บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 752 ต่างมีแผนไว้แล้ว
อ๋องอานเปิดเผยความรู้สึก หยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้เชื่อง่ายๆ
ตอนที่กลับจวน เขาเล่าเรื่องที่คุยกับอ๋องอานให้หยวนชิงหลิงฟัง พร้อมทั้งพูดวิเคราะห์ว่า “เจ้าสี่ค่อนข้างมองการณ์ไกล รู้ว่าเสด็จพ่อป่วยแต่ก็ไม่ได้มีอะไรมาก เขาคิดว่าภายในแปดถึงสิบปีนี้ ข้าไม่มีโอกาสได้ขึ้นของราชย์แน่ แทนที่จะแย่งชิงกับข้าในตอนนี้ มาพัฒนาเป่ยถังยังดีกว่า ให้เป่ยถังมีความเจริญรุ่งเรือง รอเมื่อเสด็จพ่ออายุมากกว่านี้ เขาค่อยลงมือก็ไม่สาย อีกอย่างภายในหลายปีนี้ เขาเองก็สามารถที่จะขยายอำนาจของตนเอง”
หยวนชิงหลิงพยักหัวเห็นด้วย “ตอนนี้เสด็จพ่อไม่โปรดปรานเขา เขายังถูกปลดจากตำแหน่งราชการ ชายารองหลูตายไปหนึ่งคน ถึงแม้จะยังมีรากฐาน แต่ความเป็นไปได้ ที่จะต่อรองกับเจ้าก็น้อยลงแล้ว โอกาสที่จะชนะมีไม่มาก เขาไม่มีทางที่จะเดินหมากที่อันตรายนี้ เพราะเหตุนี้จึงคิดว่ายุติการทะเลาะวิวาทกัน เขาสะสมกำลัง รอเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสมแล้วค่อยทำการใหญ่อีกครั้ง”
“ไม่ผิด เขายอมอ่อนข้อในตอนนี้ เพื่อไม่ให้ข้ากำจัดเขาให้สิ้นซาก ดังนั้น วันนี้เขาพูดว่าเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของเสด็จพ่อ เราสองพี่น้องร่วมมือกันช่วยเสด็จพ่อปกครองเป่ยถัง เขารู้ว่าหากไม่ทำอะไรข้า ข้าก็จะไม่ทำอะไรเขา และสำหรับเขา เป่ยถังเจริญรุ่งเรืองแล้ว บางทีคนที่ได้ประโยชน์อาจเป็นเขา เขาไม่ได้ปล่อยวางความคิดที่อยากจะเป็นฮ่องเต้”
หยู่เหวินเห้าชะงักสักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าสี่เป็นคนวางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล แต่พี่ใหญ่ไม่ใช่ หากงานแต่งเมิ่งเยว่กับตระกูลหลี่ถูกกำหนด เขาก็จะมีกำลังแล้ว”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ผ่านวิกฤตนี้ไปก่อน ข้าเชื่อว่าพระชายาจี้ไม่นิ่งดูดายแน่ ให้นางผ่านพ้นครั้งนี้ไปได้ก่อน นางจะต้องคิดหาวิธีรับมืออ๋องจี้ได้แน่”
หยู่เหวินเห้าฟังประโยคนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนมขึ้นว่า “สามคนครอบครัวเดียวกัน ต้องคอยสู้รบปรบมือกัน ครอบครัวอะไรกัน?”
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกเหน็บแนมอย่างที่สุด แต่การแย่งชิงอำนาจกษัตริย์ ก็จะโหดเหี้ยมแบบนี้
ฮ่องเต้หมิงหยวนเองก็คิดไม่ถึง ป่วยไปหนึ่งครั้ง กลับทำให้พวกเขาสองพี่น้องสามัคคีกันขึ้นมา นับตั้งแต่เขาครองราชย์เป็นต้นมา ตอนนี้สบายที่สุด
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ได้ไปอาศัยอยู่ที่พระที่นั่งหลายวัน แต่สภาพจิตใจไม่ได้ผ่อนคลายเลย ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย พวกเหล่าขุนนางมาเยี่ยมไถ่ถามทุกข์สุข ลูกชายคอยรับใช้อยู่หน้าเตียง ยังมีฮู่เฟยคอยดูแลอยู่อย่างห่วงใย เหมือนภาระหนักบนบ่าของเขาถูกวางลงในทันใด รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองเป็นวัวเป็นม้าให้กับเป่ยถังจริงๆ
ตอนนี้ในที่สุดก็ได้กลับมาเป็นคน
ฮองเฮาฉู่ก็มาอย่างกังวล หลังจากเข้าไปในตำหนัก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับฮ่องเต้หมิงหยวน
ฮ่องเต้หมิงหยวนสั่งให้ฮู่เฟยออกไป จากนั้นก็สั่งให้ฮองเฮาฉู่นั่งลงคุยกับเขา
ฮ่องเต้กับฮองเฮาทั้งสองคนคุยกันอยู่ภายในตำหนักกว่าครึ่งชั่วโมง ตอนที่กลับ ฮองเฮาฉู่ร้องไห้จนตาบวม
ฮู่เฟยเห็นแล้วก็อึ้งไป ถวายความเคารพพร้อมถามขึ้นว่า “เหนียงเหนียง ท่านเป็นอะไรหรือ?”
