย ต่อให้มีคนตาย ก็ไม่สามารถที่จะให้พี่ห้าไปคุกเข่าขออภัยโทษ พี่ห้าเป็นองค์ชายรัชทายาท คุกเข่าหน้าประตูใหญ่ของตระกูลซู พวกเขาคู่ควรแล้วหรือ?”
“ทำไมถึงไม่คู่ควร….” เสียนเฟยนิ่งอึ้งไป หันมาจ้องมองนางพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดว่าอะไร? ตระกูลซูไม่มีคนตาย? ไหนบอกว่ามีคนตายในกองไฟหลายคนไม่ใช่หรือ? ท่านยายของเจ้าล่ะ?”
หยู่เหวินหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่มีใครเป็นอะไรสักคน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ เขาก่อความวุ่นวายก่อน จึงไม่มีใครอยู่ข้างในแล้ว”
เสียนเฟยเอียงหัวมองดูหยู่เหวินหลิง แววตาค่อยๆเยือกเย็นลง พร้อมพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยมว่า “เจ้ากล้าโกหกแม่หรือ? เสด็จพ่อกับพี่ห้าของเจ้าใช้ให้เจ้ามาปิดบังข้าใช่ไหม? ตระกูลซูมีคนตาย พวกเขายังกล้าคิดที่จะอยู่อย่างสงบสุข?”
นางแหงนมองฟ้าพร้อมตะคอกพูดขึ้นว่า “ช่างมีจิตใจที่โหดเหี้ยมใจดำ ชีวิตของคนตระกูลซู ต่ำต้อยด้อยค่ากว่าคนอื่นหรือ? คราวนี้ทำไมหยวนชิงหลิงไม่ออกมาเรียกร้องขอความเห็นใจหรือ? เพื่อคนป่วยบนเขาโรคเรื้อน นางยอมขายแม้กระทั่งข้า คราวนี้ทำไมไม่เห็นนางออกมา?”
หยู่เหวินหลิงตกใจกับความบ้าคลั่งของนาง เดินเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว พร้อมพูดขึ้นอย่างเจ็บปวดว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าทำเช่นนี้ ตระกูลซูไม่มีคนตายจริงๆ ตอนนี้มีคนมากมายได้ไปจากเมืองหลวงแล้ว กลัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดที่ท่านลอบฆ่าทำร้ายไทเฮา ไปกันแล้วกว่าครึ่งแล้ว”
เสียนเฟยยกฝ่ามือตบบนใบหน้าของนางหนึ่งที ตบจนหยู่เหวินหลิงล้มลงบนพื้น นางชี้หน้าหยู่เหวินหลิงพร้อมพูดขึ้นทีละคำว่า “เป็นไปไม่ได้ ตามหยวนชิงหลิงมา”
นางข้าหลวงเดินมาประคองหยู่เหวินหลิงออกไป เสียนเฟยก้าวเดินมาคว้าจับเสื้อของหยู่เหวินหลิงไว้ แล้วก็ตบลงไปอีกสองที พร้อมตะคอกพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “เรียกนางมา ข้ามีคำถามจะถามนาง”
หยู่เหวินหลิงร้องไห้หนักมาก ยังจะกล้าอยู่ที่นี่ต่อที่ไหนกัน จะหนีออกไปพร้อมกับนางข้าหลวง แต่เสียนเฟยดึงมือของนางไว้ พร้อมดึงผมแล้วลากตรงเข้าไปข้างใน หยู่เหวินหลิงอย่างหนัก พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ปล่อย ข้าเจ็บ ข้าเจ็บ”
เสียนเฟยกลับไม่ยอมปล่อยมือ ดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ดึงปิ่นปักผมของหยู่เหวินหลิงลงมา แล้วจ่อไปที่คอของนาง คออ่อนละมุมของหยู่เหวินหลิงมีเลือดกระเซ็นออกมาในทันใด
ปกติหยู่เหวินหลิงเป็นคนกล้าหาญ แต่เพราะคนที่จับนางไว้เป็นแม่ของตนเอง เวลานี้จึงไม่กล้าที่จะขัดขืนแม้เพียงนิด ทำได้เพียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดอย่างเดียว
นางข้าหลวงตกใจคุกเข่าอยู่บนพื้นขอร้องนาง แววตาทั้งคู่ของเสียนเฟย เต็มไปด้วยประกายไฟ เงยคางขึ้น จ้องมองนางข้าหลวงพร้อมพูดขึ้นว่า “ออกจากวังไปตามพระชายารัชทายาทมา ข้าจะรอนางอยู่ที่นี่ ดีที่สุดไปให้เร็วหน่อย ไม่เช่นนั้น ข้าจะตายไปพร้อมกับเจ้าหญิง”
หยู่เหวินหลิงถูกลากเดินไป เสียนเฟยนั่งอยู่บนบันไดขั้นที่สูงที่สุด มือคว้าจับผมของหยู่เหวินหลิงไว้แน่น ให้นางคลานไปบนขั้นบันไดหินทั้งหมด ปิ่นปักผมจ่ออยู่ที่คอของนาง เสียนเฟยสั่นเทาไปทั้งตัว ผมเพ้าที่ยุ่งเหยิงพันกันพลิ้วไหวตามลม นางข้าหลวงเห็นแล้ว ในใจย่ำแย่หวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก คลานอยู่บนพื้นหลายครั้ง แล้วค่อยลุกวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว