บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 738 ตระกูลซูแตกแยกไปหมดจริงๆแล้ว
แววตามู่หรูกงกงฉายแววเจ็บปวด ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานานขนาดนี้ ความเจ็บปวดที่ฮ่องเต้ต้องเผชิญทั้งหมด เขาเข้าใจเป็นอย่างดีที่สุด
เป็นดั่งที่ฮ่องเต้พูด เขาไม่ได้ดีแม้กระทั่งกับตัวเขาเอง หลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มการกินการใช้ ทุกอย่างล้วนด้อยกว่าทุกคนที่อยู่ในวัง นี่ก็เป็นเพราะทำไมเขาถึงมักชอบทานอาหารอยู่คนเดียว เป็นเพราะว่าอาหารธรรมดาอย่างมาก
เพื่อผืนแผ่นดิน ความสุข ความโกรธ ความเศร้า และความปิติยินดีของเขาทำได้เพียงอดกลั้นไว้ ภาระบนบ่าของฮ่องเต้นั้นหนักหนามาก
ลมพัดกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะปลิว ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดอยากที่จะเขียนอะไรสักหน่อย แต่ถือพู่กันไว้อยู่เนิ่นนาน แล้วก็เขียนไม่ออกสักคำ
ภายในตำหนักชิ่งหยู ฮ่องเต้หมิงหยวนเปลี่ยนคนตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นต่อให้เสียนเฟยได้รับโทษประหาร ก็มีคนรู้เพียงไม่กี่คน ภายในใจฮองเฮาฉู่กับหวงกุ้ยเฟยต่างรู้ดี แต่ใครก็ไม่กล้าพูดออกมา
ฮ่องเต้หมิงหยวนเก็บเป็นความลับ พูดออกไปเพียงว่าเสียนเฟยยังคงป่วยหนัก และอาการป่วยก็ไม่ได้ดีขึ้น
ในที่ว่าราชการเช้าวันที่แปดของวันปีใหม่ ยังไม่ทันรอให้ได้เริ่มต้น ก็มีคนยื่นฎีกา บ่งชี้ว่าแม่ขององค์ชายรัชทายาท กระทำความผิดฐานดูหมิ่นเหยียดหยามและอกตัญญูกตเวที
คนที่ยื่นฎีกา ก็คืออ๋องจี้ ที่สงบเสงี่ยมมาระยะหนึ่งแล้วคนนั้น
อ๋องจี้พูดขึ้นอย่างมีหลักการ อ้างถึงหลักคัมภีร์ อีกทั้งยังพูดถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวังหลัง เสนอว่าแม่ขององค์ชายรัชทายาท ต้องมีศีลธรรมประพฤติดี เพื่อไม่ให้ความประพฤติที่ไม่ดีในสายเลือด มีอิทธิพลต่อผู้สืบทอดราชวงศ์ในอนาคต
สุดท้าย เขายังพูดขึ้นอย่างแดกดันว่า “กระหม่อมหวังดีต่อผืนแผ่นดินของเป่ยถัง ขอเสด็จพ่อปลดองค์ชายรัชทายาทหยู่เหวินเห้า แล้วเลือกคนที่เหมาะสมมาแทน เพื่อรับประกันว่าสายเลือดราชวงศ์เป่ยถัง ในอนาคตจะไม่แปดเปื้อน และในระหว่างที่หยู่เหวินเห้ารับตำแหน่งดูแลกรมการพระนคร มีคดีที่ยังไม่คลี่คลายมากมาย ทำให้เห็นได้ชัดว่ามีความสามารถไม่เพียงพอสำหรับงานที่สำคัญ ขอเสด็จพ่อโปรดพิจารณา”
ข้อเสนอแนะของอ๋องจี้ ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางในราชสำนักมากมาย แต่คำพูดของเขา กลับไม่สามารถทำให้พวกเขาเห็นด้วย ก่อนอื่นที่พูดถึงสายเลือดค่อนข้างกินเหตุ เพราะเสียนเฟยเป็นคนของตระกูลซู และไทเฮาพระมารดาของฮ่องเต้ก็เป็นคนของตระกูลซู ใช่ว่าตระกูลซูจะมีแต่คนชั่วคดโกง
อีกอย่าง ภารกิจความรับผิดชอบขององค์ชายรัชทายาท ถือว่าได้รับการยอมรับ คดีที่กรมการพระนครยังไม่คลี่คลาย ใช่ว่าจะเป็นคดีที่เกิดขึ้นภายในช่วงที่องค์ชายรัชทายาทรับตำแหน่ง เป็นคดีเก่าที่สะสมไว้ก่อนหน้านี้มากมายที่ยังไม่คลี่คลาย เวลาผ่านไปนาน อยากที่จะสืบอย่างชัดเจน ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายเสียที่ไหน?
