บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 763 ล้วนเหนื่อยมากแล้ว
ในสมองของเขาค่อนข้างตึงเครียด คิดครู่หนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จึงเอ่ยถาม: “เพื่อนลู่ดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
หยวนหย่งอี้มองดูเขา ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ดี วันนี้ยังไม่ได้ลืมตาเลย”
อ๋องฉีเห็นนางทุกข์ใจมาก จึงกล่าวปลอบใจ: “เจ้าอย่ากังวลเกินไปนัก เขาจะต้องดีขึ้น เขาเป็นคนจิตใจดี สวรรค์คงไม่ปฏิบัติกับเขาอย่างใจร้ายเช่นนี้หรอก”
“ใช่แล้ว ทุกคนล้วนพูดเช่นนี้ เขาเป็นคนดีมากผู้หนึ่งจริงๆ” หยวนหย่งอี้ถอนหายใจเบาๆ ในสมองล้วนเป็นวันเวลาที่อยู่กับลู่หยวนอย่างมีความสุข พวกเขาล่าสัตว์เที่ยวเล่นด้วยกัน และเหมือนกับว่าเป็นเรื่องของเมื่อวาน ตอนนี้กลับแทบจะเหมือนตายแยกจากกันแล้ว
“ใช่แล้ว!” เขากล่าวพึมพำ
หยวนหย่งอี้ไม่ได้ช่วยเขาใส่ยา แต่รินน้ำร้อนมาช่วยล้างหน้าเช็ดมือให้เขา
นางทำทุกอย่างเงียบๆ ช่ำชองเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เวลาที่บาดเจ็บ ล้วนเป็นนางดูแลอยู่ข้างกาย เวลานั้น จิตใจของเขายังคงเป็นทุกข์โศกเศร้าเพราะฉู่หมิงชุ่ย
แต่เวลานั้น เขาก็ไม่ได้คิดว่ามีวันหนึ่ง เจ้าอ้วนจะเป็นของคนอื่น
ถ้าหากเวลาสามารถหวนคืนได้ เขาจะไม่มุ่งมั่นขนาดนั้นแน่ เวลานั้นเขาก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกที่มีต่อฉู่หมิงชุ่ยจะค่อยๆจางลงไป ถึงตอนนี้ แทบจะไม่มีแล้ว
เขายิ่งไม่รู้ว่า ในวันเวลาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขเหล่านั้น ผู้หญิงตรงหน้าผู้นี้จะเข้ามาอยู่ในจิตใจของเขาด้วยวิธีเผด็จการเช่นนี้ ตั้งแต่นั้นจะไล่ก็ไม่ออกไปแล้ว
เขาก็นอนหมอบอยู่บนเตียงเช่นนี้ มองดูการเย็บปักดอกไม้เล็กๆบนแขนเสื้อของนาง ผิวพรรณที่ขาวและละเอียดบนหลังมือของนาง ภายใต้ผิวหนังสามารถมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวได้ มือของนางสัมผัสใบหน้าของเขา สัมผัสคางของเขา การกระทำเป็นธรรมชาติเช่นนั้น เพียงแต่จิตใจของเขากลับไม่สามารถที่จะเป็นธรรมชาติเช่นนั้นได้อีกแล้ว
นาทีนั้นในใจของเขายังเป็นความเห็นแก่ตัว หวังว่านางจะสามารถอยู่ข้างกายของตัวเองได้ตลอด
หลังจากปรนนิบัติเขาเสร็จแล้ว หยวนหย่งอี้กล่าวเบาๆ: “ท่านพักผ่อนดีๆ พรุ่งนี้ข้าค่อยมาเยี่ยมท่านอีก”
“ได้!” เสียงเขาขึ้นจมูกหนักมาก อาจเพราะนอนหมอบอยู่ตลอดเป็นเหตุ เงยหน้าขึ้นมาดูนางอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง นางเพิ่งจะหมุนตัวพอดี เขาจึงมองดูนางจากไปอย่างเซ่อๆ
ถึงประตู นางหันกลับมากะทันหัน เขาไม่ทันได้ระวัง รีบเอาใบหน้าซุกไว้บนหมอน ในใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
