บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 750 พี่น้องกลมเกลียว
หยวนชิงหลิงฟังอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าจังหวะการเต้นของหัวใจไม่ปกติ ในปอดก็มีเสียงรบกวน จากนั้นก็จับไปที่หน้าผาก พบว่ามีไข้ต่ำ นางจึงเอาปรอทวัดไข้ออกมาวัดไข้ให้กับฮ่องเต้หมิงหยวนก่อน
นางหันหน้ากลับไปถามมู่หรูกงกง “ช่วงนี้ฮ่องเต้มีอาการไอบ้างหรือไม่”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมู่หรูกงกงยังคงแข็งเกร็ง ยังไม่ดีขึ้นเลย ได้ยินที่พระชายารัชทายาทถาม รีบตอบกลับไปทันทีว่า “มี มีอาการไอ แต่ไม่มาก แต่เรื่องเจ็บหน้าอก เคยพูดสองสามครั้งแล้ว”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “แล้วคืนนี้ก่อนที่จะเป็นลมล้มไปก็มีอาการเจ็บหน้าอกเกิดขึ้นด้วยหรือ”
“มี ฝ่าบาทเพิ่งจะบอกว่าเจ็บหน้าอก พอยืนขึ้นมาก็เป็นลมล้มไป ข้าน้อยตกใจมาก ต้องเป็นเพราะเหนื่อยมากแน่ๆ ฮ่องเต้ตั้งแต่เช้ายันเย็น เวลาพักผ่อนก็มีไม่มาก คืนนี้ก็อดทนอยู่จนถึงยามจื่อจึงหยุด”มู่หรูกงกงพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
หยู่เหวินเห้าถามหยวนชิงหลิง “เป็นเพราะปัญหาอะไรกัน เป็นโรคหัวใจอย่างนั้นหรือ”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “จะใช่โรคหัวใจหรือไม่ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด ต้องทำการตรวจอีกสักพัก แต่ว่าในปอดมีเสียงรบกวน เจ็บหน้าอก เป็นไข้ต่ำมีอาการไอ เห็นทีจะเป็นโรคปอดอักเสบ อีกอย่างหัวใจก็เต้นไม่ค่อยปกติ มู่หรูกงกง ช่วงนี้ฮ่องเต้เคยต้องลมหนาวหรือไม่”
มู่หรูกงกงพูดว่า “เคย เคยต้องลมหนาว ก็คือวันที่ส่งศพเสียนเฟย……”ระหว่างที่พูด ก็มองไปทางหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง กดเสียงให้เบาต่ำและเบาลงว่า “ฮ่องเต้ยืนอยู่บนหอทงเทียนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ตอนที่ลงมา ปากก็เย็นจนเกือบจะเป็นสีม่วงแล้ว”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง มองไปทางหยวนชิงหลิง ในใจมีความรู้สึกผิดแล่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง ทำไมเขาจึงคิดว่าเสด็จพ่อนั้นใจแข็งเป็นหินไปได้นะ ที่สุดก็เป็นคู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมายี่สิบกว่าปี ทำไมจึงไม่มีความรู้สึกเลยสักนิดได้อย่างไร
สำเร็จโทษเสด็จแม่ ที่ทรมานที่สุดเกรงว่าน่าจะเป็นตัวเขาเอง
ฮ่องเต้หมิงหยวนหลับตาลง ยื่นมือออกไปดึงท่อออกซิเจนออก หยวนชิงหลิงกดมือของเขาเอาไว้ “อย่าเพิ่งเอาออกเพคะ เสด็จพ่อ นอกจากเจ็บที่หน้าอก ยังมีตรงไม่รู้สึกไม่สบายอีกหรือไม่ ฝ่าบาทต้องบอกหม่อมฉันนะเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนลืมตาขึ้นมา สายตาไม่มีชีวิตชีวา “ไม่รู้ว่าตรงไหนไม่สบายบ้าง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยมีเวลาที่รู้สึกสบายเลย รู้สึกเหนื่อยทุกวัน เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ”
ฮู่เฟยได้ยินคำพูดนี้ ก็นั่งลงข้างกายเขากุมมือของเขาเอาไว้ ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าเผยให้เห็นความเจ็บปวดที่เอ่อล้นออกมาจากหัวใจ
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ฝ่าบาทเหนื่อยล้าเกินไป การทำงานและพักผ่อนไม่ปกติ หัวใจต้องแบกรับภาระหนักเกินไป และบวกกับหลังจากถูกความหนาวเข้าก็คงจะเป็นปอดอักเสบ อีกอย่างตอนนั้นฝ่าบาทก็ยังคงตรวจฎีกาต่อไปจนถึงยามจื่อ การนั่งเป็นเวลานานๆแล้วก็ลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันเพื่อเปลี่ยนท่าทาง ทำให้สมองส่งเลือดไปเลี้ยงไม่ทัน จึงทำให้เป็นลมสลบไป เสด็จพ่อ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฝ่าบาทจะทรงเหนื่อยเช่นนี้อีกไม่ได้แล้ว”
