บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 769 หรือว่าไปพบเจอเขา
เดินเตร่อยู่รอบใหญ่ๆเช่นนี้ ก็ถึงยามเย็นแล้ว หยู่เหวินเห้าจึงพาสวีอีเข้าไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เขารู้ว่าถ้าหากวันนี้เขาไม่สบาย ที่เหนื่อยยากลำบากก็คือยายหยวน ดังนั้น แม้ว่าจะไม่อยากกินอาหารค่ำมื้อนี้ก็ยังต้องกิน
เพิ่งนั่งลงได้ครู่หนึ่ง สั่งอาหารสองอย่าง สวีอีจึงกล่าว: “เอ๊ เป็นอ๋องชินเป่านี่พ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้ามอง เห็นอ๋องชินเป่าในมือถือกรงนกตัวหนึ่งและพาคนติดตามผู้หนึ่งเดินเข้ามาจริงๆ
อ๋องชินเป่าเป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูลของตระกูลหยู่เหวิน ไม่จัดการเรื่องการเมือง ดูแลเพียงเรื่องในวงศ์ตระกูลของราชวงศ์ และถูกเรียกขานว่าอ๋องชินจือหลี่ เป็นผู้อาวุโส ได้รับความเคารพเป็นอย่างมาก
หยู่เหวินเห้ารีบลุกขึ้น “เสด็จปู่เล็ก ท่านกินข้าวหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อ๋องชินเป่าก็เห็นเขาแล้ว รอยยิ้มที่อ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าในพริบตา “หลานห้า ทำไมเจ้าถึงได้อยู่ที่นี่?”
หยู่เหวินเห้าเชิญเขาเข้าที่นั่ง สวีอีรีบยืนขึ้น ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้างกับผู้ติดตามของอ๋องชินเป่า
“เพิ่งทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จพ่ะย่ะค่ะ หิวแล้ว จึงเข้ามากินข้าวมื้อหนึ่ง” หยู่เหวินเห้ามองดูกรงนกของเขา ด้านในเลี้ยงนกตัวหนึ่งสีดำทั้งตัวหัวและหน้าสีขาว ขนนกเพิ่งจะยาว ดำขลับน่าดูเป็นอย่างมาก “นี่คือลูกรักอะไรของท่านพ่ะย่ะค่ะ?”
อ๋องชินเป่ามองดูสัตว์เลี้ยงแสนรัก กล่าวอย่างโอ้อวด: “ดูไม่ออกล่ะสิ? เป็นลูกนกอินทรี เพิ่งแย่งกลับมาจากเซียวเหยากงทางนั้น ตาแก่นั่นปวดใจสุดชีวิต”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าโดยปกติแล้วอ๋องชิงเป่าชอบดูแลนกต้นไม้ใบหญ้าเหล่านี้ จึงหัวเราะแล้วกล่าว: “คิดไม่ถึงว่าเซียวเหยากงจะมีนกอินทรี? ในจวนของเขาล้วนซ่อนลูกรักอะไรไว้นะพ่ะย่ะค่ะ? วันหลังข้าก็ไปดูหน่อย และพาติดมือออกมาสักตัว”
“จะต้องเอาชีวิตเขา!” อ๋องชินเป่าหัวเราะฮ่าๆ
อ๋องชินเป่ามีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง อีกทั้งท่าทางอ่อนโยนน่าใกล้ชิด พูดเรื่องน่าสนใจกับหยู่เหวินเห้าบางส่วน ทำให้จิตใจของหยู่เหวินเห้ารู้สึกสบายขึ้นมาก อาหารมาแล้ว ทั้งสองก็กินไปบ้างแล้ว
