บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 749 ฮ่องเต้หมิงหยวนเป็นลม
ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งเสียง “ด้านนอกของตำหนักชิ่งหยูมีทหารรักษาพระองค์เฝ้าดูอยู่ แม้เสียนเฟยจะคลุ้มคลั่งวิ่งออกมา ก็ต้องผ่านด่านทหารรักษาพระองค์ เจ้าให้กู้ซือไปตรวจสอบทหารรักษาพระองค์ให้แน่ชัด ดูสิว่ามีใครบ้างที่ถูกวังหลังซื้อตัวไว้แล้ว ตรวจทุกคนให้ครบถ้วน ลงโทษอย่างหนักไม่มีละเว้น ”
มู่หรูกงกงลังเลอยู่ชั่วครู่ “ฮ่องเต้ ตอนนั้นที่เสียนเฟยวิ่งออกไป เป็นการใช้ปิ่นปักผมจี้ที่คอของตัวเอง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่กล้าทำอะไร”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตบโต๊ะ พูดเสียงดุว่า “ข้ออ้าง ถ้าหากไม่มีการสมรู้ร่วมคิดทั้งภายในและภายนอก ไหนเลยที่นางจะวิ่งออกมาได้ง่ายๆ ยังมีอีก ในตำหนักชิ่งหยู จะมีอาวุธแหลมคมอยู่มากแค่ไหน พวกเจ้าเคยไปนับดูกล่องเครื่องประดับของนางหรือไม่ ช่างฝีมือในวังนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ทำของเหล่านี้ คนในวังของนาง ถ้าหากมีการสั่งให้ออกไปข้างนอก แล้วออกไปนานเท่าไหร่ ไปที่ไหนล้วนต้องกลับมารายงาน ตรวจสอบ ตรวจสอบให้หมด ดูว่าจะมีบ่าวรับใช้คนไหนอีกที่คอยส่งข่าวระหว่างนางกับตระกูลซู ใครช่วยนางเตรียมอาวุธเหล่านี้เอาไว้”
มู่หรูกงกงได้ยินน้ำเสียงของเขาที่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ก็ไม่กล้าจะช่วยทหารรักษาพระองค์อีก
ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจ ทั้งบนล่างในตำหนักชิ่งหยู จะไม่มีคนทำลับๆล่อๆได้อย่างไร เพียงแต่มู่หรูกงกงคิดว่า การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบไปทั้งหมด ถ้าหากจะสืบค้นให้ลึกลงไป เกรงว่าจะไม่มีใครที่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งสิ้น
เดิมทีทั้งเรื่องราวและคนในแต่ละตำหนักนั้นต่างก็สลับซับซ้อนยากแก่การแก้ไขอยู่แล้ว ไม่ว่าตำหนักของใครก็มีผู้คอยประสานงานของตำหนักอื่นแฝงตัวอยู่ ตั้งแต่รัชสมัยของไท่ซ่างหวงก็เป็นเช่นนี้แล้ว
ถ้าหากมีการตรวจสอบจริงๆ วังหลังคงต้องสั่นสะเทือนกันไปหมดเป็นแน่
บวกกับหวงกุ้ยเฟยก็เพิ่งจะเริ่มกำกับดูแลงานในหกตำหนักแห่งวังหลัง ถ้าหากมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด นางคงต้องล่วงเกินคนบางส่วน เริ่มสร้างศัตรูขึ้นมา
แต่ว่า มู่หรูกงกงก็รู้ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงได้โกรธกริ้วถึงเพียงนี้ เขานั้นไม่คิดจะลงโทษฮองเฮาแล้ว แต่ไฟที่สุมในอกนี้ต้องหาที่ระบายออกมาจึงจะได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้เบี่ยงเบนความกราดเกรี้ยวนั้นไปยังเหล่าทหารรักษาพระองค์และบ่าวรับใช้ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในตำหนักชิ่งหยู
ฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆสงบจิตใจลงได้แล้ว ลุกยืนขึ้นเอามือไขว้หลังเดินออกไป ในห้องทรงพระอักษร บ่าวรับใช้ในวังได้ทำตามความคุ้นชินของเขาที่ผ่านมา จุดตะเกียงในตำหนักจนสว่างไสวไปทั่ว
