บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 773 จวนอ๋องจี้ถูกตรวจค้นยึดทรัพย์
บรรยากาศข้างในน่าสลดหดหู่แต่ก็อบอุ่นใจ หยู่เหวินเห้าที่กำลังทำการยึดทรัพย์อยู่ด้านนอกก็ทำอย่างเงียบเชียบไม่ให้เป็นจุดสนใจ
หยู่เหวินเห้าสั่งการ ไม่ให้อึกทึกครึกโครมเกินไปอย่างเด็ดขาด ให้ขนย้ายแต่ของที่มีค่าออกมาเท่านั้น ทำการตรวจนับที่ลานบ้านพร้อมกันทีเดียว บันทึกลงในหนังสือ
ตั้งแต่หยู่เหวินเห้ารับตำแหน่งในกรมการพระนครมา เป็นครั้งแรกที่ทำงานเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ ไม่คิดเลยว่างานแรกก็เป็นการยึดทรัพย์บ้านของพี่ใหญ่ตนเอง
ในห้องโถงใหญ่มีเสียงหัวเราะลอยออกมา เป็นเสียงที่ดังมาก ใช้การตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงในลำคอ ราวกับต้องการจะกลบเสียงอื่นๆที่ดังอยู่ข้างนอก
เดิมทีควรเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าเศร้ามากที่สุด แต่ถูกพวกนางทำให้เกิดเป็นความน่ารื่นรมย์ขึ้นมาเล็กน้อย ความอึมครึมในใจของหยู่เหวินเห้าก็ถูกขับไล่ออกไปไม่น้อย
ความรื่นรมย์ก็แค่ฉากหน้าที่แสดงออก ความหนักอึ้งยังคงกดทับอยู่ในจิตใจของทุกคน
เพียงแต่ ในห้องโถงใหญ่ดันมีของโบราณและภาพวาดวางประดับอยู่ กระทั่งเครื่องเรือนที่มีมูลค่าสูง ล้วนต้องขนย้ายออกไปทั้งหมด
ห้องโถงใหญ่เป็นที่สุดท้าย สถานที่อื่นๆได้ขนย้ายจนหมดแล้ว ล้วนถูกวางกองเอาไว้ที่ลานด้านหน้า รอแค่การตรวจนับหลังจากขนย้ายทั้งหมดแล้ว
ผู้ช่วยเจ้ากรมกับหัวหน้าพลตระเวนไม่กล้าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า จึงได้ไปขอคำชี้แนะจากหยู่เหวินเห้า
หยู่เหวินเห้าพูดเรียบๆว่า “ตรวจนับของที่กองในลานบ้านก่อน ที่เหลือรอให้พวกนางดื่มกันเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”ผู้ช่วยเจ้ากรมตอบรับ
คนรับใช้ในจวนอ๋องจี้ ล้วนถูกกักบริเวณอยู่ที่ลานด้านหลัง ในตอนนี้ไม่สามารถออกมาได้ หลังจากตรวจนับเสร็จแล้วยังต้องไปทำการค้นตัว ดูว่ามีใครแอบซ่อนสิ่งของเอาไว้หรือไม่
ด้วยเหตุนี้ การตรวจนับจึงรวดเร็วและเงียบสงบมาก
หยวนชิงหลิงเห็นด้านนอกกำลังตรวจนับกันแล้ว รู้ว่าในห้องโถงใหญ่ก็ต้องจัดเก็บออกไป จึงได้ส่งสายตาให้กับหรงเยว่ และพูดว่า “ใช่แล้ว หรงเยว่ ข้าได้ยินมาว่าท่านชายสี่เหลิ่งได้เปิดร้านขายเครื่องประดับในเมืองหลวงหลายแห่ง ไม่สู้พวกเราออกไปเดินชมดูดีหรือไม่”
“ดีมากเลย”หรงเยว่เป็นคนฉลาด ตอบรับในทันที “เช่นนั้นท่านออกไปบอกกับพี่ห้าสักหน่อย พวกเราจะพาพี่สะใภ้ใหญ่ออกไป จะส่งกลับมาอย่างตรงเวลาในช่วงพลบค่ำ ”