ฮ่องเต้หมิงหยวนนวดหัวคิ้วอย่างอ่อนล้า “เป็นฮ่องเต้ ล้วนต้องเหนื่อยจนตาย”
หยู่เหวินเห้ายิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์ คุกเข่ากับพื้นและพูดว่า “เสด็จพ่อ ลูกไม่สามารถแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อได้ เป็นลูกที่ไม่กตัญญู”
ฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆหันไปมองเขา ในสายตาแฝงไปด้วยอารมณ์ที่สับสน พูดว่า “เจ้าได้ทำดีที่สุดแล้ว พ่อภูมิใจในตัวเจ้า”
เขาพูดอย่างนี้ แล้วก็ปิดปากมุมปากโค้งขึ้น เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่ไม่สมปรารถนาที่จริงมันมีมากเกินไป มากเกินไปจริงๆ เขาเองก็รู้สึกแบกรับไม่ไหวขึ้นมาบ้างแล้ว
หยวนชิงหลิงได้ให้ยาแก้อักเสบกับเขาผ่านสายน้ำเกลือก่อน จากนั้นก็ให้กินยา หยู่เหวินเห้าอยากจะป้อนยาให้เขา ฮู่เฟยพูดเสียงเบาว่า “ให้ข้าป้อนเถอะ”
เธอยื่นแขนเข้าไปรองที่คอของฮ่องเต้หมิงหยวนเอาไว้ ทำให้ศีรษะของถูกยกสูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ป้อนยาไปในปากของเขา แก้วน้ำถูกเลื่อนเข้าไปใกล้ที่ริมฝีปากและป้อนน้ำเข้าไปอย่างระมัดระวัง หลังจากที่ฮ่องเต้กินยาแล้ว ก็มองนางและพูดว่า “รีบกลับไปนอนเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ”
ฮู่เฟยค่อยๆวางศีรษะของเขาลงอย่างระมัดระวัง พูดเสียงเรียบๆว่า “ก่อนที่ฝ่าบาทจะดีขึ้น ใครก็ไล่หม่อมฉันไปไม่ได้”
“เหลวไหล นี่มันเวลาอะไรแล้ว……”คิ้วของฮ่องเต้หมิงหยวนขมวดขึ้น รู้สึกโมโหอยู่บ้าง
“เงียบไปเลย”ฮู่เฟยดุเสียงต่ำเสียงหนึ่ง แววตาแน่วแน่ “อย่าพูดอะไรอีก หลับตานอนซะ”
หลายปีมาแล้วที่ไม่เคยมีใครใช้น้ำเสียงเข้มงวดเช่นนี้พูดกับเขา ชั่วขณะนั้นก็อึ้งไป มองฮู่เฟย สายตาค่อยๆมีแววสว่างไสวขึ้นมาสายหนึ่ง
เขาไม่พูดอะไรอีก
หมอหลวงและกงกงทั้งสองที่อยู่ในตำหนักต่างก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทั้งฮองเฮาและพระสนมเมื่อพบกับฮ่องเต้ ใครบ้างจะไม่รู้สึกเกรงกลัว ฮู่เฟยนั้นแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถึงกับกล้าดุกับฮ่องเต้เชียว
ต่อเนื่องจากนั้น อ๋องชินลุ่ยและท่านอ๋องอีกหลายคนก็ทยอยกันเข้าวัง เมื่อครู่ฮ่องเต้เป็นลมล้มไป มู่หรูกงกงเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงได้ให้คนไปรายงานให้ทุกจวนได้ทราบข่าว ให้ท่านอ๋องทุกคนเข้าวัง
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ค่อยป่วย ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์จนถึงบัดนี้ ก็ปีที่เจ็ดแล้ว นอกจากจะตรวจชีพจรแล้ว น้อยมากที่จะกินยา ผ่านมาเป็นเวลานาน ทุกคนต่างก็คิดว่าฮ่องเต้นั้นแข็งแรงดุจหลอมมาจากเหล็กกล้า
ทุกคนต่างก็ไม่เคยเห็นเขาอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน อ่อนแอจนต้องนอนอยู่บนเตียงให้ผู้อื่นคอยปรนนิบัติรับใช้ ชั่วขณะนั้น การแก่งแย่งชิงดีระหว่างพี่น้องก็ถูกปล่อยวางเอาไว้ มีเพียงใจที่อยากจะกตัญญูต่อเสด็จพ่อเท่านั้น
พี่น้องทั้งหลาย ต่างก็ปรึกษากันว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของเสด็จพ่อ แม้แต่อ๋องฉีกับอ๋องซุนที่ไม่มีจิตใจอยากจะยุ่งเรื่องการปกครองมาก่อนเลย ต่างก็เอ่ยขึ้นอย่างยินยอมพร้อมใจว่าจะดำรงตำแหน่งเพื่อทำหน้าที่ในราชสำนัก