ฮองเฮาฉู่มองดูฮู่เฟยเพียงแว๊บเดียว แล้วก็หันหน้าไป พร้อมพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าดูแลฮ่องเต้ให้ดี”
พูดเสร็จ ก็พานางข้าหลวงแล้วก็จากไป
ฮู่เฟยมองดูเงาหลังของนางอย่างสงสัย จากนั้นค่อยเดินเข้าไปภายในตำหนัก
นั่งอยู่ข้างกายฮ่องเต้หมิงหยวน ฮ่องเต้หมิงหยวนจูงมือของนางไว้ พร้อมขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “ทำไมเย็นขนาดนี้?”
พูดพร้อมกับจับมือทั้งคู่ของนางมาแนบอก และพูดขึ้นว่า “ไม่รู้จักดูแลทะนุถนอมตนเองเลย”
ฮู่เฟยแลบลิ้น พร้อมพูดขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “หม่อมฉันยังอายุน้อย ทนหนาวได้ และก็ทนต่อการถูกทำร้ายได้”
“ทนต่อการถูกทำร้าย?” ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะออกมา มองดูใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของนาง สายตาฉายแววถึงความรักใคร่ “ใครกล้าทำร้ายเจ้า?”
“คนแก่บ้านข้า” ฮู่เฟยซบแนบตรงไหล่ของเขา นิ้วมือประสานมือของเขาไว้แน่ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ต่อไปเจ้าจะต้องฝึกฝีมือการต่อสู้กับข้า ห้ามขี้เกียจ คนเราหากไม่ออกกำลังกาย ร่างกายก็จะอ่อนแอ พวกเราที่ฝึกฝีมือการต่อสู้ มีอายุเป็นร้อยๆปี ข้าไม่ต้องถึงร้อยปี ข้ามีอายุถึงแปดสิบก็พอ เจ้าจะต้องอยู่กับข้าไปถึงวันนั้น”
แววตาฮ่องเต้หมิงหยวนแลดูอ่อนโยนขึ้นมาทันที พร้อมลูบผมของนาง
“ข้ากลัวตายมาก แต่หากตอนที่ข้าตาย มีคนที่ข้ารักจับมือของข้าไว้ พร้อมพูดข้างหูของข้าว่า ไม่ต้องกลัว งั้นข้าก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“คนโง่”ฮ่องเต้หมิงหยวนหัวเราะ ดวงตากลับเปียกชื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“รับปากข้า” ฮู่เฟยเงยหน้าขึ้นมามองดูเขา พูดขึ้นพร้อมทั้งน้ำตาร่วงไหลว่า “ห้ามไปก่อนข้าเด็ดขาด”
“ข้าจะต้อง…..”
ฮู่เฟยยื่นมือไปปิดปากของเขาไว้ พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ห้ามพูดไปเรื่อย เจ้าจะต้องรับปากข้า ห้ามต่อรองใดใด หากเจ้าไปก่อนข้า ข้าก็จะตามไปทีหลังทันที ข้าพูดคำไหนคำนั้น จะไม่ผิดคำพูดเด็ดขาด”
ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังประโยคนี้แล้ว ก็สะเทือนใจมาก
นางสนมภายในวังหลัง รวมถึงภรรยาของเขา ตอนนี้ในใจคิดแต่เรื่องที่หลังจากเขาตาย แล้วชีวิตครึ่งหลังของพวกนางจะทำอย่างไร ดังนั้นจึงมีเรื่องที่ฮองเฮาฉู่วางแผนกำจัดเสียนเฟย
ไม่ว่าตอนที่อยู่ในจวนหรือตอนนี้ที่เป็นฮ่องเต้ เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงห่างเหินกับเขามาก โดยเฉพาะเมื่อถึงวัยกลางคน ยิ่งไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่า สิ่งที่ทุกคนควรมี เขาเองไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ล้วนมีเหมือนกัน
ความสามัคคีของพวกลูกชาย และได้มีคนรู้ใจอยู่เคียงข้างกาย ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกมีความสุขจริงๆ
เขาพักผ่อนรักษาตัวอยู่สามวัน แล้วค่อยขึ้นว่าราชการอย่างเป็นทางการ
การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึง งานภายในประเทศก็ค่อยๆเยอะขึ้นมา มาตรการต่างๆต้องมีการกำหนดชัดเจน ฮ่องเต้หมิงหยวนยังคงตื่นเช้า ยุ่งกับงานจนถึงค่ำ
หลังจากปีใหม่ มีการแต่งตั้งให้ประจำตำแหน่งใหม่
อ๋องฉีเข้ารับราชการ รับตำแหน่งเป็นนายทะเบียนอยู่ภายใต้การดูแลของหยู่เหวินเห้า อันดับตำแหน่งต่ำมาก แต่อ๋องฉีไม่มีประสบการณ์ หยู่เหวินเห้าแนะนำให้เขาเริ่มทำจากแรกเริ่ม สะสมความรู้ประสบการณ์ อ๋องฉีก็เห็นด้วย
อ๋องซุนเข้ารับตำแหน่งกรมคลัง ดำรงตำแหน่งหยวนไว้หลัน เป็นข้าราชการขั้นห้า เป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างไม่เล็กเลย
ก่อนหน้านี้อ๋องอานถูกปลดจากตำแหน่ง ทางด้านกรมข้าราชการพลเรือน เคยย้ายเขาไปยังกรมโยธาธิการ ดำรงตำแหน่งหยวนไว้หลัน เดิมเขาปฏิเสธ แต่ตอนนี้ยินยอมที่จะไปดำรงตำแหน่ง
ตอนนี้สุขภาพอ๋องหวยไม่เป็นไรแล้ว จึงก็ได้รับตำแหน่ง อยู่กับเหลิ่งจิ้งเหยียนที่กั๋วจื่อเจียน ถูกส่งไปเป็นดุษฎีบัณฑิตที่โรงเรียน เป็นข้าราชการขั้นห้า
อ๋องจี้อยากไปกรมทหาร แต่หลังจากฮ่องเต้หมิงหยวน กับกรมข้าราชการพลเรือนปรึกษากันแล้ว ตัดสินให้เขาไปยังกรมพิธีการ ดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรม
รองเจ้ากรมพิธีการ ตำแหน่งไม่ด้อยเลย แต่อ๋องจี้กลับไม่พอใจ เพราะการเข้าไปอยู่ในกรมพิธีการสำหรับเขา ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เขาอยากที่จะเข้าใกล้อำนาจทหาร ดีที่สุดคือการได้เข้าไปอยู่ในกรมทหาร
แต่เจ้าเก้า กลับยื่นความจำนงขอไปฝึกฝนในค่ายทหาร
ถือว่ามีความกล้าหาญอย่างมาก
ฮ่องเต้หมิงหยวนยินยอมตกลงอยู่แล้ว จากที่แม่ขององค์ชายเก้า ได้ตำแหน่งกลับคืน ชีวิตองค์ชายเก้าที่อยู่ภายในวังก็ดีขึ้น แต่ไม่มีใครคิดวางแผนอนาคตให้กับเขามาตลอด ครั้งนี้ หวงกุ้ยเฟยเป็นคนพูดกับเขา เขาจึงกล้าที่จะไปยื่นความจำนง
ในค่ายทหารลำบากมาก ฮ่องเต้หมิงหยวนสั่งคนเย็บรองเท้าให้เขาด้วยตนเอง ให้เขาเดินทางหมื่นลี้ ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ปกป้องผืนแผ่นดินหลายพันไมล์
องค์ชายเก้าไปยังค่ายทหารเป่ยจวิ้น หยู่เหวินเห้าต้องดูแลเขาอยู่แล้ว สั่งให้ลูกน้องเก่าช่วยดูแลเขา
ความอ่อนวัยบนใบหน้าองค์ชายเก้ายังไม่จางหาย แต่ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น นายพลต่างก็ชื่นชม อนาคตจะต้องประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แน่
องค์ชายเก้ากำลังอยู่ระหว่างทางส่งหยู่เหวินเห้าออกจากค่ายทหาร พูดสัญญาขึ้นว่า “พี่ห้า ท่านวางใจ น้องจะต้องใช้ความสามารถทางการทหาร เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งอ๋องชินของตนเอง ต่อไปน้องก็จะดูน่าเกรงขามเหมือนพี่ห้าเช่นนี้”
หยู่เหวินเห้าตบบ่าของเขาอย่างชื่นชมว่า “ดี พี่ห้าจะรอ”
“พี่ห้า” องค์ชายเก้าดึงแขนเสื้อของเขาไว้ในทันใด พร้อมพูดขึ้นอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “ตอนที่ข้าออกมาจากวัง พี่แปดดูไม่พอใจ ท่านมีเวลาว่างก็ไปเยี่ยมเขาบ้าง”
“ได้ เจ้าวางใจ” หยู่เหวินเห้าก็คิดว่าเขาไม่ได้เล่นกับเจ้าแปดมานานมากแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้พี่ห้าจะเข้าวังไปหาเขา ไปพูดคุยเป็นเพื่อนเขา”
องค์ชายเก้าหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดคุย ท่านนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเพื่อนเขา มองดูเขาวาดภาพก็พอ”
“ได้ พี่ห้ารู้แล้ว”หยู่เหวินเห้ามองดูเขา ในใจค่อนข้างท้อ เจ้าแปดกับเจ้าเก้า คนหนึ่งเป็นลูกสืบสายเลือดโดยตรง อีกคนหนึ่งเป็นองค์ชายที่ถูกทิ้งจนแทบจะถูกลืมแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเขากลับบริสุทธิ์ที่สุด