บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 742 เจ้าหญิงออกเรือน
เช้าวันรุ่งขึ้น นางจึงพาจวิ้นจู่เมิ่งเยว่ไปยังจวนอ๋องฉู่
หยวนชิงหลิงกำลังต้มยากับคุณย่า แม้จะให้ตำรับยาของเขาโรคเรื้อนไปแล้ว แต่ว่า หลังจากหายป่วยแล้ว ยังต้องการปรับสมดุลของร่างกายเพิ่มสมรรถภาพให้ดียิ่งขึ้น ฉะนั้น คุณย่าหยวนจึงอยากจะผสมยาที่เหมาะสมในหลายขนานลงไป เพื่อจะได้เหมาะแก่ร่างกายในหลายรูปแบบ
พอได้ยินว่าพระชายาจี้พาจวิ้นจู่เมิ่งเยว่มา คุณย่าหยวนก็ให้หยวนชิงหลิงไปต้อนรับแขก นางจะทำการผสมยาเอง
หลังจากล้างมือแล้วหยวนชิงหลิงก็เดินออกไป เมิ่งเยว่เห็นหยวนชิงหลิง ก็รีบย่อตัวคำนับทันที “เมิ่งเยว่คำนับอาสะใภ้ห้า”
หยวนชิงหลิงเองก็เคยพบกับเมิ่งเยว่เพียงสองสามครั้งเท่านั้น เป็นเด็กที่เรียบร้อยเชื่อฟัง สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง หยวนชิงหลิงรู้สึกชอบ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ทำไมเสด็จแม่ของเจ้าจึงยอมพาเจ้าออกมาได้ ไม่กลัวข้าลักตัวเจ้าไปหรือ”
พระชายาจี้ด่ายิ้มๆว่า “พูดอะไร ถ้าเจ้าชอบเมิ่งเยว่ นั่นก็เท่ากับเป็นวาสนาของนาง ให้เจ้าเก็บเอาไว้ก็พอ ประเดี๋ยวข้าจะไปเก็บที่นอนของนางส่งมาให้ ”
หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงต้องเอาชีวิตข้าแน่ๆ”
นางเชิญทั้งสองคนเข้าไปนั่ง แล้วก็ให้คนไปเอาเมล็ดแตงโมถั่วและของว่างมาให้เมิ่งเยว่กิน
พระชายาจี้ถามว่า “ตอนนี้เจ้าห้าเป็นอย่างไรบ้าง ”
แม้ว่าเรื่องของเสียนเฟยจะไม่ถูกเปิดเผยออกมา แต่พระชายาจี้มีหูตาอยู่เต็มไปหมด นางย่อมรู้เรื่องดี
หยวนชิงหลิงหลุบตาลง ไม่อยากจะพูดอะไรมากต่อหน้าเด็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงพูดเสียงเรียบๆว่า “เขาสามารถแบกรับและผ่านมันไปได้แน่”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ”พระชายาจี้พยักหน้า รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
นางพูดกับเมิ่งเยว่ว่า “เจ้าไปที่เรือนหลังบ้านไปเล่นกับน้องๆไป”
เมิ่งเยว่ชอบเหล่าของว่างมาก พูดอย่างดีใจว่า “เพคะ”
นางยืนขึ้นย่อคำนับให้กับหยวนชิงหลิง “ท่านอาสะใภ้ห้า เมิ่งเยว่ขอตัวก่อน”
หยวนชิงหลิงมองนางด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ”
เมิ่งเยว่หมุนตัวเดินออกไปอย่างดีใจ ออกจากประตูก็กระโดดโลดเต้นไปยังเรือนหลังบ้าน
หยวนชิงหลิงเก็บสายตากลับมา มองพระชายาจี้และพูดว่า “จวิ้นจู่เชื่อฟังน่ารักมาก เจ้าอบรมสั่งสอนได้ดีมาก ”
พระชายาจี้เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า มองหยวนชิงหลิงด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดล้อเล่นกับเจ้า ข้าหวังว่าจะฝากฝังเมิ่งเยว่ไว้ให้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะยินดีหรือไม่ก็ตาม จำเป็นต้องช่วยข้าในเรื่องนี้ ”
