บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 762 ขอบคุณมากที่ท่านทำเพื่อเขา
หลังจากหยู่เหวินเห้าออกจากพระราชวังก็ไปจวนอ๋องอาน
อ๋องอานกำลังเป็นกังวลว่าเรื่องนี้จะวนมาถึงตัวเองพอดี ตอนนี้คนที่สมควรถูกสงสัยมากที่สุดก็คือเขา
ได้ฟังหยู่เหวินเห้าบอกความคิดเห็นของฮ่องเต้ เขาโล่งอกเป็นอย่างมากและกล่าวอย่างเก้ๆกังๆทันที: “ความจริงข้ากับกรมอาญาก็ไม่ได้คุ้นเคยกัน แต่ว่า ในเมื่อเสด็จพ่อกำชับแล้ว เช่นนั้นเป็นลูกชายปฏิบัติตามก็ได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “ข้านึกไม่ถึงเลยว่าท่านพี่สี่จะเป็นคนจอมปลอมเช่นนี้”
ไม่คุ้นเคยกับกรมอาญา? อย่างงั้นตอนนั้นทำไมถึงให้กรมอาญากดดันเขา? แล้วกรมอาญาเล่นงานเขาได้อย่างไร?
แม้จะบอกว่ากรมอาญาทางนั้นมีการปลดและเปลี่ยนคน แต่ว่า เขาได้แทรกซึมหยั่งรากลึกอย่างมั่นคงแล้ว นับว่าเป็นถิ่นของเขาแล้ว ต้องการจัดการเรื่องเล็กน้อยยังไม่ง่ายอีกหรือ?
อ๋องอานหัวเราะฮ่าๆ “น้องห้า ข้าจำเป็นต้องระวังตัวน่ะ ตอนนี้พี่สี่จะขยับสักหน่อยก็ไม่กล้า ไม่ทันได้ขยับเขยื้อนก็ได้รับโทษแล้ว ใครๆก็ล้วนสงสัยมาที่ตัวของข้า”
“จิ้งจอก!” หยู่เหวินเห้าเปล่งเสียงไม่พอใจแล้วกล่าว
อ๋องอานค่อยๆดื่มน้ำชาอึกหนึ่ง กล่าว: “คิดไม่ถึงจริงๆ พวกเราพี่น้องแก่งแย่งชิงดีกัน ด้านหลังกลับมีงูพิษตัวหนึ่งซุ่มอยู่ น้องห้า เจ้าสงสัยผู้ใด?”
“ข้าอยากฟังการวิเคราะห์ของท่านพี่สี่” หยู่เหวินเห้าทำงานอย่างหนักติดต่อกันมาหลายวัน ในสมองสับสนพัวพันกันอุตลุดไปหมดตั้งนานแล้ว ช่วงเวลาสั้นๆยังไม่มีผู้ใดน่าสงสัยชัดเจนเป็นพิเศษจริงๆ
อ๋องอานก็ส่ายศีรษะ “วิเคราะห์ไม่ง่าย ผู้ที่สามารถใกล้ชิดเสด็จพ่อได้ก็ไม่น้อย ถ้าหากเป็นคนที่ปรนนิบัติข้างกาย คนสอดแนมผู้นี้สามารถเข้าใกล้เขาได้ เกรงว่าจะไม่ได้สอดแทรกเข้าไปทำหน้าในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี ต้องเป็นคนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายของเขามานานแล้ว”
หยู่เหวินเห้ามองดูเขา “ท่านสงสัยมู่หรูกงกง?”
“มู่หรูกงกงเป็นไปไม่ได้โดยพื้นฐาน วันเวลาที่เขาติดตามเสด็จพ่อนานเกินไป ความสัมพันธ์ของเจ้านายคนใช้ลึกซึ้งและเขาไม่ได้มีครอบครัว ไม่มีจุดอ่อนใดที่จะถูกคนข่มขู่ สิ่งที่เสด็จพ่อสามารถให้เขาได้ คนอื่นไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่สามารถให้ได้ ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นมู่หรูกงกง”
“มีเหตุผล เช่นนั้นยังมีผู้ใดอีกล่ะ? คนที่ปรนนิบัติดูแลใกล้ตัวก็ไม่มาก”
อ๋องอานคิดแล้วคิดอีก “แต่ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นคนที่คอยปรนนิบัติ พูดตามความจริง ตอนนี้ไม่ง่ายที่จะคาดเดา เพราะถ้าหากไม่ใช่คนที่คอยปรนนิบัติ สามารถเข้าใกล้เขาได้ถ้าไม่ใช่เสด็จอาเหลิ่งจิ้งเหยียนที่อยู่เป็นเพื่อนข้างกายบ่อยๆเหล่านี้ ก็เป็นขุนนางในราชสำนักระดับชั้นที่หนึ่ง หรือไม่ก็เป็นเหล่านางสนมวังหลัง ปากพวกเราพูดออกไปไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เหมาะสม แล้วฝ่ายตรงข้ามก็ระงับไม่เคลื่อนกองกำลังอยู่นาน ดูท่าแล้วยังคงซ่อนตัวต่อไปอีก คอยดูเถอะ ระมัดระวังหน่อยบอกกู้ซือและมู่หรูกงกงให้คอยเพ่งเล็งไว้หน่อยก็ได้”
“เพียงแต่แผนที่ทางการทหารอยู่ในมือของเขา ยังคงทำให้คนเป็นกังวลอยู่” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วแล้วกล่าว “คนผู้นี้ขโมยแผนที่ทางการทหาร ถ้าไม่ใช้เอง ก็ต้องเป็นคนสอดแนมของประเทศศัตรู หากว่าใช้เอง จะต้องมีความคิดที่จะก่อกบฏแน่ หากว่าเป็นคนสอดแนมของประเทศศัตรู คนสอดแนมผู้นี้สามารถจัดไปอยู่ข้างกายของเสด็จพ่อได้ เช่นนั้นสถานการณ์ก็ไม่ดีเป็นอย่างมากจริงๆ”
อ๋องอานกล่าว: “หากว่าเป็นการก่อกบฏ ตอนนี้เขาจะไม่ทำร้ายเสด็จพ่อเป็นแน่ เพราะว่าเสด็จพ่อเกิดเรื่อง เจ้าก็ครองราชย์แล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่ครองราชย์คนในพระราชวังจะต้องปลดและเปลี่ยนกลุ่มใหม่เป็นแน่ การใช้คนของราชสำนักก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างโจ่งแจ้ง อำนาจทางการทหารยิ่งต้องจัดการปรับปรุงทั้งหมดเป็นแน่ ไม่เอื้อประโยคต่อแผนการของเขา หากว่าเป็นคนสอดแนม เช่นนั้นยิ่งจะไม่ทำร้ายเสด็จพ่อแล้ว เพราะว่าทำร้ายเสด็จพ่อ จะทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่มีการป้องกันต่อภายนอกยิ่งขึ้นเท่านั้น สำหรับตอนนี้เป็นการชั่วคราว เสด็จพ่อปลอดภัย หลังจากนี้ก็ไม่รู้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขา กล่าว: “ข้าขอตัวก่อน กรมอาญาทางนั่นท่านจัดการหน่อย ยังมีพยานเหล่านั้นบนแม่น้ำซีซูอีก ท่านจัดการละกัน พรุ่งนี้ข้าจะไต่สวนเจ้าเจ็ด คาดว่าต้องตีไม่กี่ไม้ ทำโทษเขาที่ใช้ความสูงส่งในฐานะของอ๋องชินหักห้ามใจไปสถานที่อโคจรไม่ได้ ทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ต้องได้รับความลำบากเล็กน้อย”
“อืม วางใจเถอะ!” อ๋องอานกล่าว
อ๋องอานเป็นคนที่จัดการเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ภายในหนึ่งวัน ก็จัดการทั้งหมดที่หยู่เหวินเห้ากำชับได้อย่างเหมาะสม
คนที่ออกมาเป็นพยานเหล่านั้นที่แม่น้ำซีซู เพราะถูกซื้อตัว แต่จับกลับมาถามแล้ว ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ซื้อตัว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่ทิ้งเงินไว้ จากนั้นบอกให้พวกเขาบอกกับที่ทำการตามความจริง หากว่าไม่ทำตาม จะมีอันตรายถึงชีวิต
อ๋องอานไม่ได้แตะต้องคนเหล่านี้ และไม่สามารถเพิกถอนคำให้การของพวกเขาได้ อย่างไรเสียคนมากมายเช่นนี้เห็นว่าอ๋องฉีปรากฏตัวที่นั่น หากเขาบอกว่าไม่ได้ไป ก็เป็นไปไม่ได้
เขาเพียงแค่ซื้อตัวลูกค้าคนอื่นๆบางส่วนที่อยู่บนแม่น้ำซีซูในคืนวันนั้นอีกต่างหาก บอกว่าอยู่ด้านนอกเรือสำราญแล้วเห็นอ๋องฉีออกจากเรือสำราญไปประมาณครึ่งชั่วยาม เรือสำราญจึงเกิดเพลิงขึ้น
สำหรับคนขับเรือนั่น อ๋องอานเชิญเขาไปในจวนดื่มชาทั้งคืน วันรุ่งขึ้นขึ้นศาล คนขับเรือผู้นี้กล่าวอย่างสั่นเทาว่าควันเป็นเพียงแค่หมอกควันบนแม่น้ำเท่านั้น ไม่ได้เป็นควันที่เกิดเพลิง ตอนนั้นเขาตาลายมองผิดไปแล้ว
หยู่เหวินเห้าจึงตีอ๋องฉีไปยี่สิบไม้ ถือว่าเป็นการทำโทษที่เขาไปสถานที่อโคจร หลังจากที่ตีเสร็จ จึงสั่งให้คนส่งเขากลับไปที่จวนอ๋องฉู่
ส่งกลับจวนอ๋องฉู่ เป็นเพราะในจวนอ๋องฉู่มีหมอหลวงเฉา แต่จวนของอ๋องฉีมีคนปรนนิบัติไม่กี่คน บวกกับไม่มีคนตัดสินใจหลักจัดการเรื่องภายใน ปัญหาอะไรยังต้องขอคำสั่งของเขาเอง คนโสดผู้หนึ่งค่อนข้างอ้างว้าง
และเกรงว่าเขาจะพัวพันเข้าไปในเรื่องนี้ด้วยแน่นอน ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นยังจะลงมืออะไรกับเขาอีกหรือไม่ จึงรับไปดูแลด้วยกันในจวนอ๋องฉู่เสียเลย
หลังจากหยู่เหวินเห้าจัดการส่งเขากลับมาแล้ว ก็ไปเยี่ยมลู่หยวนก่อนครู่หนึ่งแล้วเข้ามา อีกทั้งถือโอกาสเอาเรื่องของอ๋องฉีบอกต่อหยวนหย่งอี้ไปด้วยความตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ
สือโส่กำลังทายาให้อ๋องฉีที่นอนหมอบอยู่บนเตียง หยู่เหวินเห้าดูอยู่ข้างๆ ได้ยินเขาร้องโอดครวญซีดซีด จึงกล่าว: “เจ้าร้องบ้าอะไร? แค่ยี่สิบไม้ ผ่านไปสองวันก็หายแล้ว”
อ๋องฉีประสานมือสองข้าง ค้ำไว้ใต้คาง เจ็บปวดจนโมโหแต่ไร้กำลัง “ท่านเป็นคนที่โดนไม้มาเป็นเวลานาน เนื้อหนังล้วนขึ้นเป็นไตหยาบกระด้างแล้ว ข้าจะเหมือนท่านได้อย่างไร? ทั้งบ้านของท่านล้วนเคยถูกไม้ตี”
“พอแล้ว อ่อนแอจังนะเจ้า ข้าบอกให้คนออมแรงแล้ว ตีไม่ไห้เจ้าบาดเจ็บ!” หยู่เหวินเห้าตบไปบนเอวของเขา หัวเราะแล้วกล่าว
อ๋องฉีเจ็บจนน้ำตาแทบจะผุดออกมาอย่างฉับพลัน กัดฟันอยู่นานถึงจะพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง “ท่านออกไป!”
มีเสียงฝีเท้าเข้ามาอย่างเงียบๆ หางตาของอ๋องฉีเหลือบไปเห็นรองเท้าปักรูปดอกไม้คู่นั้น ตะลึงแล้ว รีบบอกสือโส่ “ปิดไว้ปิดไว้ ไม่ต้องรีบใส่ยาก่อน”
สือโส่มือเดียวก็ดึงผ้าห่มคลุมเขาไว้ หันกลับไปจึงเห็นหยวนหย่งอี้เข้ามาแล้ว
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร ยื่นมือใหญ่ๆออกไปดึงสือโส่ออกไปทันที
อ๋องฉีพยายามเป็นอย่างมากที่จะยันศีรษะขึ้นมา จึงสามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้ ตอนนี้ท่าทางสะบักสะบอมมาก สีหน้าซีดเผือดอดกลั้นความเขินอายไม่ได้แดงระเรื่อขึ้นมา “มาแล้ว?”
เสียงของหยวนหย่งอี้มีความแหบเล็กน้อย “ร้ายแรงหรือไม่?”
อ๋องฉีหัวเราะแล้วกล่าวอย่างเพิกเฉย: “ไม่ร้ายแรง ท่านพี่ห้ายังบอกให้คนออมแรงแล้วด้วย แค่ผิวหนังด้านนอกได้รับบาดเจ็บเท่านั้น”
หยวนหย่งอี้เดินเข้ามานั่งข้างกายของเขา เอื้อมมือต้องการเปิดผ้าห่มของเขาออก อ๋องฉีรีบตะโกนเสียงดัง “ไม่ อย่าแตะ อย่าเปิดออก หญิงชายใกล้ชิดกันไม่ได้”
หยวนหย่งอี้มองดูยาข้างๆ “ยานี่ท่านยังทาไม่เสร็จ ข้าช่วยท่านใส่ยา”
ท่าทางของอ๋องฉีแข็งกร้าวมาก “ไม่ ไม่ ไม่ต้องจริงๆ”
“ไม่ต้องจริงๆ?”
“ไม่ต้อง จริงๆ ไม่ต้อง” ร่างกายของอ๋องฉีขยับไปทางด้านใน ราวกับว่ากลัวนางจะเอื้อมมือมาอย่างฉับพลัน กล่าวด้วยความเคร่งขรึม
หยวนหย่งอี้มองดูเขา ในตามีความสับสนเล็กน้อย “ขอบคุณที่ท่านทำทุกอย่างเพื่อลู่หยวน ข้าค่อนข้างนึกไม่ถึงจริงๆ”
“เป็นสิ่งที่ควรทำ เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว!” อ๋องฉีไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยรู้สึกแปลกหน้ากับนางขนาดนี้มาก่อน ฉะนั้นจึงเห็นความไม่เป็นธรรมชาติได้ชัดเจนเป็นที่สุด