แต่อ๋องจี้ก็มีคนสนับสนุน เขาร่วมมือกับขุนนางหลายคนแต่แรกแล้วว่าจะยื่นฎีกาด้วยกัน ดังนั้น เมื่อเขาพูดจบ ต่างก็มีคนออกมาสนับสนุน ยื่นฎีกาขอให้ปลดองค์ชายรัชทายาท
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไม่รีบร้อนที่จะพูดอะไร เพียงแค่รอดูว่าจะมีคนมากน้อยแค่ไหนสนับสนุนให้ปลดองค์ชายรัชทายาท
แอบรวบรวมดูแล้ว คนที่สนับสนุนมีมากกว่าสามส่วน
ทั้งหมดนี้ใช้ว่าจะไปคนของอ๋องจี้ คนที่เห็นด้วยส่วนมากแล้วเป็นขุนนางเก่าแก่ ถึงแม้จะเป็นการสนับสนุนด้วยความที่อยู่ข้างเดียวกับราชสำนัก แต่ความคิดโง่เขลา หัวโบราณ
บางคนเหล่านี้ เดิมก็ไม่เห็นด้วยที่จะแต่งตั้งหยู่เหวินเห้าเป็นองค์ชายรัชทายาท พวกเขายังคงเป็นพวกเดียวกับความเป็นองค์ชายองค์โต หรือองค์ชายสืบสายเลือดโดยตรง
นอกจากคนพวกนี้แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ไม่มีท่าทีอะไร
แสดงให้เห็นได้ชัดว่าองค์ชายรัชทายาทได้ใจคน ไม่เช่นนั้นวันนี้ในที่ว่าราชการ จะต้องมีเสียงคนส่วนมากคัดค้านเขา
นี่ทำให้ในใจฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกซาบซึ้งมาก และมั่นใจว่าตนเองไม่ได้เลือกคนผิด
ตอนนั้นที่เลือกหยู่เหวินเห้า ที่จริงภายในใจของเขาไม่ได้มั่นใจเสียทั้งหมด เพียงแต่เป็นคำสั่งของไท่ซ่างหวง และเขาก็เป็นคนที่กระทำตามความหมายของไท่ซ่างหวงจนเคยชินแล้ว
อ๋องชินจือหลี่เดินออกมา ในมือถือตำราบันทึกแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ สายตามองไปรอบๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “วันที่เจ็ดของเดือนแรกตามจันทรคติ และก็คือเมื่อคืน ฮ่องเต้ได้เลื่อนตำแหน่งแต่งตั้งให้เต๋อเฟย เป็นหวงกุ้ยเฟยในตำหนักเหอเต๋อ และองค์ชายรัชทายาทหยู่เหวินเห้า กับเจ้าหญิงหยู่เหวินหลิง ได้ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นบุตรของเต๋อเฟย รับเต๋อเฟยเป็นแม่ ดังนั้น สิ่งที่เสียนเฟยเหนียงเหนียงกระทำ ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับองค์ชายรัชทายาทกับเจ้าหญิง จะปลดองค์ชายรัชทายาทจากการเป็นองค์ชายรัชทายาท ขอเสด็จอ๋องจี้กับเหล่าขุนนาง นำหลักฐานบ่งชี้ว่าองค์ชายรัชทายาทกระทำผิดศีลธรรม ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งออกมา ไม่เช่นนั้น ข้อเสนอนี้สามารถเพิกถอนได้”
ภายในที่ว่าราชการ เกิดความโกลาหลขึ้น
แม้แต่พ่อกับพี่ชายของเต๋อเฟย ต่างก็ตกตะลึง ตั้งแต่เต๋อเฟยเข้าวังมา ถึงแม้จะเป็นที่รักใคร่ แต่เพราะไม่มีบุตร ดังนั้นสามารถได้เป็นเต๋อเฟย ก็ถือเป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้ว ชั่วชีวิตนี้หากได้แค่นี้ ก็ถือว่าดีมากแล้ว
แต่ใครจะไปคิดว่า ถึงวัยกลางคนของเต๋อเฟย จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้?