“ดี”หยวนชิงหลิงรีบลุกขึ้นมาออกไปหาหยู่เหวินเห้าเพื่อบอกกล่าว หยู่เหวินเห้ากำลังกังวลไม่รู้ว่าควรจะลงมือกับห้องโถงใหญ่ด้วยวิธีอะไรอยู่ รีบตอบตกลงเห็นด้วยทันที
รถม้าถูกเตรียมไว้เรียบร้อยที่ด้านนอกแล้ว พวกหยวนชิงหลิงห้อมล้อมตัวพระชายาจี้พาเดินออกมาด้านนอก พยายามปิดบังทัศนวิสัย ไม่ให้นางเห็นความเคลื่อนไหวในลานบ้าน
พระชายาจี้เห็นท่าทางของพวกนางเช่นนี้ อยากหัวเราะและอยากร้องไห้ไปพร้อมกัน ในใจทั้งรู้สึกเป็นทุกข์และซาบซึ้ง เดินตามพวกนางออกไปขึ้นรถม้า ขบวนยิ่งใหญ่ออกเดินทางไปยังถนนฝั่งตะวันออก
ในชั่วพริบตาที่รถม้าแล่นไปไกลแล้วนั้น ป้ายหน้าประตูจวนของจวนอ๋องจี้ถูกถอดลงมา เก็บกลับไปพร้อมกัน
หน้าประตูมีสิงโตหินสองตัว ใช้ผ้าดำคลุมเอาไว้ ปิดบังความน่าเกรงขามและความน่ายำเกรงของอ๋องแห่งราชวงศ์
ในจวนอ๋อง สิ่งของที่มีค่าล้วนถูกขนย้ายออกไป รถม้าขนส่งคันแล้วคันเล่า ยังไม่มีการนำออกไปขายเป็นการชั่วคราวแต่จะทำการส่งของทั้งหมดเข้าไปไว้ในคลังหลวง
เดิมที่สินสอดติดตัวของพระชายาจี้ที่นำมาจากตระกูลมารดานั้นไม่ต้องยึดเป็นของหลวง แต่หลายปีมานี้ นางได้ใช้เงินทุกอีแปะที่เป็นสินสอดติดตัวจากตระกูลมารดาเพื่ออ๋องนี้ไปจนหมดแล้ว ฉะนั้น หลังจากการยึดทรัพย์ ก็ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก
หลังจากทำการตรวจนับแล้ว ก็จะทำการตรวจค้นตัวของบ่าวรับใช้ในจวน เพื่อเป็นการรับประกันว่าไม่สามารถนำสิ่งของมีค่าออกไปจากจวนอ๋องได้แม้แต่อีแปะเดียว
ในช่วงพลบค่ำขณะที่ทุกคนส่งพระชายาจี้กลับมา จวนอ๋องจี้ก็ว่างเปล่าไปหมดแล้ว นอกจากถ้วยชามรามไหในห้องครัว และเสื้อผ้าบางส่วนที่สวมใส่อยู่เป็นประจำแล้ว ล้วนถูกขนย้ายไปหมด
หัวใจของพระชายาจี้ ในชั่วขณะนั้น ก็ว่างเปล่าเช่นกัน
แม้จะมีการเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอเห็นจวนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
ทุกคนไม่ได้เกลี้ยกล่อมขอร้อง เพียงแค่เดินเข้าไปพร้อมกับนาง
ในห้องโถงใหญ่ โต๊ะเก้าอี้อันล้ำค่าถูกขนออกไปแล้ว มีเพียงเก้าอี้ไม่กี่ตัว เก้าอี้เหล่านี้ถูกขนมาจากห้องของบ่าวรับใช้ในจวน เดิมที่ไม่มีอยู่ หยู่เหวินเห้ามีน้ำใจช่วยนางขนย้ายมาไว้ให้ก่อน
พระชายาจี้เช็ดน้ำตาที่หางตา พูดยิ้มๆว่า “ดีที่จวิ้นจู่ไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นหากพวกนางเห็นเข้า คงจะตกใจน่าดู”
หยวนชิงหลิงกุมมือของนางเอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “เอาอย่างนี้ เจ้าก็ไปอยู่กับข้าระยะหนึ่งดีหรือไม่”
