บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 740 คำปลอบโยนจากจิตวิญญาณ
หยู่เหวินหลิงมองดูกระดิ่งลมนั่น มีแสงแห่งความประหลาดใจและความเชื่อมั่นเผยออกมาจากภายในดวงตา พร้อมพูดขึ้นว่า “จริงหรือ? จริงหรือ? จริงหรือ?”
นางถามติดต่อกันถึงสามครั้ง จากนั้นก็ยื่นมือทั้งคู่ออกมาอย่างอ่อนน้อม ให้หยวนชิงหลิงวางกระดิ่งลงบนฝ่ามือของนาง ท่าทีดูเคร่งในศาสนามาก
หยวนชิงหลิงดูจากความอ่อนน้อมนับถือของนางนี้ สำหรับนาง กระดิ่งลมเป็นเหมือนดั่งแสงสว่างในท้องทะเลมืดครึ้ม
แล้วนางก็เข้าใจขึ้นมา ที่จริงเมื่อคนเราหมดหวัง จะต้องความเชื่อ และท่านชายสี่ก็เห็นถึงความสำคัญตรงนี้ มอบกระดิ่งลมให้กับนาง
อย่าว่าแต่หยู่เหวินหลิง ตอนนั้นเมื่อรู้ว่าตนเองมาอยู่ในยุคสมัยนี้ นางยังลืมไปชั่วขณะว่าตนเองเป็นปัญญาชนระดับสูงที่ทำเกี่ยวกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ยังคิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากเทพเทวดาฟ้าดิน
นางคิดถึงเจ้าอาวาสคนรุ่นหลัง เขามุ่งมั่นในงานวิทยาศาสตร์จนถึงที่สุด อาจจะเป็นเทววิทยา นี่อาจเป็นความจริง ใครจะไปรู้? แต่มากกว่านั้น บางทีอาจจะเป็นความคาดหวังภายในใจของเขา
คนเราต้องมีความเชื่อ โดยเฉพาะเมื่อตอนที่หมดหวัง
มุ่งเน้นที่หัวใจ ท่านชายสี่ วิธีจีบสาวของท่านี้ ทำได้อย่างที่สุดแห่งความบริสุทธิ์
หยู่เหวินหลิงเอากระดิ่งลมแขวนไว้ที่ข้างหน้าต่าง เปิดบานหน้าต่างออก ลมเหนือพัดมา กระดิ่งลมส่งเสียงดังกริ๊งกร๊าง เสียงที่ทำจากทองแดงเป็นอมตะและยาวนาน บวกกับผลกระทบทางจิตใจ รู้สึกเหมือนเสียงพระพุทธเจ้า ซึมซับเข้าไปในหัวใจจริงๆ
นางหันกลับมามองหยวนชิงหลิง ดวงตายังคงบวมแดง และก็ยังมีน้ำตาไหลตกลงมา นี่เป็นความเสียใจที่แฝงไปด้วยความตื้นตัน
หยวนชิงหลิงก็หัวเราะ แต่ดวงตากลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
คนในตำหนักเอาอาหารมาให้ ภายใต้การพูดหว่านล้อมของหยวนชิงหลิง ในที่สุดหยู่เหวินหลิงก็ทานอาหาร
ถึงแม้นางจะยังมีท่าทีเจ็บปวด แต่อย่างน้อยก็ถือว่าปลอบโยนไว้ได้แล้ว
หยวนชิงหลิงมองดูนางทานข้าวต้ม ในใจกลับถอนหายใจเศร้า หยู่เหวินหลิงทางนี้ปลอบโยนง่าย เจ้าห้ากลับไม่ง่ายเลย
หลังจากหยู่เหวินหลิงทานโจ๊กหมดแล้ว หยวนชิงหลิงก็ให้นางไปนอน อาจเป็นเพราะเหนื่อยล้ามาก บวกกับมีเสียงกระดิ่งลมคอยปลอบโยน ดังนั้นนางจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว
หยวนชิงหลิงเฝ้านางอยู่ด้านข้างเตียงสักพักแล้วค่อยออกมา
หวงกุ้ยเฟยอยู่ด้านนอกม่าน เห็นหยู่เหวินหลิงหลับไปแล้ว ก้อนหินที่หนักอึ้งอยู่ภายในใจค่อยโล่งอก นางพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “นี่สำหรับเด็กแล้ว ถือเป็นการทุกข์ทรมานอย่างมาก”
หยวนชิงหลิงมองดูนางก็ผอมลง จึงพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านก็ต้องรักษาสุขภาพด้วยนะ”
“ข้าไม่เป็นไร แต่ต้องลำบากเจ้าวิ่งไปวิ่งมา ตอนนี้เจ้าห้าเป็นอย่างไรบ้าง? ความรู้สึกคงจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เร็วขนาดนี้?”หวงกุ้ยเฟยจับมือของนางไว้ แล้วเดินออกไปพร้อมกัน พากันไปนั่งภายในตำหนัก
หยวนชิงหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่อย่างมาก เมื่อคืนแทบจะไม่ได้หลับทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็บอกไปตั้งแต่เช้า ใช้งานมาทำให้ตนเองมึนชา”