อ๋องชินเป่าเห็นคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน จึงได้ตบหลังมือของเขาแล้วกล่าว: “หลานห้า ข้าพูดด้วยความเป็นผู้อาวุโสไม่กี่ประโยค เจ้าลองฟังไว้ดูก่อน ที่เรียกกันว่าอยู่ตำแหน่งไหนก็จะไตร่ตรองถึงเรื่องของตำแหน่งนั้นๆ นี่เป็นแก่นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนจากโบราณกาลนับพันปี แต่ไหนแต่ไรเจ้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกพ้อง แต่ตัวของเจ้าอยู่ในฐานะรัชทายาท เป็นฮ่องเต้ในอนาคตของเป่ยถัง อะไรที่ควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ ควรที่จะเสียสละอะไรสนับสนุนอะไรให้สมหวัง ในใจของเจ้าจำเป็นต้องมีการคำนึง เพียงเพื่อประเทศเพื่อราษฎร แม้ว่าจะถูกคนด่าอย่างเจ็บแสบถึงกระดูกสันหลัง ก็ไม่สามารถหลีกถอยได้แม้แต่ครึ่งก้าว”
หยู่เหวินเห้าเงียบไปสักพัก กล่าวเบาๆ: “จะระมัดระวังจดจำคำสอนของเสด็จปู่เล็กไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไปแล้ว ค่ำหน่อยยังนัดโสวฝู่ดื่มเหล้าไว้แล้ว” อ๋องชินเป่าก็ไม่ได้พูดมากมาย ถือกรงนกแล้วจากไป
เมื่ออ๋องชินเป่าจากไป สวีอีก็นั่งลงมากินข้าว มื้อหนึ่งหายไปในเวลาอันสั้น กินอาหารที่เหลือหมดเกลี้ยง
หยู่เหวินเห้ากลับที่ทำการปกครองรอบหนึ่ง ถามสถานการณ์ของอ๋องจี้
หัวหน้าพลตระเวนส่ายศีรษะด้วยความจนปัญญา: “ตั้งแต่จับกุมตัวกลับมา ก็ไม่หยุดร้องตะโกนเลยขอรับ ตอนนี้เสียงแหบแห้งหมดแล้ว ก็ยังไม่หยุด ส่งข้าวเข้าไปให้ก็ถูกเขาตีคว่ำ ทั้งหมดดื่มน้ำแค่ไม่กี่อึก”
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างหงุดหงิด: “เวลาอะไรแล้ว รู้จักแค่ร้องตะโกน ขยะไร้ประโยชน์”
“ใต้เท้า ท่านดูว่าต้องการจะเข้าไปโน้มน้าวหรือไม่ขอรับ?” หัวหน้าพลตระเวนยังคงคิดว่าเขาเป็นอ๋องชิน หากว่าสุขภาพเสียหายในกรมการพระนครจริงๆ เกรงว่ากรมการพระนครจะได้รับการติเตียน
อย่างไรเสีย เขาก็เป็นพระโอรสองค์หัวปีนะ
“โน้มน้าวอะไร? ต้องไปป้อนข้าวให้เขากินหรือไม่?” หยู่เหวินเห้านึกถึงหุ่นเล็กๆที่เห็นในห้องลับนั่นก็โมโห เพียงแค่มีสมอง ก็จะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ในจวนของตัวเอง หากคำสาปแช่งได้ผล จะต้องมาที่ทำการปกครองทำอะไร?
