บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 743 นางเคยพูดอะไรหรือไม่
ท่านอ๋องทั้งหลายต่างก็รออยู่ที่ประตูวัง ต่างจะไปส่งตัวน้องสาวในวันแต่งงาน
หยู่เหวินเห้าสวมชุดประจำตำแหน่งรัชทายาทสีแดง บนศีรษะสวมหมวกประดับอัญมณี สีหน้าดูเหี่ยวเฉาอิดโรย ในสายตาก็เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ซับซ้อนไปหมด
สมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงไม่ไปส่งตัวเจ้าสาว มีเหล่าอ๋องไปส่งเกี้ยวเจ้าสาวออกนอกวังก็พอแล้ว ท่านอ๋องทุกคนต่างก็ขี่ม้าที่รูปร่างสูงใหญ่สง่างาม เปิดทางเป็นกองเกียรติยศ เคลื่อนขบวนไปยังจวนเหลิ่งอย่างยิ่งใหญ่
นางมองเห็นหยู่เหวินเห้าที่ควบม้าออกไปได้ประมาณสิบเมตร ก็หันหน้ากลับมาอย่างกะทันหัน แววตาเจ็บปวดรวดร้าวมองไปยังหลังคาที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆของวังที่สร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่แวบหนึ่ง สุดท้ายแววตาก็จรดลงที่ใบหน้าของหยวนชิงหลิง เหมือนเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่พูดอะไรเลย หันหน้าควบม้าจากไป
อากาศดีมาก แสงอาทิตย์สาดส่องสว่างไสว ลมพัดโชยมาค่อนข้างอบอุ่น รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายและชีวิตชีวาของฤดูใบไม้ผลิที่เต็มเปี่ยมไปทุกที่ ราวกับความหนาวเหน็บได้ถอยร่นไปจากโลกใบนี้แล้ว
แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากช่องว่างบนยอดไม้ของต้นฉัตรจีน ส่องกระทบกำแพงวังที่เป็นสีแดงหลากหลายสีรวมกัน กำแพงวังนี้ มองเห็นจนหมดสิ้นแล้วถึงหัวใจคนแตกซ่านกระจัดกระจาย ตั้งตระหง่านไม่มีวันล้ม
หยวนชิงหลิงเดินกลับเข้าไปในวังคนเดียว การกล่าวลาด้วยสายตาของเจ้าห้าเมื่อครู่ จิตใจของสามีภรรยาสื่อถึงกันได้ นางรู้ความหมายของเขา
วันนี้หยู่เหวินหลิงแต่งงานออกเรือน ที่จริงคนที่สมควรจะดีใจที่สุดก็คือเสียนเฟยที่อยู่ในตำหนักชิ่งหยู
แต่นางตายแล้ว ไม่ได้เห็นฉากนี้อีกแล้ว
หยวนชิงหลิงกลับไปที่ตำหนักชิ่งหยู
กู้ซือได้สั่งให้คนเฝ้าที่นี่เอาไว้ ข้างในไม่ได้จุดธูป ไม่มีการเผากระดาษ และไม่มีใครคอยเฝ้าศพ ร่างไร้วิญญาณของเสียนเฟยถูกตั้งวางไว้บนเตียงอย่างเงียบสงบ
อากาศหนาวเหน็บ แม้ศพจะถูกวางไว้เจ็ดแปดวันแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏอาการเน่าเปื่อยที่เป็นบริเวณกว้าง มีกลิ่นเหม็น แต่ตอนที่นางเดินเข้ามา ได้เปิดหน้าต่างทั้งสี่ด้านออก กลิ่นจึงกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ก็ค่อยยังชั่ว
หลังมือได้ปรากฏร่องรอยเน่าเปื่อยเป็นสีเขียวอ่อน เห็นที อีกไม่กี่วัน คงจะเกิดการบวมและเน่าเปื่อยแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่นี่มีการวางเตาถ่านเอาไว้ หลังจากที่เอาเตาถ่านออกไปก็มีการปิดประตูหน้าต่างจนสนิท ด้วยเหตุที่ลมไม่สามารถพัดเข้ามาได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะอากาศที่หนาวเย็นมาขนาดนี้ เกรงว่าคงจะเกิดเหตุการณ์ศพขึ้นอืด
เพราะใบหน้าของศพไม่เคยได้รับการจัดการอะไร ฉะนั้น นางยังคงสวมชุดก่อนที่นางจะตาย ไม่ได้ห่มผ้าห่ม ช่วงอกและบริเวณท้องเห็นได้ชัดว่ามีความบวมขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว นิ้วมือมีร่องรอยที่เคยถูกหนูกัดแทะ มีน้ำเหลืองไหลออกมาจากศพ
ศีรษะและใบหน้าของนางถูกผ้าขาวผืนหนึ่งปกปิดเอาไว้ นอนอย่างนิ่งสงบอยู่เช่นนั้น ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