หยวนชิงหลิงอึ้งไปเล็กน้อย “ฝากฝังให้ข้า หมายความว่าอย่างไร เจ้าจะไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้วหรือ จะไปไหนกัน ”
พระชายาจี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าหวังว่านางจะสามารถเรียนวิชาแพทย์กับเจ้า คำนับเจ้าเป็นอาจารย์”
หยวนชิงหลิงทำสีหน้าไม่ถูก “ข้าจะมีความสามารถอะไรที่จะรับลูกศิษย์ได้ ”
“เจ้าจะเปิดโรงเรียนแพทย์อยู่แล้ว ทำไมจะไม่สามารถรับนางเอาไว้ได้“พระชายาจี้ถาม
หยวนชิงหลิงเห็นนางจริงจังมา ก็จริงจังตามไปด้วย “ไม่ใช่ข้าไม่รับนาง แต่คนที่เรียนวิชาแพทย์ต่างก็เข้ามาอยู่ในโรงเรียนแพทย์ นางเป็นจวิ้นจู่ของราชวงศ์ อ๋องจี้จะยอมให้นางปรากฏตัวในวงสังคมหรือ แม้อ๋องจี้จะยินดี ในวังต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ”
“อีกอย่าง ทำไมเจ้าจึงได้เกิดความคิดว่าจะให้จวิ้นจู่เรียนวิชาแพทย์ขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ”
พระชายาจี้เอ่ยว่า “ในวังข้าย่อมมีวิธีการเกลี้ยกล่อม เจ้าแค่บอกมาว่า เจ้ายินดีจะรับนางเป็นลูกศิษย์หรือไม่ก็พอ”
“รับลูกศิษย์ ……มันดูเป็นคำพูดที่เป็นทางการในยุทธภพมากเกินไป หากนางต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์ ข้าสามารถให้คนสอนนางได้ แต่การรับเป็นลูกศิษย์ข้าคิดว่าละเว้นไปเสียเถอะ”
หยวนชิงหลิงพูด
นางรู้ เป่ยถังนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องหนึ่งวันเป็นอาจารย์ ดั่งพ่อลูกกันชั่วชีวิต ความรับผิดชอบนี้หนักหนาเกินไป
“ไม่ ข้าต้องการให้นางคุกเข่าต่อหน้าเจ้าอย่างเป็นทางการ โขกหัวคำนับเจ้าเป็นอาจารย์ ”พระชายาจี้เอ่ยอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
หยวนชิงหลิงมองนางอย่างระอาใจ “เจ้าไปถูกแรงกระตุ้นอะไรมา ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการให้ข้าปกป้องจวิ้นจู่ แต่ว่า แม้ข้าจะไม่รับนางเป็นลูกศิษย์ ข้าก็สามารถปกป้องนางได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นหลานสาวของเจ้าห้า อีกอย่าง มีแม่ที่ฉลาดอย่างเจ้าอยู่ด้วย นางต้องไม่ได้รับความลำบากแน่ ”
พระชายาจี้กลับยืนขึ้นมา คำนับให้กับหยวนชิงหลิง “เจ้าจำเป็นต้องตอบตกลงข้า วันนี้พ่อของนางพูดประโยคหนึ่ง บอกว่าจะใช้การแต่งงานของนางมาช่วยเสริมอำนาจของเขา เขาไม่ได้พูดปากเปล่าเป็นแน่ เกรงว่าจะคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ภายหน้าเรื่องการแต่งงานของจวิ้นจู่ข้าจะสอดปากถามมากไม่ได้ แต่ถ้าหากเจ้าเป็นอาจารย์ของนาง เจ้ายังสามารถโต้แย้งได้บ้าง”