ในตำหนักนั้นมีตี้หลง(เป็นช่องใต้ดินที่ส่งต่อไอร้อนเข้าห้อง) ไออุ่นนั้นถูกส่งผ่านขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า ฮ่องเต้หมิงหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร มองฎีกาที่กองทับกันเป็นภูเขา แล้วก็นึกถึงเรื่องที่น่าปวดหัวทั้งในราชสำนักและวังหลัง ความโกรธที่เพิ่งจะสะกดกลั้นเอาไว้ได้ก็พุ่งขึ้นมาอีก หยิบเอาแท่นหมึกที่ฝนเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเขวี้ยงออกไปเต็มแรง
มู่หรูกงกงตกใจจนรีบไล่ให้บ่าวที่คอยรับใช้อยู่ทั้งซ้ายขวาออกไป แล้วก็เก็บแท่นหมึกขึ้นมาเดินเข้าไปถวาย พูดเสียงเบาว่า “ฮ่องเต้ ใยฝ่าบาทต้องใช้ของตายเหล่านี้ระบายอารมณ์ด้วยเล่า ของตายเหล่านี้ไม่มีความรู้สึก ตรงข้ามกลับเป็นการทำร้ายพระวรกายของพระองค์เอง”
สีหน้าของฮ่องเต้หมิงหยวนเขียวคล้ำ แววตาที่มีไฟแลบแปลบปลาบจ้องมองมู่หรูกงกง “แม้แต่เจ้าเองก็คิดว่าข้าไม่เอาไหนใช่หรือไม่ รู้ดีอยู่แล้วว่าฮองเฮาเป็นคนก่อเรื่อง แต่กลับไม่กล้าแตะต้องนาง”
มู่หรูกงกงได้ยินคำพูดนี้ เกือบจะทนไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา รีบพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ฮ่องเต้ ข้าน้อยจะมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน คนอื่นไม่เข้าใจ ข้านั้นเข้าใจฝ่าบาทมากที่สุด ฝ่าบาททรงคำนึงถึงส่วนรวม ไม่อยากจะให้วังหลังต้องวุ่นวายในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ และเกรงว่าจะควบคุมทางด้านตระกูลฉู่ไม่ได้ แล้วยังมีตระกูลซูที่ก่อความวุ่นวายขึ้นมา จึงทำให้เรื่องนี้ถูกปิดบังเอาไว้”
อย่างไรก็ตามฮ่องเต้หมิงหยวนก็ได้พูดออกมาแล้ว ทางที่ดีก็พูดออกมาให้หมดไม่เช่นนั้นคงไม่สบายใจ “ข้าไม่ใช่ไม่สามารถแตะต้องฮองเฮาได้ ข้าจะปลดนางก็ทำได้ แม้ว่าตระกูลฉู่ตอนนี้จะดูเหมือนเป็นพระอาทิตย์ที่เจิดจ้าอยู่กลางท้องฟ้า โสวฝู่ฉู่เองก็แทบจะปิดแผ่นฟ้าได้ด้วยฝ่ามือ แต่ก็ล้วนไม่สำคัญ ไม่ว่าโสวฝู่จะเป็นอย่างไร ก็จงรักภักดีต่อข้าเสมอ การแตะต้องตำแหน่งฮองเฮา แม้จะนำมาซึ่งความไม่ชอบใจของตระกูลฉู่ แต่ก็ไม่ได้มีผลร้ายที่จะตามมามากนัก ”
มู่หรูกงกงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว
คิ้วของฮ่องเต้หมิงหยวนขมวดแน่นเป็นปม ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าใจ “ข้าก็ล่วงเลยมาถึงวัยกลางคนแล้ว หลายปีมานี้ได้ถูกเรื่องการเมืองการปกครองหล่อหลอมให้เป็นคนใจแข็ง แต่ที่สุดแล้ว ข้าเองก็เป็นคนมีเลือดเนื้อหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาหรือเสียนเฟย พวกนางล้วนติดตามข้าตั้งแต่ข้ายังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ให้กำเนิดเลี้ยงดูลูกของข้า เป็นสามีภรรยากันมายี่สิบกว่าปีแล้ว ข้าฆ่าไปคนหนึ่ง หรือว่าต้องให้ปลดอีกคนไปด้วย