เพราะแต่ไหนแต่ไรนางเป็นคนชอบก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย หยวนชิงหลิงยืนอยู่ตรงหน้าเตียง ในใจยังคงรู้สึกเกิดภาพลวงตา คิดว่านางจะกระโดดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ใช้แววตาที่เย็นชาเกลียดชังมองมาที่นาง จากนั้นก็ด่านางว่าตัวหายนะ
สุดท้ายหยวนชิงหลิงก็ยังคงเดินหน้าเข้าไปเลิกผ้าขาวที่ปิดหน้าของนางออก ดวงตาของนางได้ปิดลงแล้ว ใบหน้ากับหลังมือมีรอยสีเขียวจางๆปรากฏขึ้นเหมือนกัน รูปหน้ามีการเปลี่ยนไปบ้าง เบ้าตาลึกลงไป แต่ว่าใบหน้ากลับบวมเบ่งขึ้นมา บวมขึ้นมาจนผิวหน้าเต่งตึงราวกับจะระเบิดน้ำเหลืองออกมาอย่างไรอย่างนั้น ราวกับปลาปักเป้าที่กำลังโมโห
ในสมองของหยวนชิงหลิงเอาแต่ตักตวงภาพก่อนหน้านี้ของนางอย่างสุดกำลัง แต่ภาพที่เป็นมิตรนั้นมีไม่มากเลย แทบจะปะติดปะต่อเป็นภาพใบหน้าที่มีรอยยิ้มไม่ได้เลย
“แม้ข้าจะไม่ชอบท่าน แต่ข้าเห็นใจและสงสารในชีวิต”หยวนชิงหลิงพูดเสียงเบา “คำพูดที่ท่านให้ข้าบอกกับเจ้าห้าก่อนจะตาย ข้าจะบอกเขาให้ แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้ รอให้ข้าเองก็ถึงเวลาใกล้ตายเสียก่อน ข้าจึงจะบอกเขา ท่านเคยกำชับเขาว่าฆ่าข้าเพื่อล้างแค้นให้ท่าน”
นางรู้สึกว่านี่มันช่างเป็นการเสียดสียิ่งนัก แล้วก็พูดว่า “ที่จริงข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมท่านจึงได้เกลียดชังข้าถึงขนาดนี้ ท่านคิดจริงๆหรือว่าที่เจ้าห้าทำทุกอย่างในตอนนี้ช่วงเวลานี้เป็นข้าที่คอยบงการเขา ไม่ใช่เลย เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว มีความคิดเป็นของตัวเอง มีจิตใจแยกแยะดีชั่ว รู้จักแบ่งแยกขาวดำ มีขอบเขตเหล่านี้เป็นบรรทัดฐานอยู่ เขาไม่มีวันที่ฟังคำพูดของท่านหรือข้าทั้งหมด และข้าคิดว่า ถ้าหากท่านกับข้าต่างก็รักเขาอย่างสุดหัวใจ สมควรที่จะเคารพความคิดของเขา ไม่ใช่การคิดจะใช้ความคิดของตัวเองไปควบคุมการกระทำของเขา กลับกัน ตระกูลซูต่างหากที่เป็นผู้ใหญ่แต่ตัวสมองยังเด็กอย่างแท้จริง ท่านทุ่มเทและลำบากทั้งชีวิตในการสนับสนุนพวกที่โตแต่ตัวเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่ได้เติบโตขึ้นเลย แม้กระทั่ง ความรู้ผิดชอบชั่วดีพื้นฐานก็ไม่มี ข้าไม่รู้ว่าช่วงเวลาก่อนที่ท่านจะตายเคยรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ข้าหวังจริงๆว่าท่านจะสามารถลืมตาขึ้นมามองดู คนตระกูลซูที่ท่านคอยห่วงใยอยู่ตลอดนั้นไม่มีใครหลั่งน้ำตาเสียใจกับการตายจากไปของท่านเลย กลับเป็นเจ้าห้ากับเจ้าหญิง เจ็บปวดใจอย่างที่สุดกับการกระทำทุกสิ่งและการจากไปของท่าน ”
“วันนี้เจ้าหญิงแต่งงานออกเรือนแล้ว นี่หมายความว่าเป่ยถังกำลังจะเข้าสู่การบุกเบิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ถ้าหากวิญญาณท่านได้ไปสถิตอยู่บนสวรรค์อย่างที่ใครๆเขาว่ากันจริงละก็ หวังว่าท่านจะสามารถคุ้มครองให้นางมีความสุขสุขสงบสมบูรณ์แข็งแรง ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นตลอดไป เป็นแม่คน ที่จริงนี่คือเรื่องที่เป็นพื้นฐาน ไม่ใช่หรือ”
หยวนชิงหลิงพูดจบ โค้งร่างลง คำนับลาและออกไป
ในวังยังคงมีงานเลี้ยงฉลองการแต่งงาน มีการเชิญเหล่าญาติมิตรในราชวงศ์ หยวนชิงหลิงไม่มีกะจิตกะใจที่จะดื่มฉลอง กินอาหารนิดหน่อยแล้วก็เดินทางกลับจวน
นางกลับไปถึงจวน คุณย่าหยวนกำลังนั่งตากแดดอยู่หน้าระเบียง นางนั่งอยู่ข้างเท้าของคุณย่า อิงแอบอยู่บนเข่าของนาง พูดเสียงเบาว่า
“คุณย่า ท่านคิดว่าในครอบครัว ทำไมต้องเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกันนะ”