“การแต่งงาน ปีนี้จวิ้นจู่เพิ่งจะกี่ขวบกัน ทำไมจึงพูดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว ยังไม่พ้นช่วงวัยเด็กเลย”หยวนชิงหลิงประหลาดใจ
พระชายาจี้เอ่ยอย่างตื่นตระหนกว่า “ปีนี้อายุสิบสองแล้ว อีกสามปีก็จะพ้นช่วงวัยเด็กแล้ว และตอนนี้ก็สามารถกำหนดเรื่องแต่งงานไว้ก่อนได้แล้ว ข้าเกรงว่าเขาจะเดินหมากทางนี้จริงๆ พระชายารัชทายาท เจ้าก็รู้ว่าเมิ่งเยว่เป็นชีวิตจิตใจของข้า ข้าไม่อาจให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับนางได้ แม้จะมีความเป็นไปได้แค่เสี้ยวเดียวก็ตาม”
หยวนชิงหลิงนึกถึงอ๋องจี้ที่เป็นคนกระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์ของตัวเอง โดยเฉพาะตอนนี้ที่ถูกขัดขวางอยู่เสมอหลายครั้ง เงินทองของเขาก็ร่อยหรอ ถ้าหากจะทำเพื่อรวบรวมอำนาจ อนุญาตให้จวิ้นจู่แต่งงานกับตระกูลใหญ่ที่สูงส่งตามอำเภอใจ เช่นนั้นคงจะเป็นการเอาชีวิตอย่างแท้จริง
หยวนชิงหลิงพูด “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าอยากจะทำเช่นนี้ เช่นนั้นทำตามที่เจ้าพูดเถอะ”
ดวงตาของพระชายาจี้มีน้ำตารื้นขึ้นมา “ขอบคุณมาก ”
หยวนชิงหลิงมองนาง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ยังจะพูดขอบคุณอะไรกัน ปีสองปีมานี้ เจ้าเองก็ช่วยเหลือข้าไม่น้อย คิดไม่ถึงจริงๆ เจ้ากับข้าจะกลายเป็นสะใภ้ร่วมตระกูลที่ดีต่อกันได้”
พระชายาจี้เช็ดน้ำตา คิดถึงเรื่องเก่าๆแล้วก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ใช่แล้ว ชีวิตคนเรามีแต่เรื่องที่คาดเดาไม่ถึงเกิดขึ้นจริงๆ”
เรื่องที่จะรับจวิ้นจู่เมิ่งเยว่เป็นลูกศิษย์ พระชายาจี้นั้นทำอย่างเปิดเผยมาก และนางก็ฉลาดมาก เพื่อเป็นการอุดปากของอ๋องจี้ ยังขอร้องให้ไทเฮามีพระราชโองการเป็นการเฉพาะ เดิมทีไทเฮาไม่เห็นด้วย แต่พอได้ยินว่าสามารถเรียนรู้วิชาแพทย์ที่มีเป็นสามารถพิเศษที่จะทำให้คนฟื้นขึ้นจากความตายได้ ไทเฮาจึงตอบตกลงอย่างยินดี
เพราะว่า หยวนชิงหลิงเป็นคนนอกตระกูล ถ้าหากความสามารถของนางได้รับการถ่ายทอดสู่คนของราชวงศ์ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไม่กว่านี้แล้ว
เพราะว่าไทเฮาเองก็เห็นด้วย อ๋องจี้เองก็หมายจะเอาใจไทเฮามาตลอด แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าจะขัดใจ ฉะนั้น ในใจย่อมมีความเกลียดชังในตัวหยวนชิงหลิงไม่น้อย ก็ได้แต่มองจวิ้นจู่เมิ่งเยว่คุกเข่าคำนับต่อหน้านางเรียกนางว่าครูเท่านั้น
คำเรียกขานว่าครู เป็นความแน่วแน่ของหยวนชิงหลิง เดิมที่เมิ่งเยว่เรียกนางว่าอาจารย์
เพียงพริบตาเดียวก็ถึงวันงานแต่งงานของท่านชายสี่เหลิ่งกับเจ้าหญิงแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนมีบัญชาให้สร้างจวนเจ้าหญิงขึ้นมา แต่เพราะว่าขาดสนเงินทอง คงไม่มีทางสำเร็จได้ภายในสองสามปีนี้ หลังจากแต่งงานท่านชายสี่เหลิ่งจึงเชิญเจ้าหญิงที่พำนักที่บ้านตระกูลเหลิ่งก่อนเป็นการชั่วคราว