“ไม่ คนที่มีความผิดติดตัว ไหนเลยจะเข้าไปในจวนอ๋องฉู่ได้ เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระให้กับน้องห้าในตอนนี้ ข้าจะรอราชโองการสุดท้ายอยู่ที่นี่ ”พระชายาจี้ส่ายหน้าและพูดขึ้น
หรงเยว่พูดว่า “ตอนนี้ได้ตรวจนับแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เพิ่มของใช้ประจำวันในจวนเสียหน่อย ตามหลักแล้วก็ไม่ผิดกฎอะไร”
“ไม่จำเป็น ไม่ต้องลำบากแล้ว ”พระชายาจี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง เก้าอี้โยกเยกอยู่บ้าง นางเกือบจะนั่งไม่มั่นคง โชคดีที่หรงเยว่สายตาดีมือไว ยื่นมือออกไปประคองเอาไว้
หัวใจของทุกคนรู้สึกเศร้า มองพระชายาจี้ที่ยังคงเชิดอกตัวตั้งตรง นางพยายามรักษาความน่าเกรงขามเส้นสุดท้ายเอาไว้
“พวกเจ้าไปเถอะ ข้าอยากจะเดินเล่นคนเดียว”พระชายาจี้พูด
ทุกคนต่างรู้ดี ตอนนี้พวกนางจะอยู่ต่อกลับเป็นการไม่ดี นางยังต้องพยายามแสร้งทำเป็นดีใจเพื่อปลอบใจทุกคน ทรมานมากแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนต่างก็จากไป
จวนอ๋องจี้ถูกยึดทรัพย์ เป็นเรื่องใหญ่โตในเมืองหลวง แม้ว่ากรมการพระนครจะดำเนินการอย่างไม่ให้เป็นที่สนใจแล้ว แต่ว่านอกประตูมีทหารจวนคอยเฝ้าอยู่ แล้วยังมีการขนย้ายสิ่งของโดยรถม้าคันแล้วคันเล่า แม้แต่ป้ายจวนของจวนอ๋องจี้ก็ถูกรื้อถอนออกมา ประชาชนต่างก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็แห่กันมาดู
แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้ ความทุกข์อันใหญ่หลวงของคนอื่นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้คนที่รอปูเสื่อมุงดูอยู่
วันถัดมาหลังจากการยึดทรัพย์ ข่าวได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว วันนั้นที่จวนอ๋องถูกขโมยขึ้นบ้าน กรมการพระนครเข้าไปยังห้องลับเห็นคนกำลังทำการสาปแช่งอยู่ ในเหตุการณ์ยังมีบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องจี้อีกมากมายอยู่ด้วย ข่าวนี้ถูกแพร่ออกไป
การสาปแช่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและรัชทายาท เป็นการไม่เคารพและเป็นกบฏอย่างใหญ่หลวง
การยึดทรัพย์ก็ไม่เป็นการถูกใส่ความแล้ว
หยวนชิงหลิงให้คนส่งเนื้อและข้าวสารไปยังจวนอ๋องจี้ ให้พวกเขาได้ยืนหยัดต่อไปอีกสักระยะ
แต่ก่อนจวนอ๋องจี้อบรมสั่งสอนบ่าวไพร่อย่างเข้มงวด แม้ว่าจะเจอกับสถานการณ์อันเลวร้ายตรงหน้า คนที่ก่อกวนในจวนนั้นมีไม่มาก ไม่ช้าก็กลับคืนสู่ระเบียบวินัย
ในจวนอ๋องฉู่นั้นห้ามมิให้มีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เกรงว่าเมิ่งเยว่กับเมิ่งซิงได้ยินเข้า
แต่ก็ป้องกันคนของตระกูลมารดาพระชายาจี้มาถามไถ่สถานการณ์ไม่ได้ และได้รวดบอกกล่าวกับเมิ่งเยว่และเมิ่งซิง หลังจากที่ท่านอาออกไปแล้ว สองพี่น้องก็กอดกันร้องไห้อยู่ในห้อง
เมิ่งเยว่ยังดีหน่อย เมิ่งซิงนั้นอายุน้อยกว่านางสองปี ถูกปกป้องตลอดมา ไม่รู้เรื่องราวภายนอก พอได้ยินเรื่องที่จวนถูกยึดทรัพย์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก็ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ร้องไห้แล้วก็พูดว่าจะกลับไปหาเสด็จแม่
หยวนชิงหลิงมาเกลี้ยกล่อมเอาไว้ กุมมือของทั้งสองคนเอาไว้ให้คำแนะนำอย่างจริงใจว่า“พวกเจ้าก็เป็นหญิงสาวที่เติบใหญ่แล้ว เมื่อก่อนไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีเสด็จแม่ของพวกเจ้าคอยช่วยเหลือ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องช่วยเหลือเสด็จแม่ เพื่อไม่ให้นางเป็นกังวล พรุ่งนี้ข้าจะคิดหาวิธีพาพวกเจ้าออกไปพบกับนางสักครั้ง แต่ว่า พวกเจ้าต้องรับปากข้า ต่อหน้าเสด็จแม่ของพวกเจ้า ไม่หลั่งน้ำตา ไม่ร้องโวยวาย ต้องแสดงออกถึงด้านที่รู้เหตุรู้ผลให้นางสบายใจ เข้าใจหรือไม่ สถานการณ์ตอนนี้ พวกเจ้าสามคนแม่ลูกจำเป็นต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงจะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปได้ ”
เมิ่งเยว่นั้นได้คำนับหยวนชิงหลิงเป็นอาจารย์แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่หยวนชิงหลิงพูดนางล้วนเชื่อฟังและทำตาม แต่เมิ่งซิงนั้นใกล้ชิดกับหยวนชิงหลิงน้อยมาก บวกกับไม่เข้าใจในเหตุการณ์ต่างๆภายนอก ยังคงร้องไห้โวยวายอยู่พักใหญ่ บอกว่าจะไปหาเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ หยวนชิงหลิงทำอย่างไรก็เกลี้ยกล่อมนางไม่ได้
ทันใดนั้นเมิ่งเยว่ก็ยื่นมือออกไปตบหน้านางหนึ่งที พูดเสียงดุว่า“ห้ามร้องไห้ กลั้นน้ำตากลับไป ร้องไห้แล้วมีประโยชน์อันใด เสด็จแม่ยังอยู่ในจวนไม่ได้ออกมา พวกเราจะร้องห่มร้องไห้ให้เสด็จแม่เป็นกังวลในตัวพวกเราต่อไปหรืออย่างไร ถ้าหากเจ้ายังไม่หุบปากเช็ดน้ำตาให้แห้ง พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปพบเสด็จแม่กับข้า ”
ชั่วขณะนั้นเมิ่งเยว่ได้แสดงออกให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและหน้าที่รับผิดชอบของคนเป็นพี่ใหญ่ นี่ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกคาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน นางเองก็เลื่อมใสในการอบรมสั่งสอนลูกของพระชายาจี้ นางมีสายตามองการณ์ไกลจริงๆ ฉะนั้นจึงได้อบรมสั่งสอนให้ลูกมีด้านที่สามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้