ข้ารู้ว่าพวกนางต้องการอะไร เสียนเฟยเป็นมารดาของรัชทายาท ข้าไม่สามารถให้นางทำตามอำเภอใจจนทำให้ประเทศวุ่นวาย และฮองเฮาก็มีโอรสองค์ใหญ่ แต่กลับไม่สามารถถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ในใจนางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางเป็นเมียหลวงของข้า ข้าสามารถเข้าใจจิตใจของนางได้ แต่นางเป็นฮองเฮา ข้าไม่สามารถให้อภัยที่นางใช้อำนาจในการควบคุมดูแลทั้งหกตำหนักมาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นในวังตามอำเภอใจ ด้วยเหตุนี้จะลงโทษนางหรือไม่ ข้าก็ไม่เอาไหนอยู่ดี วังหลังที่ใหญ่โตนี้ ทั้งตระกูลหยู่เหวินนี้ มีใครบ้างไหมที่มีจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับข้า”
คำสุดท้ายของฮ่องเต้หมิงหยวน มู่หรูกงกงฟังแล้วก็รู้สึกทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ไม่เคยจะพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่คับฟ้า ฮ่องเต้ไม่เคยจะมีสีหน้าเปลี่ยนไป ที่สามารถจัดการได้ก็จัดการ ที่ไม่สามารถจัดการได้ก็วางเอาไว้ข้างๆก่อน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของตระกูลซูที่จริงก่อนหน้านี้ก็ตรวจสอบได้มากแล้ว แต่เพราะไม่สามารถตรวจสอบเป็นรายบุคคลได้ เขาจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน และไม่เคยต้องเสียใจเพราะเรื่องนี้
ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ฮ่องเต้นั้นไม่สามารถจัดการเรื่องราวตามแต่ใจตัวเอง แต่ล้วนเอาไปทับถมไว้ในใจ ตอนนี้ปัญหาเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นเจ้าของแห่งวังหลังอย่างฮองเฮา บวกกับมีเพิ่งจะมีการลงโทษตายกับเสียนเฟย เขาจึงเก็บกดเอาไว้ไม่ได้ชั่วขณะ
มู่หรูกงกงปลอบใจอยู่ไม่กี่คำ แต่ใบหน้าของฮ่องเต้หมิงหยวนยังคงเป็นสีเขียวคล้ำ แต่ดีที่ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาอีก ยังคงตรวจแก้ไขฎีกาต่างๆไปเรื่อยๆ
คืนนี้ไม่ได้พลิกป้ายเลือกผู้ที่จะเข้ามาปรนนิบัติ เขาตรวจฎีกาต่างๆจนถึงยามจื่อ(23.00-00.59 น.)จึงหยุดพัก
มู่หรูกงกงคอยบอกอยู่ข้างๆหลายครั้ง ฮ่องเต้หมิงหยวนใช้ให้เขาหุบปาก เขาจึงยืนสัปหงกอยู่ข้างๆ ภายหลังได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ก็รีบเข้าไปถามว่า “ฮ่องเต้ ควรพักผ่อนได้แล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนยื่นมือออกมาทาบที่หน้าอก ถามอย่างเหนื่อยล้าว่า “ทำไมจึงได้รู้สึกเจ็บที่หน้าอกนะ นี่มันเวลาอะไรแล้ว”
“อาจจะเป็น……เพิ่งจะผ่านยามจื่อพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์เป็นอะไรหรือไม่”มู่หรูกงกงรีบพูดขึ้นมา
ฮ่องเต้หมิงหยวนโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ สีหน้าขาวซีดเป็นอย่างมาก “ไม่เป็นไร เจ้าก็ไปพักเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยจะส่งฮ่องเต้กลับไปก่อน”มู่หรูกงกงหมุนตัวไปเป่าตะเกียงให้ดับ ยังไม่ทันได้เป่าลมออกจากปาก ก็ได้ยินเสียง“โครม”ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เขารีบหันกลับไปดู กลับเห็นว่าฮ่องเต้หมิงหยวนที่เดิมทียืนอยู่ข้างโต๊ะตอนนี้ได้ล้มไปบนพื้นแล้ว ไม่ขยับเขยื้อน สลบไปแล้ว
มู่หรูกงกงตกใจจนหัวใจแทบจะแตกสลาย ขาทั้งสองข้างสั่นเทาจนต้องคุกเข่าลง น้ำเสียงสั่นเครือร้องตะโกนขึ้น “เด็กๆ เด็กๆ ไปเรียกหมอหลวงมา”
ประตูของจวนอ๋องฉู่ถูกเคาะให้เปิดออกในกลางดึก สองสามีภรรยาหยู่เหวินเห้าถูกทำให้ตกใจตื่นขึ้นมาจากที่นอนอันอบอุ่น พอได้ยินว่ามีคนในวังมาหา บอกว่าฮ่องเต้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ทันใดนั้นทั้งสองก็ตื่นเต็มตา และไม่มีเวลาสนใจเรื่องการแต่งกาย รวบผมขึ้นมัด สวมเสื้อผ้าชุดหนึ่ง มือข้างหนึ่งถือรองเท้าไว้มือละข้างแล้ววิ่งออกไป
เป็นกู้ซือที่มาเชิญพวกเขาด้วยตนเอง บอกว่าฮ่องเต้เป็นลมไปอย่างกะทันหัน หมอหลวงก็กำลังเร่งเดินทางอยู่ แต่เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จึงได้มาเชิญหยวนชิงหลิงเข้าวังทันที
หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนี้ ก็รีบถามขึ้นทันทีเช่นกันว่า “หัวใจยังเต้นหรือไม่”
พอถามคำถามนี้ออกไป หัวใจของหยู่เหวินเห้าก็กระตุกไปชั่วครู่ กำลังจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้า แทบจะลื่นไถลลงมา
กู้ซือบอกว่าไม่รู้ รู้แค่ว่าหมอหลวงได้ใช้เข็ม และได้เอายารักษาโรคหัวใจจากไท่ซ่างหวงมาให้อมไว้ใต้ลิ้นแล้ว เพราะมู่หรูกงกงบอกว่าก่อนที่ฮ่องเต้จะเป็นลมล้มพับไป เคยพูดว่าเจ็บหน้าอก
หยวนชิงหลิงฟังกู้ซือพูดเช่นนี้ ก็ไม่เสียเวลาอีก รีบเข้าวังทันที
ฮ่องเต้หมิงหยวนยังคงอยู่ที่ตำหนักอุ่นในห้องทรงพระอักษร หลังจากสลบไป ไม่กล้าจะเคลื่อนย้ายไปไกล จึงได้หามเข้าไปนอนอยู่ในตำหนักอุ่นที่อยู่ใกล้ที่สุด
ในตำหนักมีหัวหน้าโรงหมอหลวงและหมอหลวงอีกสามคน ยังมีฉางกงกงกับมู่หรูกงกงเฝ้าอยู่ข้างๆ ฮู่เฟยก็มาด้วย เฝ้าอยู่ข้างเตียงสีหน้าค่อนข้างนิ่งสงบ
แต่พอเห็นหยวนชิงหลิงมา นางก็รีบเดินเข้ามาดึงมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้ น้ำตาก็ไหลทะลักออกมาทันที “เร็วเข้า รีบไปดูว่าฮ่องเต้เป็นอะไร”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “อย่าห่วง ข้าจะดูเดี๋ยวนี้”
หยู่เหวินเห้าช่วยนางเปิดกล่องยาออก เดินเข้าไปดูฮ่องเต้หมิงหยวนโดยมีความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง เห็นเขายังคงหลับตานิ่ง เหมือนจะหายใจไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าตื่นจากการสลบหรือยัง
หยวนชิงหลิงได้ให้ออกซิเจนกับฮ่องเต้หมิงหยวนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ใช้เครื่องช่วยฟังฟังการเต้นของหัวใจ หลังจากที่กดเครื่องฟังเสียงที่เย็นยะเยือกลงไป ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ลืมตาขึ้นมา รูม่านตาดูเหม่อลอย ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรวบรวมสติขึ้นมาได้