หัวหน้าพลตระเวนเห็นเขาโมโห กล่าวอ้ำๆอึ้งๆ: “ก็ไม่ใช่ว่าโน้มน้าวให้เขากินข้าว ก็แต่……เขาพูดอยู่ตลอดว่าใต้เท้าท่านใส่ร้ายเขา ยังบอกว่าท่านขโมยแผนที่ทางการทหารไปทำร้ายลู่หยวนบาดเจ็บจากนั้นก็ใส่ร้ายเขา เขาบอกว่าต้องการกราบทูลฮ่องเต้เช่นนี้ขอรับ”
หยู่เหวินเห้าไม่ได้โมโหด้วยเหตุผลเดียว นั่งลงมาด้วยความโกรธอย่างอัดอั้นครู่หนึ่ง ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว: “ช่างเถอะ ข้าไปดูหน่อย”
มีบางคำพูด ยังจำเป็นต้องถาม
ไม่ทันถึงด้านนอกประตูห้องขัง ก็ได้ยินเสียงคำรามแหบแห้งด้านใน แม้ว่าเสียงจะแหบก็ยังมีลมหายใจที่เพียงพอมาก “ข้าต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ พวกเจ้าทาสสุนัขกลุ่มนี้ เปิดประตูห้องขังให้ข้า ข้าต้องการยื่นคำร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม……บอกหยู่เหวินเห้าคนสารเลวนั่นเข้ามา ข้าต้องการซักถามเขา ถามเขาว่าใส่ร้ายอ๋องชินในปัจจุบันมีโทษสถานใด…….”
หยู่เหวินเห้าถีบประตูห้องขังออกทันที เข้าไปราวกับพายุหมุนเช่นนั้น อ๋องจี้พูดยังไม่จบ ก็ราวกับว่าด้านหน้ามีกำแพงตันเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เขาตกใจจนรีบถอยหลังหลบ เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นหยู่เหวินเห้า เขาก็ร้องตะโกนขึ้นมาอีกทันที “ได้สิ เจ้ายังจะกล้ามาจริงๆ ข้าถามเจ้า แผนที่ทางการทหารนั่นเป็นเจ้าที่วางไว้ในห้องลับใส่ร้ายข้าใช่หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้ามองดูใบหน้าท่าทางเอะอะโวยวายดิ้นไปมาด้วยโทสะที่เกิดจะความอับอายและความคับแค้นใจของเขา แทบอดไม่ได้ที่จะต่อยไปหมัดหนึ่งจริงๆ
เขาให้ผู้คุมนักโทษเปิดประตู ยืดอกเข้าไป อ๋องจี้คว้าเสื้อที่หน้าอกของเขาซักถามด้วยเสียงเฉียบคมทันที “เจ้าพูดสิ เจ้าใส่ร้ายข้าใช่หรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าก็เพ่งมองเขาเช่นนี้ สีหน้ากลัดกลุ้ม สายตาเฉียบคม และไม่ได้พูดจา เพ่งมองจนในใจของอ๋องจี้มีน้ำโห
ความโกรธเคืองในดวงตาของอ๋องจี้เริ่มน่ากลัวขึ้น แต่ยังคงเอ่ยถามเขาด้วยท่าทางแข็งนอกอ่อนใน: “เจ้า……เจ้าพูดสิ เจ้าใช่หรือไม่? เป็นเจ้าใส่ร้ายข้าใช่หรือไม่? ข้าจะบอกเจ้า เสด็จพ่อสายตาเฉียบแหลมมองออกอย่างชัดเจน จะไม่เชื่อเจ้าเด็ดขาด เจ้ารอไปเถอะ!”
หยู่เหวินเห้าปัดมือเขาทิ้ง กล่าวอย่างเย็นยะเยือก: “ใส่ร้ายเจ้า? คำสาปแช่งในห้องลับนั่น เจ้าเป็นคนทำหรือ?”