กาลเวลาล่วงเลยมาจนถึงเทศกาลหยวนเซียว ในเมืองหลวงเต็มไปด้วยผู้คนที่พลุกพล่านกับบรรยากาศครึกครื้น
การแต่งงานครั้งนี้เดิมทีก็สั่นสะเทือนเลือนลั่นอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมุงดูค่อนข้างมาก
และแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมาร่วมงานก็มีมากมาย ตั้งแต่สมาชิกในราชวงศ์ชั้นสูงไปจนถึงขุนนางใหญ่ราชสำนัก จวบจนถึงพ่อค้าที่มีชื่อเสียงในด้านต่างๆ นักปราชญ์ชาวบุ๋น งานแต่งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หยวนชิงหลิงเข้าวังไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มองเจ้าหญิงที่แม้แต่กระดิ่งลมก็เก็บไปไว้ในกล่อง ต้องการจะเอาออกจากวังไปด้วย
รายการสินสอดติดตัวที่จะนำไปด้วยยาวเป็นหางว่าว และเยอะมาก เห็นได้ชัดว่าแม้ฮ่องเต้หมิงหยวนจะยากจนข้นแค้น แต่ดีที่มีญาติในราชวงศ์ที่ร่ำรวยเยอะ ทุกคนต่างก็เพิ่มสินสอดติดตัวให้ ทำให้เจ้าหญิงมีขบวนสินสอดยาวเป็นสิบลี้
ฮ่องเต้หมิงหยวนยังให้สินสอดติดตัวที่มีมูลค่าสูง ให้ไร่นาจำนวนเจ็ดร้อยกว่าไร่ บ้านพักอีกสองหลัง ตำหนักเจ้าหญิงกำลังดำเนินการก่อสร้าง ร้านค้าก็มีเจ็ดแปดร้าน ขุนนางในจวนและบ่าวรับใช้รวมกันแล้วมีมากกว่าสามสิบคน
ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันมีหวงกุ้ยเฟยและกรมวังเป็นคนจัดการทั้งหมด แบ่งเป็นหลากหลายประเภท ทุกรายการล้วนครบถ้วน หยวนชิงหลิงมองรายการสินสอด ดูจนตาลายไปหมด มีทั้งชาดทาปากสีแดงดอกฝ้ายสี่กล่อง แป้งสองกล่อง ชาดทาปากสีชมพูพุดตานสองกล่อง ชาดทาปากสีแดงเหล้าองุ่นสองกล่อง เชือกประดับผมสี่กล่อง น้ำมันดอกหอมหมื่นลี้สองกล่อง สบู่รูปทรงไข่ห่านสองกล่อง ……ดูจนสุดท้ายนางก็ละความสนใจ สรุปแล้ว ไม่ขาดเหลืออะไรเลยก็แล้วกัน
ในวันงานแต่งงาน เตรียมสินสอดติดตัวทั้งหมดแล้วนับดู มีมากถึงยี่สิบกว่าคันรถม้า นับได้ว่ามีหน้ามีตาอย่างไร้ขอบเขตจริงๆ
ก่อนถึงเวลาอันเป็นมงคล หยู่เหวินหลิงก็ไปคำนับกล่าวลาที่ตำหนักฉินคุนพร้อมกัน หยวนชิงหลิงและพระชายาทั้งหลายต่างก็เข้าไปพร้อมกัน หลังจากออกมาจากการคำนับลาแล้ว ตอนที่เดินผ่านตำหนักชิ่งหยู ฝีเท้าของหยู่เหวินหลิงก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วก็คุกเข่าลงคำนับ หยวนชิงหลิงมองเห็นไหล่ของนางสั่นระริก รู้ว่านางกำลังร้องไห้
หรงเยว่ประคองนางเอาไว้ ได้ยินนางพูดเบาๆหนึ่งประโยคว่า “เสด็จแม่ ลูกแต่งงานออกเรือนแล้ว”
น้ำเสียงสะอื้น
หรงเยว่หันไปมองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง ต่างก็ถอนหายใจเบาๆ