พวกเขานั่งคุยกันในตำหนัก พี่น้องทั้งหลายนั่งล้อมกันเป็นวงกลม ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ แม้แต่อ๋องอันยังรู้สึกหวาดกลัวไม่สบายใจขึ้นมา ตอนที่พูดคุยกันก็มีหลายครั้งที่หันหน้ากลับไปมองยังฮ่องเต้หมิงหยวน ความกังวลในสายตาไม่อาจเลือนหายไปสักที
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองพวกเขาพี่น้องที่นั่งคุยปรึกษาหารือกัน สีหน้าก็ดูจะสบายใจขึ้นอย่างยิ่ง
อ๋องจี้ในเวลานี้เอง ก็หยิบยกเรื่องที่จะยินดีเสียสละความสุขของเมิ่งเยว่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ให้เมิ่งเยว่กับลูกชายของพ่อค้าผู้ร่ำรวยแห่งเจียงหนานได้หมั้นหมายกัน เช่นนี้จะส่งผลให้ราชสำนักสามารถทำให้เจียงหนานเจริญรุ่งเรืองได้เร็วยิ่งขึ้น
หยู่เหวินเห้าที่รู้เรื่องราวภายใน ชั่วขณะนั้นจึงไม่พูดอะไร
ส่วนท่านอ๋องคนอื่นๆต่างก็เห็นด้วย รวมถึงอ๋องชินลุ่ยก็เห็นดีด้วย กระทั่งชื่นชมว่าอ๋องจี้นั้นรู้เหตุรู้ผล
หยู่เหวินเห้าประสานสายตากับหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความกังวล
“น้องห้า เจ้าเห็นว่าอย่างไร”อ๋องจี้เห็นเขาไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ก็ถามเขาขึ้นมา
หยู่เหวินเห้าเก็บสายตากลับมา พูดว่า “เรื่องนี้เสด็จพ่อเคยบอกกับข้าแล้ว ข้าเองก็ได้ให้สวีอีไปสืบข่าวเรื่องตระกูลหลี่ที่เจียงหนายแล้ว ถ้าหากท่านชายหลี่เป็นคนมีพฤติกรรมที่ดี ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง”
อ๋องจี้พยักหน้า “ใช่ ต้องสืบดูดีดี เมิ่งเยว่เป็นลูกสาวของข้า ข้าไม่อยากจะทำให้นางต้องลำบาก การแต่งงานเป็นเรื่องของทั้งชีวิต”
หยวนชิงหลิงอยู่ข้างฮู่เฟย แตะไปที่ฮู่เฟยเบาๆหนึ่งครั้ง ฮู่เฟยได้สติกลับมา พูดว่า “เมิ่งเยว่ยังเด็ก ไม่ต้องรีบร้อนหมั้นหมาย”
อ๋องจี้พูดว่า “ฮู่เฟยพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก เมิ่งเยว่ปีนี้อายุสิบสอง หลังจากหมั้นหมายแล้วก็ให้อยู่เช่นนี้ไปอีกสามสี่ปี ก็เหมาะสมแล้ว”
เขายืนขึ้นมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย “เมิ่งเยว่เป็นเด็กที่รู้ความมาก เรื่องนี้ข้าเคยเอ่ยกับนางแล้ว นางเองก็ยินดี บอกว่าสามารถช่วยแบ่งเบาเสด็จปู่ได้ ไม่ว่าจะให้นางทำอะไรนางก็ยินดี นาง เป็นเด็กที่กตัญญูรู้คุณจริงๆ ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนถึงกับปลอบใจ พูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นค่อยคุยกันหลังจากที่คนของเจ้าห้ากลับมารายงานผลแล้ว ถ้าหากใช้ได้ ก็แต่งตั้งเป็นเจ้าหญิง อย่าให้นางต้องลำบาก”
อ๋องจี้รีบคุกเข่าลง “ลูกขอบพระทัยแทนเมิ่งเยว่พ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศแห่งสัมพันธ์ที่ดีก่อนหน้านี้ได้สลายหายไปไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
หลังจากที่ฟ้าสว่าง ท่านหญิงแห่งตำหนักต่างๆก็มา ไทเฮาก็มาเยี่ยมด้วยตนเอง เป็นห่วงอย่างยิ่ง
ไทเฮายืนกรานจะเคลื่อนย้ายตัวฮ่องเต้หมิงหยวนไปพักรักษาตัวในตำหนัก ไม่สามารถให้อยู่ที่ห้องทรงพระอักษรได้ และได้ขอร้องอย่างเข้มงวดว่าหลายวันนี้ไม่ให้แตะต้องเรื่องราชการ เรื่องทุกอย่าง มอบหมายให้รัชทายาทกับโสวฝู่เป็นคนจัดการ
ฮ่องเต้หมิงหยวนเชื่อฟังคำพูดของไทเฮา พักงานราชการเป็นเวลาสามวัน
หยวนชิงหลิงรอให้น้ำเกลือกับฮ่องเต้หมิงหยวนจนหมดแล้วก็ออกจากวังไปพร้อมกับหยู่เหวินเห้า
เมื่อออกจากประตูวัง อ๋องอันก็ไล่ตามมา พูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “น้องห้า พวกเราคุยกันหน่อยได้หรือไม่ ”