คนของตระกูลหรู่รีบคุกเข่าถวายขอบคุณ และก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดว่าอย่างไร พระกรุณาธิคุณนี้ต้องถวายขอบคุณก่อน
พวกเขามั่นใจ ขอเพียงถวายขอบคุณอย่างรวดเร็ว ใครจะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ฮ่องเต้ตัดสินใจแล้ว
ตระกูลหรู่เป็นตระกูลนักรบ รู้จักแต่การต่อสู้ หลายปีก่อนยังดี เพราะตามชายแดนมักจะมีเรื่องวุ่นวาย แต่สองปีมานี้ถึงแม้ความวุ่นวายจะมีอยู่ในที่ลับ แต่ต่อหน้าแล้วดูสงบ ดังนั้นพวกนักรบจึงไม่มีผลงานอะไร อยู่อย่างไร้ประโยชน์มาสองสามปีแล้ว ตำแหน่งในราชสำนักก็อยู่อย่างค่อนข้างลำบากใจ ตอนนี้เต๋อเฟยถูกแต่งตั้งให้เป็นหวงกุ้ยเฟย และองค์ชายรัชทายาทก็ล้วนเป็นคนของตนเองแล้ว ทำไมถึงจะไม่ดีใจจนฟันแทบหักล่ะ?
อ๋องจี้นิ่งอึ้งอยู่กับที่ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็คิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะให้หยู่เหวินเห้ารับเต๋อเฟยเป็นแม่
การกระทำเช่นนี้ เดิมก็เคยมี แต่ส่วนมากแล้วเป็นองค์ชายถึงจะทำเช่นนี้ อย่างเช่นนางสนมที่โปรดปรานไม่มีโอรส ก็จะรับโอรสมาจากเมียทาส รับเลี้ยงไว้ภายใต้ตำแหน่งสนม อย่างแรกคือเพื่อยกระดับฐานะขององค์ชาย อย่างที่สองก็เพื่อความมั่นคงของตำแหน่งสนม
แต่หยู่เหวินเห้าเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทแล้ว องค์ชายรัชทายาทรับนางสนมอื่นเป็นแม่ เช่นนี้ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
อ๋องจี้รับมือไม่ทัน หันไปมองอ๋องอานที่อยู่ด้านข้างด้วยท่าทีดูสบาย กัดฟันจะมีเลือดไหล ถึงว่าจวนอ๋องอาน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดใดเลย เขาจะต้องรู้เรื่องนี้แต่แรกแล้วแน่
เผชิญหน้ากับสายตาเยือกเย็นเฉียบคมของเสด็จพ่อ เขาพูดขึ้นด้วยแรงเฮือกสุดท้ายว่า “เสียนเฟยเหนียงเหนียงยังมีชีวิตอยู่ องค์ชายรัชทายาทจะยอมรับคนอื่นเป็นแม่ของเขาได้อย่างไร?”
ไม่มีใครช่วยเขาพูดอีก ตำราบันทึกแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ถูกบันทึกไว้แล้ว งั้นเรื่องนี้ก็เป็นไปตามนี้แล้ว ไม่ใช่เป็นการยกขึ้นมาให้หารือ ในเมื่อกระทำเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ พูดต่อไปอีก มีแต่จะเป็นการเปิดเผยความคิดอย่างอื่นมากไปกว่านี้
ในใจอ๋องจี้เยือกเย็นเหมือนดั่งน้ำ หวาดหวั่นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นของเสด็จพ่อ เขาเหมือนกับมองเห็นอนาคตอันมืดมนของตนเอง
คนที่มีความสุขที่สุด หนีไม่พ้นพ่อกับพี่ชายของเต๋อเฟย หลังจากเลิกว่าราชการแล้ว แม่ทัพหรู่ รีบควบขี่ม้ากลับจวน นำข่าวดีไปบอกแก่วงศ์ตระกูล
พระราชโองการก็ตามมาอย่างรวดเร็ว ผู้นำตระกูลหรู่ภาคภูมิใจอย่างที่สุด อยากที่จะจัดงานเลี้ยงญาติเพื่อนพ้อง เฉลิมฉลองกับเรื่องนี้
ตอนนี้ตระกูลหรู่กลายเป็นครอบครัวขององค์ชายรัชทายาทแล้ว และเต๋อเฟยก็ได้ถูกยกให้เป็นหวงกุ้ยเฟย ต่อไปเมื่อองค์ชายรัชทายาทขึ้นครองราชย์ งั้นตระกูลหรู่ก็จะมีคนได้นั่งตำแหน่งไทเฮา นี่ถือเป็นความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติของวงศ์ตระกูล
อีกอย่าง เจ้าหญิงก็กำลังจะอภิเษกกับตระกูลเหลิ่ง ทางด้านตระกูลเหลิ่งถือว่าร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน โอ้พระเจ้า ตระกูลหรู่โชคดีอะไรขนาดนี้?
แม้แต่ผู้ชายของตระกูลหรู่ ยังรู้สึกว่านี่เป็นเหมือนดั่งความฝัน ผู้หญิงของตระกูลหรู่ ได้เริ่มจัดเตรียมสินสอดของเจ้าหญิงแล้ว
เทียบกับความยินดีของตระกูลหรู่ จวนอ๋องฉู่ก็จะแลดูเงียบเหงา
ไม่มีใครมาเยี่ยมหา ความจริงแล้ว หลังจากที่ไม่ปลดองค์ชายรัชทายาท ผู้คนมากมายต่างก็มาไหว้ปีใหม่ แต่หยวนชิงหลิงสั่งคนปิดประตูใหญ่ไว้ ปฏิเสธไม่ให้ใครเข้ามาเยี่ยม
วันที่แปดของเดือนปีใหม่ หยู่เหวินเห้าไม่ได้ขึ้นว่าราชการ แต่เขากลับไปยังกรมการพระนคร
เขางานยุ่งตั้งแต่เช้าตลอดจนถึงค่ำค่อยกลับมา หยวนชิงหลิงรอเขาอยู่ เขาจึงรีบไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอน
เขานอนหลับอย่างรวดเร็ว นอนไปสักพักลมหายใจก็สม่ำเสมอ หยวนชิงหลิงเรียกเขาด้วยเสียงเบา เขาก็ไม่ตอบ เหมือนกับนอนหลับไปแล้วจริงๆ
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาไม่สามารถหลับได้เร็วขนาดนี้แน่ แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะหลบ นางก็ไม่สามารถบังคับเขาได้
หลังจากที่นางนอนไปแล้ว หยู่เหวินเห้าค่อยๆลืมตาขึ้น
เขามองดูปลายมุ่งด้วยสายตาว่างเปล่า ความคิดในหัวเหมือนดั่งน้ำทะเล สงบลงไม่ได้เลยแม้เพียงวินาทีเดียว
วันนี้พี่ซูหลงไปหาเขาที่ทำการปกครอง บอกว่าตอนนี้ตระกูลซูจากไปพอสมควรแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่ยังอยู่ในเมืองหลวง จวนก็จะขายทิ้งแล้วเอาเงินมาแบ่งกัน ส่วนคนที่ยังมีตำแหน่งเดิมอยู่ ก็ได้ไปยื่นใบลาออกที่กรมข้าราชการพลเรือนแล้ว
เมื่อต้นโพธ์ตระกูลซูล้มลงไป ลูกน้องต้องแยกย้าย แตกสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทางจริงๆแล้ว