“นั่นมันเป็นบางรายเท่านั้น ”คุณย่าหยวนเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง และเห็นเรื่องราวบนโลกมาหมดแล้ว ยิ้มและลูบที่ผมของนาง “ครอบครัวภายใต้แผ่นฟ้านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นความงดงาม ”
หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองนาง มองไปยังดวงตาที่อบอุ่นของนาง คิดถึงนางที่ทะลุเวลามิติมาอยู่ข้างกายของตนเอง ความรักในครอบครัวเช่นนี้ต่างหากที่ทุกคนต่างใฝ่หา
นางโชคดีกว่าเจ้าห้ามากยิ่งนัก
“ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ พบเจอกับเรื่องราวโหดร้ายต่างๆนานา สุดท้ายก็ต้องมีด้านที่มีน้ำใจ ผู้คนต่างก็เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น แม้แต่ขอทานที่อยู่ข้างถนน ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม มีชีวิตยากจนข้นแค้น แต่เขาย่อมต้องได้รับช่วงเวลาที่มีสายตาแห่งความสงสารเห็นใจมองมาสักครั้ง”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าเงียบๆ ในใจกลับถูกความอัดอั้นสายหนึ่งกดทับเอาไว้ไม่สามารถสลายหายไปได้
ทางด้านจวนเหลิ่ง แน่นอนว่าต้องคึกคักมาก แต่หยวนชิงหลิงกลับไม่อยากจะไปมีส่วนร่วมในความคึกคักนี้เลย ได้แต่ส่งคนไปดูแลเจ้าห้า
บางทีเขาอาจจะดื่มเหล้า เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของเขาในตอนนี้ ให้เขาได้ปล่อยตัวเองตามใจหนึ่งคืน เขาก็ควรจะปล่อยวางซะบ้าง
หยวนชิงหลิงพาเด็กๆเล่นกันชั่วครู่ ก็กลับไปยังตำหนักเซี่ยวเยว่
เดิมคิดว่าหยู่เหวินเห้าคงจะกลับมาดึกแน่ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะถึงเวลายามไฮ่(21.00-23.00น.) เขาก็เดินเข้าประตูมาแล้ว
บนร่างของเขาไร้ซึ่งกลิ่นอายของเหล้า
หยวนชิงหลิงถอดเสื้อคลุมออกให้เขา ถามว่า “ไม่ดื่มเหล้าหรือ ”
หยู่เหวินเห้ายื่นมือมากอดนางเอาไว้ ใช้คางเกยไว้บนใบหน้าของนาง คางของเขาเย็นมาก “ไม่ดื่ม ถ้าดื่มแล้ว อารมณ์บางอย่างจะเก็บไว้ไม่อยู่ ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกเจ็บปวดในใจ นั่งลงพร้อมกับเขา รินน้ำชาร้อนๆให้เขาหนึ่งแก้ว จ้องมองแววตาที่ลึกล้ำของเขานิ่งๆ “วันนี้หลังจากส่งขบวนเจ้าสาวแล้ว ข้าก็ไปดูเสด็จแม่ ”
“ขอบคุณ”เขากุมมือของนางเอาไว้ หลุบตาลง น้ำเสียงเหงาและเย็นยะเยือกอย่างไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ ทำให้หยวนชิงหลิงฟังแล้วรู้สึกปวดใจ
“อย่าเป็นอย่างนี้”หยวนชิงหลิงพูดปนเสียงสะอื้น
หยู่เหวินเห้ายื่นมือออกไป นิ้วของเขาสัมผัสใบหน้าของนาง ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่เป็นไร ก็แค่เสียใจที่เสด็จแม่จากไปแล้ว คงไม่อาจรู้สึกดีขึ้นได้ในเร็ววันนี้ ให้เวลาข้าสักหน่อย”
“ถ้าหากท่านอยากจะร้องไห้ ก็ร้องออกมาเถอะ”หยวนชิงหลิงจับมือของเขาเอาไว้ เอามาวางไว้ในอุ้งมือของตนเอง จากนั้นมือทั้งคู่ก็ประกบมือของเขาเอามาวางไว้ที่อก
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ก็อยากจะร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก บางทีนิสัยที่แท้จริงของข้าอาจจะเป็นคนเย็นชาก็ได้”
“ไม่ใช่ อย่าว่าตัวเองเช่นนี้ ”หยวนชิงหลิงไม่รู้จะปลอบใจเขาอย่างไร เขากับหลิงเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน แค่นิทานกระดิ่งลมก็สามารถทำให้หลิงเอ๋อร์หยุดร้องไห้ได้ แต่เจ้าห้าไม่ใช่
“ไม่ช้าก็จะดีขึ้น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า”เขาหอมไปที่หน้าผากของนางหนึ่งที น้ำเสียงเย็น“ก่อนนางจะจากไป เคยพูดอะไรหรือไม่”