“อันนั้นข้ายอมรับ ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ระบายอารมณ์ออกมา……” อ๋องจี้กลืนน้ำลาย สีหน้าไม่ยินยอม “แต่แผนที่ทางการทหารข้าไม่ได้ขโมย เป็นเจ้าเอาไปวางไว้แล้วใส่ร้ายข้า คนที่ขโมยแผนที่ทางการทหารเป็นเจ้า คนที่ฆ่าลู่หยวนก็คือเจ้า อยู่เบื้องหน้าเสด็จพ่อข้าต้องการชี้แจงข้อเท็จจริง ดูว่าเสด็จพ่อจะเชื่อข้าหรือว่าจะเชื่อเจ้าแมลงวันที่ทำทุกวิถีทางคนต่ำทรามที่ประจบเพื่อผลประโยชน์ผู้นี้”
มือของหยู่เหวินเห้ากำหมัด ถอยหลังก้าวหนึ่งมองดูหน้าเขา ความโกรธและความตื่นตระหนกที่ผสมกันบนหน้าของเขา ซีดขาวปะปนด้วยสีแดงเข้มทั้งหน้า คิ้วที่ขมวดอยู่ของเขาค่อนข้างบิดเบี้ยว แต่ว่าร่างกายมีความสะบักสะบอมขึ้นมาสองสามระดับจากการร้องตะโกนอยู่ในคุกมาหนึ่งวัน
ท่านนี้ ก็คือพระโอรสองค์หัวปีของฮ่องเต้แห่งเป่ยถัง
หยู่เหวินเห้าจำได้ สิบสามปีก่อน เขาแต่งงานครั้งแรก อีกทั้งเพิ่งกลับมาจากการทำสงครามชนะ เป็นความห้าวหาญชาญชัยเพียงไหนกัน?
เขาเป็นองค์ชายคนแรกที่ถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องชิน สวมชุดพิธีการขึ้นยศยืนในระเบียงด้านนอกตำหนักกวงหมิงสนทนากับพวกบรรดาน้องชาย ต้องการให้พวกเขาฝึกซ้อมวิทยายุทธ อนาคตเป็นเหมือนเขาเช่นนั้น ปกป้องประเทศ แบ่งเบาภาระเสด็จพ่อ
หยู่เหวินเห้าจำได้อย่างชัดเจน นั่นก็เป็นฤดูใบไม้ผลิเหมือนกัน แสงแดดที่สวยงามเจิดจ้าส่องลงมาจากบนศีรษะของเขา เขาทั้งคนถูกแสงปกคลุม หยู่เหวินเห้าแหงนมองเขา แอบปฏิญาณว่า อนาคตจะต้องเหมือนพี่ใหญ่เช่นนั้น ทำสงครามเพื่อประเทศ ปกป้องอาณาจักร เฝ้ารักษาราษฎรของเป่ยถัง
สิบสามปีสั้นๆ กาลเวลาเลื่อนลอยเหมือนว่าจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว มองไม่เห็นความสง่าผ่าเผยความถูกต้องบนใบหน้าของเขาอีก ไม่ได้ยินเขาพูดคุยเรื่องความซื่อสัตย์ภักดีอีก มีเพียงหุ่นสาปแช่งที่ห้อยอยู่ในห้องลับนั่น
นาทีนั้น หยู่เหวินเห้าเข้าใจจิตใจที่เจ็บปวดของเสด็จพ่อแล้ว
เสด็จพ่อฝากฝังความหวังต่อเขาไว้สูง ดังนั้นจึงปลูกฝังตั้งแต่เล็ก ต้องการอบรมเขาให้กลายเป็นฮ่องเต้ในอนาคตของเป่ยถัง แต่ว่าเขาเดินเอนเอียงไปทีละก้าวทีละก้าว
สิบสามปีก่อนแสงแดดฤดูใบไม้ผลิที่สวยตระการตานั้น หยู่เหวินเห้ามองไม่เห็นอีก มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านวันนั้น ร้องคำรามอยู่ในใจ
เขากำหมัดไว้ สุดท้ายก็ค่อยปล่อย ไม่ได้ต่อยเข้าไปบนหน้าของอ๋องจี้
เขากล่าวเบาๆ: “เสด็จพ่อได้ออกพระราชโองการให้กรมอาญาศาลต้าหลี่ปฏิบัติการตรวจสำนวนและตัดสินคดีนี้ร่วมกันกับกรมการพระนคร หากสืบความจริงได้ว่าท่านมีความคิดจะก่อกบฏ ก็ยึดทรัพย์และประหารทั้งจวนอ๋องจี้!”