บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 736 ปฏิเสธที่จะยอมรับผิด
หยวนชิงหลิงรู้ว่าหวงกุ้ยเฟยเห็นเจ้าหญิงเป็นลูกสาวของตนเองจริงๆ ที่จริงหากเรื่องไม่กลับกลายเป็นเช่นนี้ บางทีความรู้สึกอาจจะบริสุทธิ์มากยิ่งกว่านี้ แต่ว่าตอนนี้ ความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อนไปแล้ว
แต่ว่าทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหวงกุ้ยเฟย นางก็ถูกบีบให้ทำเรื่องที่ความสามารถไม่ถึง
หยวนชิงหลิงจับมือของนางไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “องค์ชายรัชทายาทอยู่เป็นเพื่อนนาง ท่านวางใจ กลับไปพักผ่อนเถอะ อากาศหนาวเหน็บขนาดนี้ ท่านไม่กลัวหนาวหรือ”
หวงกุ้ยเฟยน้ำตาไหล น้ำเสียงแฝงไปด้วยความสะอึกสะอื้น พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายารัชทายาท เจ้าเชื่อข้า ข้าไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อน ก็เพิ่งรู้ตอนที่ฮ่องเต้ประกาศ ตอนนั้น มีคนมากมายขนาดนี้ข้าก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ข้าไม่ได้โลภเกียรติยศพวกนี้”
หยวนชิงหลิงจะไม่รู้หรือ? ดังนั้น นางจึงพูดปลอบว่า “อย่าคิดมาก เรื่องมากมายพวกเราไม่สามารถควบคุมได้ พวกเรารักษาความรู้สึกดั้งเดิมไว้ก็พอ”
หวงกุ้ยเฟยถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าอยู่ภายในวังนี้มากว่าครึ่งชีวิต ปล่อยวางทุกอย่างแล้ว ข้ายินยอมที่จะรักใคร่พวกเขาในฐานะแม่ และก็ทำอยู่เช่นนี้มาตลอด แต่เมื่อได้สถานะนี้มาแล้ว ข้ากลับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
หยวนชิงหลิงเงียบ
หวงกุ้ยเฟยถามขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าจะไปไหน?”
หยวนชิงหลิงมองดูมู่หรูกงกง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปตำหนักชิ่งหยู”
ท่าทีหวงกุ้ยเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เข้าใจทุกอย่าง จึงพูดขึ้นว่า “อืม เจ้าไปเถอะ”
หยวนชิงหลิงถวายบังคมทูลลา
เดินตามมู่หรูกงกงมาตลอดทาง รู้สึกว่าลมเย็นหนาวเหน็บจนถึงกระดูก พัดผ่านใบหน้าเจ็บปวดเหมือนดั่งถูกมีดบาด นางอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
เพราะเป็นช่วงวันฉลองวันขึ้นปีใหม่ ภายในวังยังคงมีไฟแสงสีห้อยอยู่ทุกหนทุกแห่ง ความมืดมนหายไปภายใต้แสงไฟ แต่ก็ยังคอยดูอยู่รอบๆ ไปละเว้นแม้เพียงสักจุด ทำให้คนรู้สึกกดดันอย่างมาก
มาถึงหน้าประตูตำหนักชิ่งหยู โคมแดงที่แขวนอยู่ที่ประตูส่องแสงสลัว ราวกับถูกความมืดกลืนกิน ค่อยๆกลืนกินแสงสว่าง โยกเยกไปมาอย่างอ่อนโยน
หน้าประตูตำหนักมีกองทหารรักษาชุดเกราะยืนอยู่ มือถือดาบยาวยืนเรียงอยู่สองแถว ยืนนิ่งไม่ขยับราวกับรูปปั้น แม้แต่แววตาก็ไม่มีแววแห่งความอ่อนโยนเลยสักนิด แลดูเยือกเย็นแข็งทื่อ
เข้าไปภายในตำหนัก นางข้าหลวงที่ยืนอยู่หน้าประตู นางไม่รู้จักสักคน ใบหน้าของทุกคนไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดใด เพียงแต่เมื่อเห็นนางมา ได้ถวายทำความเคารพ
หยวนชิงหลิงมองเห็นมีคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าระเบียง ภายใต้แสงที่พร่าเลือน ใบหน้าของเขาไม่สามารถจดจำได้ รูปร่างค่อนข้างคุ้นเคย ในมือของเขาถือถาดไม้ไว้ บนนั้นมีมีดสั้น ผ้าขาว สุรามีพิษวางอยู่