“เจ้าห้าเป็นเด็กกตัญญู ความรู้สึกที่เขามีต่อเสียนเฟยนั้นลึกซึ้งมาก การโจมตีในครั้งนี้ไม่สามารถรับได้ในทันใด แต่ภายในใจของเขาเข้มแข็ง คิดว่าจะสามารถเดินออกมาได้ในไม่ช้า”หวงกุ้ยเฟยพูดขึ้น
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยเสียงเบา
เพียงแต่ ในใจหยวนชิงหลิงรู้ดี ความเจ็บปวดที่แม่ตายเป็นเรื่องหนึ่ง ความรู้สึกผิดภายในใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความเจ็บปวดสามารถค่อยๆจางหายไปได้ แต่เขาคิดว่าหากไม่มีเรื่องจุดไฟเผาตระกูลซู เสียนเฟยอาจจะไม่ต้องโทษก็ได้
จนถึงวินาทีสุดท้าย ฮ่องเต้ยังคงอยากที่จะให้โอกาสนาง ตรงนี้สามารถมองออก หากไม่ลอบฆ่าไทเฮา จับตัวเจ้าหญิงเป็นตัวประกัน เสียนเฟยก็อาจจะไม่ต้องตาย
เจ้าห้าเคยบอกกับว่า เขาจุดไฟเผาตระกูลซู เป็นเพราะตระกูลซูทำตัวเอง เป็นเพราะเขาอยากที่จะพูดปลอบตัวเอง ให้ตนเองไม่ต้องรู้สึกผิดขนาดนี้
เขาต้องการหลุดพ้นจากอารมณ์ด้านลบนี้
แต่คงจะไม่เร็วขนาดนี้
หยวนชิงหลิงออกมาจากพระตำหนักเฟิ่งฉี่ ก็ได้ไปหาไท่ซ่างหวงที่พระตำหนักฉินคุน
ที่ไท่ซ่างหวงนี้ คงเป็นหนึ่งเดียวในพระราชตำหนักทั้งหมด ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการตายของเสียนเฟย
หลังจากหยวนชิงหลิงถวายบังคมแล้ว ก็ถามขึ้นว่า “อ๋องชินเฟิงอันไม่อยู่หรือ?”
ฉางกงกงยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเขากลับไปยังตระกูลซูแล้ว รอหลังจากงานอภิเษกของเจ้าหญิงเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะไปจากเมืองหลวง”
ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “คนอื่นหลุดพ้นจากทางโลกแล้ว จะมีชีวิตอยู่ในสถานที่เหม็นไปด้วยเงินได้อย่างไร?”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยา ไม่มีทางที่จะอยู่สถานที่ใดสักแห่งนาน พวกเขามีความสุขในชีวิตอย่างแท้จริงยิ่งกว่าเทวดาเสียอีก
ดีจังเลย หากวันหนึ่ง นางกับเจ้าห้าสามารถมีชีวิตเหมือนกับอ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาแบบนั้น ในทุกวันคิดแต่เพียงว่าค่ำวันนี้จะทานอะไรดี น่าจะมีความสุขขนาดไหน
“จะว่าไป พวกเขาก็กลับมาเพราะเรื่องนี้โดยเฉพาะ?”หยวนชิงหลิงถามขึ้นว่า คิดถึงตอนนั้นที่ได้พูดคุยกับพระชายาอ๋องชินเฟิงอันในศาลาจันทร์เสี้ยว หากทุกอย่างสามารถเป็นไปตามที่นางพูดแบบนั้น จะดีแค่ไหน
เสียดาย กลับเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้
ไท่ซ่างหวงเอนพิงเก้าอี้อยู่อย่างเกียจคร้าน เท้าทั้งคู่วางอยู่บนเก้าอี้เล็ก หรี่ตามองดูดวงอาทิตย์อันอบอุ่นที่ส่องแสงจากภายนอกตำหนัก พร้อมพูดขึ้นว่า “ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นกับพระชายาอาน พวกเขาจึงกลับมาดู”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดถึงตระกูลซู ยังนึกว่าเป็นตระกูลซูของเสียนเฟย ในขณะที่นิ่งอึ้ง ค่อยจำได้ว่าเป็นครอบครัวของพระชายาอ๋องชินเฟิงอัน
ฉางกงกงพูดขึ้นว่า “อีกสองวันก็จะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้าพระยาซูกั๋ว พวกเขากลับมาเพื่อที่จะเซ่นไหว้”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น ด้วยความรู้สึกค่อนข้างสะเทือนว่า “ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเจ้าพระยาซูกั๋วก็เคยมีอำนาจ ตระกูลซูกับตระกูลฉู่ในตอนนี้เป็นเหมือนกัน ทำไมตอนนี้ถึงได้พากันลาออกจากราชการล่ะ?”