สีหน้าท่าทางของหยวนหย่งอี้ค่อนข้างงงงัน ชะงักครู่หนึ่ง แล้วเดินจากไป
ในเหตุการณ์ที่วุ่นวายนี้ สวีอีที่หยู่เหวินเห้าส่งไปที่เจียงหนานกลับมาแล้ว
อ๋องจี้ก็ส่งคนไปตรวจสอบแล้วเล็กน้อย ข่าวสารล้วนถึงเมืองหลวงตามลำดับก่อนหลัง
วันรุ่งขึ้นอ๋องจี้จึงเข้าวังตั้งแต่เช้า บอกว่าคนที่ส่งไปได้สอบถามแล้ว ประชาชนในพื้นที่บางส่วนของเจียงหนานชื่นชมตระกูลหลี่ไม่หยุดปาก ท่านชายรองของตระกูลหลี่ก็เป็นผู้มีความรู้ได้รับการอบรมอย่างดี เป็นชายหนุ่มที่มีความรู้ในการเขียนบทประพันธ์และวิชาการอย่างเพียบพร้อม
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟัง ในใจก็ดีใจเป็นธรรมดา นี่นับว่าเป็นเรื่องเพียงเรื่องเดียวที่สมควรให้ดีใจภายในเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงนี่
แต่ ตอนเที่ยงหยู่เหวินเห้าเข้าวัง กลับถ่ายทอดข่าวสารที่ไม่เหมือนกัน บอกว่าชื่อเสียงภายนอกของตระกูลหลี่มีความร่ำรวยมีเมตตากรุณาจริง แต่ท่านชายรองผู้นั้นกลับไม่ได้เป็นคนที่รับมือได้ง่ายๆ เขาใช้อำนาจระรานหยิ่งผยอง โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่เพียงแค่ตีทาสที่เกิดในจวนจนตาย ยังเคยบอกให้คนไปทุบตีประชาชนภายนอกที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาจนตายอีกด้วย
ฮ่องเต้หมิงหยวนสงสัย “แต่วันนี้พี่ใหญ่ของเจ้าเข้าวังมารายงาน กลับบอกว่าส่งคนไปตรวจสอบรู้มาว่าตระกูลหลี่นั่นเป็นตระกูลที่สะสมคุณความดีจริงๆ และท่านชายรองหลี่ผู้นั้นก็เป็นคนมีคุณธรรม ทำไมจึงไม่เหมือนกับที่เจ้าตรวจสอบกลับมาได้โดยสิ้นเชิง?”
หยู่เหวินเห้ากล่าว: “เสด็จพ่อ ท่านพี่ใหญ่ส่งคนไปตรวจสอบที่เจียงหนานเกรงว่าที่ได้ทั้งหมดล้วนได้ถูกแต่งเติมแล้วพ่ะย่ะค่ะ และไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด หากว่าเสด็จพ่อไม่เชื่อ สามารถส่งคนไปตรวจสอบอีกได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ที่เจ้าบอกว่าเขาเคยตีคนตาย เมื่อเป็นคดีที่ถึงแก่ชีวิตคน จะระงับไว้ได้อย่างไร?” ฮ่องเต้หมิงหยวนมีความโน้มเอียงไปทางอ๋องจี้กล่าวด้วยจิตใต้สำนึก ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อหยู่เหวินเห้า แต่เพราะเขาปรารถนาที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลหลี่
“มีเงินจะทำอะไรก็ได้ หลี่เชานั่นซื้อตัวคนของที่ทำการปกครองตั้งนานแล้ว บ่งชี้ว่าครอบครัวของผู้ตายใส่ร้ายป้ายสี ตอนนี้ครอบครัวของผู้ตายนั่นยังอยู่ในคุกอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินดังนั้น ชักสีหน้าไม่พอใจ “ความหมายของเจ้าจะบอกว่า หลี่เชานั่นก็ไม่ใช่คนที่ซื่อตรง?”