หยวนชิงหลิงมองดูแวบหนึ่ง แล้วก็รีบหันไปมองทางอื่น
มู่หรูกงกงชี้ไปที่ประตูไม้แกะสลักสีแดง พร้อมพูดกับนางว่า “พระชายารัชทายาท เชิญ”
หยวนชิงหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆก้าวเดินขึ้นไปบนบันไดหิน ขั้นบันไดหินทำความสะอาดแล้ว มองไม่เห็นรอยเลือดแล้ว
มู่หรูกงกงยื่นมือผลักเปิดประตู ประตูไม้ที่หนักส่งเสียงดังเพราะถูกเปิดออก หยวนชิงหลิงเหมือนได้ยินเสียงการเข่นฆ่าดังขึ้นด้านหลัง นางรีบหันไปมอง ด้านหลังกลับมีเพียงลมเย็นที่เหน็บหนาว
เข้าไปภายในตำหนัก มู่หรูกงกงกับหยวนชิงหลิงตรงเข้าไปในตำหนัก เขาเปิดม่านแก้ว พร้อมพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “เชิญพระชายารัชทายาท ข้าน้อยจะรออยู่ที่นี่”
เขายืนอยู่ตรงกลางม่าน หันหน้าเข้าหาภายในวัง
มือทั้งคู่ของเสียนเฟยไม่ได้ถูกมัดไว้ด้านหลังแล้ว ปล่อยให้นางสามารถเคลื่อนไหวมือทั้งคู่ได้อย่างอิสระ แต่เท้าทั้งคู่กับร่างกายยังคงผูกมัดติดไว้อยู่บนเก้าอี้
นางเห็นว่าคนที่มาคือหยวนชิงหลิง ก็ผิดหวังอย่างมาก พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ฮ่องเต้ใจดำได้ถึงขนาดนี้? แม่ลูกขอพบเจอหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเขาก็ไม่อนุญาต ช่างใจดำจริงๆ”
เดิมหลังของหยวนชิงหลิงก็ไม่ได้เจ็บปวดขนาดนั้น ตอนนี้เห็นเสียนเฟย รู้สึกเจ็บแผลเหมือนแผลฉีกขึ้นมา นางค่อยๆเดินไป นั่งอยู่ตรงหน้าเสียนเฟย เก้าอี้ตัวนี้เมื่อกี้ฮ่องเต้หมิงหยวนก็นั่ง
“เสด็จพ่อพูดว่า” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น อย่างรู้สึกเสียงแหบอย่างมาก คอแห้งอย่างที่สุดว่า “ให้ข้ามาฟังว่าเจ้ามีอะไรจะพูด เจ้าพูดมาได้ ทุกคำทุกประโยค ข้าจะกลับไปบอกเจ้าห้า จะไม่ปิดบังแม้เพียงนิด”
เสียนเฟยกำหมัดทุบบนที่วางมือบนเก้าอี้ พร้อมพูดขึ้นอย่างขุ่นเคืองว่า “ได้ งั้นเจ้ากลับไปบอกเจ้าห้า คือเจ้าหยวนชิงหลิง ที่ทำให้เราสองแม่ลูกต้องแยกจากกัน เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าต้องตาย ไปเขาฆ่าเจ้าเสีย”
หยวนชิงหลิงมองดูใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง พยักหัวพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าวางใจ ประโยคนี้ข้าจะกลับไปบอกแน่นอน”
“เจ้ายังกล้าที่จะมา? ในใจของเจ้าคงมีความสุขอย่างมากใช่ไหม? เห็นสภาพของตระกูลซูกับข้าในตอนนี้ เจ้ามีความสุขไหม?”เสียนเฟยถุยออกไปหนึ่งที น้ำลายกลับลอยมาไม่ถึง หล่นอยู่ข้างเท้าหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงก้มมองดู มองเห็นน้ำลายที่นางถุยออกมาเปื้อนไปด้วยเลือด
หยวนชิงหลิงยื่นมือจัดเสื้อผ้าบนเข่าให้เรียบ จากนั้นก็เงยหน้ามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ามีอะไรน่าดีใจ? เจ้าเป็นอะไรไป คนที่เจ็บปวดที่สุดคือเจ้าห้ากับเจ้าหญิง พวกเขาสำคัญกับข้า ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาเจ็บปวดเพราะเจ้า”
นางไม่ได้หันกลับไปมอง แต่รู้สึกได้ถึงแววตาอันเฉียบคมของมู่หรูกงกง ในใจถอนหายใจอย่างโศกเศร้า เห็นทีคงไม่มีหนทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว
นางยังคงยอมที่จะลองดู พูดขึ้นว่า “เมื่อก่อนที่ข้าทำผิด ข้าขออภัยเจ้า ณ ที่นี้ด้วย ขอเจ้าอภัยให้ข้า”