“นี่ก็เป็นสิ่งที่ตอนเจ้าพระยาซูกั๋วยังมีชีวิตอยู่ขอร้องไว้อย่างเด็ดขาด ลูกหลานตระกูลซูจะต้องค่อยๆลาออกจากงานราชสำนัก อย่างน้อยภายในสามรุ่นอายุ หากดำรงตำแหน่งอยู่ก็ไม่สามารถที่รับตำแหน่ง หลังจากสามรุ่นแล้ว สามารถสอบเพื่อเข้ารับตำแหน่งในราชสำนัก ส่วนความสำเร็จในภายหลัง แล้วแต่คนคนนั้น”ฉางกงกงพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าเจ้าพระยาซูกั๋วคนนี้มีความคิดเหมือนกับโสวฝู่ฉู่ คนเมื่อมีชื่อเสียงมาก ก็ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตี อำนาจตำแหน่งขุนนางในราชสำนักแลดูน่าเกรงขาม แต่ความจริงแล้วมีความอันตรายอยู่รอบด้าน
ยุคจักรวรรดิเผด็จการ ฮ่องเต้มีอำนาจให้มีชีวิตอยู่หรือตาย หนึ่งจักรพรรดิ หนึ่งข้าราชบริพาร ตระกูลซูมีอำนาจมาช้านานแล้ว จึงมีศัตรูนับไม่ถ้วน แม้แต่ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด ยังยากที่จะนอนหลับสนิท รู้สึกว่านั่นเป็นความอันตรายที่ใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง
รู้ทันเหตุการณ์ จางหายไปอย่างช้าๆจากจุดที่สูงสุด ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ชื่อเสียงและโชคลาภ และเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในราชสำนัก ซึ่งเอื้อต่อการกลับมาของลูกๆหลานๆอีกสามชั่วอายุคนในอนาคต เขาแหกหลักการความจริงที่ความเจริญต้องเสื่อมลง
หันกลับมามองตระกูลซูครอบครัวของเสียนเฟย ไม่มีใครสักคนที่ได้รับการยกย่อง หากผู้มีอำนาจในตระกูลซู รู้จักและเข้าใจหลักการนี้ ก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้
หยวนชิงหลิงอยู่ในวังจนถึงพลบค่ำ แล้วก็พาพวกขนมหวานออกจากวัง
พวกขนมหวานเล่นจนเหนื่อยล้าแล้ว นอนหลับอยู่บนรถม้า หยวนชิงหลิงฟังเสียงกีบม้า มองดูในหน้าอ่อนโยนของพวกเด็กน้อยตอนหลับ ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิด
จะว่าไป หลังจากที่อ๋องจี้กินแห้วในที่ว่าราชการเช้าวันที่แปดของเดือนปีใหม่ กลับถึงจวนแล้วก็ปิดประตูไม่ออกมา ทางด้านฉู่หมิงหยางเพิ่งเริ่มมีความหวัง แล้วก็ต้องว่างเปล่า อดไม่ได้ที่จะเอาไฟแห่งความโกรธทั้งหมดระบายบนตัวอ๋องจี้ ภายใต้ความโกรธเคือง ตะคอกพูดกับท่านอ๋องว่าเป็นคนไร้ประโยชน์
อ๋องจี้นึกว่านางมีความคิดเป็นอื่น ภายใต้ความโกรธเคือง จึงตบลงไปหนึ่งที
ฉู่หมิงหยางถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก ถูกด่ายังน้อยครั้ง เคยต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้เสียที่ไหน? เจึงอาละวาดโวยวายอย่างใหญ่โต ทำลายข้าวของภายในจวน ด้วยความโกรธอย่างสุดขีด อ๋องจี้ชักแขนเสื้อขึ้นแล้วก็ออกไป
ฉู่หมิงหยางทำลายข้างของไปหนึ่งรอบ ร้องไห้ไปหนึ่งยก รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว ด้วยความท้อแท้ใจ แล้วก็เห็นพระชายาอ๋องจี้พาจวิ้นจู่ชมดอกเหมยอยู่ในลาน ท่าทีของนางสุขสบายใจ มีความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก ดูเหมือนจะไม่ถูกเรื่องเล็กพวกนี้พัวพัน ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธโมโหขึ้นมา วิ่งไปตรงหน้าพระชายาอ๋องจี้ แล้วก็ก่นด่าขึ้นมา