“ความรักบุตรของพ่อ เลี่ยงได้ยากที่จะทำเรื่องเลอะเลือนไปบ้าง การปฏิบัติตัวของหลี่เชา สวีอีก็ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ท่านชายรองหลี่เป็นคนสารเลวผู้หนึ่งอย่างแท้จริง”
ความจริงหลี่เชาก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่หยู่เหวินเห้าต้องไปทีละก้าวๆ
ฮ่องเต้หมิงหยวนเลี่ยงไม่ได้ที่จะผิดหวัง แม้ว่าคำพูดของหยู่เหวินเห้าจะไม่สามารถเชื่อได้หมด แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสุขชั่วชีวิตของจวิ้นจู่ กล่าว: “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็พักไว้ก่อนเถอะ ข้าค่อยส่งคนไปตรวจสอบอีกหน่อย”
“เสด็จพ่อ ท่านพี่ใหญ่อยากแบ่งเบาภาระของราชสำนัก หม่อมฉันเข้าใจ แต่จวิ้นจู่แต่งงานลงไปในหมู่ประชาชน เป็นธรรมดาที่จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่สามารถผิดพลาดได้แม้สักนิด ไม่เช่นนั้นทั้งชีวิตนี้ก็ถูกทำลายแล้ว ตามหลักแล้วท่านพี่ใหญ่ได้ใช้ฐานะของบิดาไตร่ตรอง ก็ควรจะมองทะลุปรุโปร่งหลักการนี้ ทำไมถึงได้พยายามส่งเสริมให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าก็ไม่กลัวไปล่วงเกินอ๋องจี้ ทิ้งความพะวงให้แก่ฮ่องเต้หมิงหยวนโดยตรง
หลังจากที่ฮ่องเต้หมิงหยวนให้หยู่เหวินเห้าจากไปแล้ว นึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมา ก็ถ่ายทอดพระราชโองการให้อ๋องจี้เข้าวังตำหนิเขารอบหนึ่ง บอกว่าเขาไม่คู่ควรเป็นพ่อ คิดไม่ถึงว่าไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดก็บอกว่าต้องการเอาบุตรสาวออกไปรับหมั้นแล้ว ประมาทเลินเล่อ
อ๋องจี้รู้ว่าเพราะหยู่เหวินเห้าใช้ลูกไม้จากเรื่องนี้ โกรธจนเหลือจะทน แต่ก็ไม่กล้าไปก่อความวุ่นวายใหญ่โตที่จวนอ๋องฉู่ เพียงแค่กลับไปหาพระชายาจี้เพื่อระบายความโกรธ
พระชายาจี้ต้องการปกป้องเมิ่งเยว่ เป็นธรรมดาที่จะไม่กล้าทำให้เขาไม่พอใจในตอนนี้ รับความเดือดดาลของเขารอบหนึ่ง ยังโดนตบไปสองสามฉาดอีก
พระชายาจี้นั่งอยู่หน้าแท่นแต่งหน้า ค่อยๆใช้แป้งเติมใบหน้า ปิดบังรอยนิ้วมือเป็นแถวๆนั่น
ผู้หนึ่งไม่มีความสามารถ เป็นผู้ชายที่รู้จักเพียงแค่กลับบ้านมาระบายอารมณ์ขายลูกสาวเพื่อแสวงหาความรุ่งเรือง ไม่ตายก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
คดีแผนที่ทางการทหารถูกขโมยและคดีลู่หยวนถูกทำร้าย ไม่มีต้นสายปลายเหตุโดยสิ้นเชิง ตรวจสอบนานขนาดนั้นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการจับกุม แม้กระทั่งตัวตนของศัตรูก็ไม่สามารถตรวจสอบให้ชัดเจนได้
หยู่เหวินเห้าเจ้ากรมการพระนครผู้นี้ แน่นอนว่าต้องแบกรับความกดดันของการซักถามในที่ว่าราชการ
ยิ่งแผนที่ทางการทหารเป็นสิ่งที่สำคัญด้วยแล้ว หากว่าคนผู้นี้มีความคิดก่อกบฏหรือติดต่อกับศัตรู ล้วนเป็นอันตรายที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งสำหรับเป่ยถัง
หยู่เหวินเห้าถูกผู้คนมากมายตำหนิรอบหนึ่ง คอตกออกจากที่ว่าราชการ
ขุนนางที่งานยุ่งที่สุดในทั้งเป่ยถัง ก็คือเขาแล้ว ทางนี้ถูกคนมากมายตำหนิเสร็จแล้ว ทางนั้นก็ต้องกลับไปยุ่งอยู่กับงานที่ที่ทำการปกครองต่อ
ตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเบาะแสโดยสิ้นเชิง อย่างน้อย คนผู้นั้นก็เคยได้ติดต่อกับคนของเรือสำราญแล้ว และได้หาคนออกหน้าซื้อตัวคนขับเรือของแม่น้ำซีซูมาก่อน ขณะนี้ไม่มีวิธีอื่น ทำได้เพียงไล่สืบหาต่อไปตามเส้นทางนี้
ตอนกลางคืนเวลาประมาณสามทุ่มถึงห้าทุ่ม เขาเพิ่งจะลากร่างกายอันเหนื่อยล้าจากที่ทำการปกครองกลับจวน
ตอนนี้เป็นเพราะที่จวนอ๋องฉู่มีผู้คนมากมายเต็มไปหมด แม้จะดึกดื่นขนาดนี้แล้ว โคมไฟภายในบ้านก็ยังคงสว่างไสว
หยวนชิงหลิงยังอยู่ที่ลู่หยวนทางนั้น ตอนนี้อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว เริ่มให้อาหารทางจมูกได้แล้ว
เข้าบ้านเห็นหยู่เหวินเห้าอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยอย่างไร้เรี่ยวแรง เหนื่อยล้าจนซีดเผือด จึงสั่งให้คนเตรียมน้ำร้อนและของกินให้เขา
หยู่เหวินเห้าลืมตาขึ้น เห็นหยวนชิงหลิงเดินเข้ามาช้าๆ เขายื่นมือออกมา “มา!”
หยวนชิงหลิงเอามือวางไว้บนอุ้งมือของเขา เขาจึงออกแรงดึง ทั้งตัวของนางก็ล้มอยู่บนร่างของเขาแล้ว หน้าผากค้ำอยู่ที่คางของเขา ถูกหนวดที่ผุดขึ้นมานั่นขูดจนเจ็บ
“กินแล้วหรือ?” เสียงของเขาดังขึ้นข้างหูของนาง แหบมาก
“ไม่ได้กิน ตอนที่บอกให้คนเตรียมให้ท่าน ก็ให้เตรียมชุดนั้นของข้าด้วย” หยวนชิงหลิงแหงนหน้ามองเขา กล่าวด้วยความสงสาร: “เหนื่อยมากเลยสินะ?”
“ต่อให้เป็นเหล็กก็ล้วนทนไม่ไหว!” หยู่เหวินเห้าถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เพ่งมองนางด้วยดวงตาที่ลึกล้ำ “ยายหยวน พวกเราไม่ได้คุยกันนานมากแล้ว”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า ค่อยๆนั่งขึ้นมา “ใช่แล้ว สถานการณ์โกลาหลวุ่นวาย ล้วนไม่ทันได้พูดจา”
ตั้งแต่ที่เสียนเฟยตาย ระหว่างพวกเขาแม้ว่าจะมีการพูดคุยสนทนากัน แต่ทุกคนก็ไม่ได้พูดออกมาจากใจจริง
จนหลังจากนั้น นางรู้สึกถึงกระทั่งว่ามีบางครั้งบางเวลาที่เจ้าห้าตั้งใจหลบเลี่ยงนาง