เสียนเฟยกัดฟันพูดขึ้นว่า “คำพูดบ้าของเจ้า ข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอยู่ที่นี่ สิ่งที่ข้าอยากพูดกับเจ้าห้ามีเพียงประโยคนี้ เจ้ากลับไปบอกเขา หากเขายังเห็นแก่บุญคุณที่ข้าเลี้ยงดูมา ก็ให้แก้แค้นเพื่อแม่ ฆ่าเจ้าหยวนชิงหลิง ถือว่าเป็นการปลอบประโลมจิตวิญญาณของข้าบนท้องฟ้า”
เสียนเฟยจะไม่ผิดหวังได้อย่างไร? หากคนที่มาคือหยู่เหวินเห้า นางมั่นใจว่าจะสามารถพูดให้เขาไปขอประทานอภัยให้นางได้ แต่คนที่มาคือหยวนชิงหลิง แผนที่อ่อนโยนของนางใช้ไม่ได้ผลแล้ว เดิมหยวนชิงหลิงก็อยากที่จะให้นางตายอยู่แล้ว
ดังนั้น วินาทีตอนที่เห็นหยวนชิงหลิง นางก็หมดหวังแล้ว ความหวังแตกสลายหมดแล้ว
หยวนชิงหลิงมองดูหนังด้วยสายตาโศกเศร้า พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าทำอะไรผิดกันแน่? ถึงทำให้เจ้าเกลียดข้าได้ขนาดนี้? ระหว่างเราให้อภัย ปรับความเข้าใจกันได้ไหม?”
“จะไม่มีวันนั้น” น้ำเสียงเสียนเฟยเยือกเย็นเฉียบคม ท่าทีเย่อหยิ่ง พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังว่า “เจ้าไม่คู่ควร คำขอโทษของเจ้าข้าก็ไม่ยอมรับ ให้เจ้าเป็นหนี้ข้าไปตลอดเถอะ หากหยู่เหวินเห้าไม่ยอมฆ่าเจ้า ข้าตายไปเป็นผีก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้า”
มู่หรูกงกงเดินเข้ามา พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “พระชายารัชทายาท ท่านกลับไปเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ตัดสินแล้ว”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจลึก ลุกขึ้นมาพร้อมพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอเอาคืนคำขอโทษ ข้าไม่ได้ติดหนี้อะไรเจ้า กลับกัน เป็นเจ้าที่คิดเป็นศัตรูกับข้ามาตลอด คิดปองร้ายฆ่าข้า ที่ควรเกลียดชังคือข้า เจ้าไม่คู่ควร”
หยวนชิงหลิงพูดจบ มองดูแววตาที่แฝงไปด้วยเลือดของเสียนเฟย แล้วก็หันตัวเดินจากไป
ได้ยินคำสาปแช่งของเสียนเฟย และก็ได้ยินมู่หรูกงกงพูดว่า “ฮ่องเต้เป็นคนสั่งให้พระชายารัชทายาทมา หากเหนียงเหนียงสำนึกผิด ยอมรับผิด ขอโทษพระชายารัชทายาท ฮ่องเต้จะไว้ชีวิตท่าน แต่เห็นได้ชัดว่าความสำนึกผิดที่เสียนเฟยเหนียงเหนียงพูดมาเมื่อกี้ ไม่ได้พูดออกมาจากใจ”
เสียนเฟยร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง กระแทกที่ท้าวแขนด้วยความตื่นเต้น พร้อมพูดขึ้นว่า “โกหก หากเขาให้อภัยข้าจริง ก็ไม่ควรที่จะตามคนที่ข้าเกลียดที่สุดมาก เขารู้ว่าข้าไม่มีทางเสแสร้งพูดอ่อนโยนกับนาง ฮ่องเต้ ความสัมพันธ์ที่เป็นสามีภรรยากันมากกว่ายี่สิบปี เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ? เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ? ทำไมเจ้าถึงได้ใจดำขนาดนี้?”
หยวนชิงหลิงไม่ได้จากไปไกล ยืนอยู่ตรงหน้าระเบียง มองดูคนที่ถือถาดไม้คนนั้น กำลังค่อยๆเดินมาจากในที่มืด เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาชัดเจนแล้ว เป็นกู้ซือนี่เอง
กู้ซือมองดูนางด้วยแววตาเคร่งขรึม พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “พระชายารัชทายาท ท่านกลับไปเถอะ อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย”