บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 774 สองสามีภรรยาพบหน้ากันอีกครั้ง
วันถัดมา หยวนชิงหลิงสั่งให้คนไปรับพระชายาจี้ไปที่จวนเหลิ่ง นางจะพาสองพี่น้องเมิ่งเยว่กับเมิ่งซิงไปที่นั่นด้วย
ก่อนออกเดินทาง หยวนชิงหลิงก็ได้กำชับกับทั้งสองพี่น้องอยู่หลายครั้ง ว่าอย่าทำให้เสด็จแม่ต้องเสียใจหลั่งน้ำตา
เมื่อคืนเมิ่งเยว่นอนเตียงเดียวกันกับน้องสาว พูดเหตุผลให้นางฟัง วันนี้เมิ่งซิงมีท่าทีที่แสดงออกว่าเข้มแข็งขึ้นมาก
เมื่อพบกันพระชายาจี้ แม้ขอบตาจะแดงก่ำ แต่ก็อดกลั้นอย่างสุดแรงไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
เมิ่งซิงไม่รู้เรื่องที่อ๋องจี้กระทำผิด ยังคงคิดถึงความรักระหว่างพ่อลูก หลังจากพูดคุยกับเสด็จแม่แล้ว ก็ขอร้องให้เสด็จแม่ไปสืบข่าวของเสด็จพ่ออย่างเป็นห่วงว่าอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไรบ้าง
พระชายาจี้บอกกับพวกนางว่า อ๋องจี้ถูกส่งไปอยู่ในพระที่นั่ง ไม่ได้ลำบากอะไร และตอบตกลงกับเมิ่งซิงว่าจะไปเยี่ยมเขา
ใช้เวลาอยู่ที่จวนเหลิ่งหนึ่งชั่วยาม แม่ลูกทั้งสามคนยังกินข้าวร่วมกันหนึ่งมื้อ ก่อนจะจากกันไป พระชายาจี้ได้พูดกับลูกสาวทั้งสองคนอย่างขึงขังจริงจังว่า “พวกเจ้าอาศัยที่จวนอ๋องฉู่ไปชั่วคราวก่อน จำไว้ว่าต้องเชื่อฟังคำพูดของอาห้ากับอาสะใภ้ทุกเรื่อง อย่าเอาแต่ใจ อย่าทำตัวไม่ดี ยิ่งไม่สามารถร้องไห้โวยวาย จะทำเหมือนตอนอยู่ที่จวนของเราไม่ได้……”
หยวนชิงหลิงฟังสิ่งที่นางพูดอยู่ข้างๆ ก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “เจ้าจะพูดเรื่องเหล่านี้กับเด็กๆทำไม อยู่ในจวนอ๋องฉู่ก็เหมือนกับอยู่ที่บ้านของตัวเอง เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตในจวนอย่างไร ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตในจวนอ๋องฉู่อย่างนั้น เจ้าแค่วางใจก็พอ”
พระชายาจี้มองนางอย่างซาบซึ้งใจแวบหนึ่ง “ตอนนี้ข้าจะยังไม่พูดขอบคุณเจ้า บุญคุณครั้งนี้ไม่สามารถหาสิ่งใดมาตอบแทนได้ ถ้าหากชาติหน้า……หากชาติหน้ามีจริงละก็ ข้าค่อยตอบแทนเจ้า”
“ไม่ชอบฟังคำพูดไร้สาระเหล่านี้ ”หยวนชิงหลิงค้อนให้นาง “เอาล่ะ ข้าจะพาพวกนางกลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเจ้า”
พระชายาจี้คิดว่าจะขอร้องให้นางอย่าเอาแต่เข้าออกจวนอ๋องจี้ แต่มีลูกสาวอยู่ด้วย เกรงว่าจะเป็นการพูดมากทำให้พวกนางเป็นห่วง
ศาลต้าหลี่ กรมอาญาเริ่มทำการร่วมมือกับกรมการพระนครในการตรวจสำนวนและตัดสินคดีที่หยู่เหวินจุนขโมยแผนที่ทางการทหาร
การตรวจสำนวนและตัดสินคดีนี้ ที่จริงก็ทำให้ทั้งสามกรมลำบากใจไม่น้อย เพราะไม่มีหลักฐานอื่นๆประกอบ มีเพียงแผนที่ทางการทหารที่ถูกค้นเจอจากห้องลับเท่านั้น และอ๋องจี้ก็ไม่ยอมรับ ได้แต่ร้องว่าถูกใส่ร้าย
ฉะนั้น ในการตรวจสำนวนและตัดสินคดีในครั้งแรก ได้แต่สิ้นสุดลงอย่างพอเป็นพิธีและไม่ละเอียดมากนัก
ตอนที่หยู่เหวินจุนถูกส่งกลับไปที่คุกหลวง หยู่เหวินเห้าได้มอบหมายลงไป ให้คนไปบอกเขาว่า ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นท่านอ๋องแล้ว และจวนอ๋องจี้ก็ถือตรวจค้นยึดทรัพย์ทั้งหมดแล้วด้วย
ร่างของหยู่เหวินจุนอ่อนยวบถูกคนลากกลับไปยังคุกหลวง
เขาอยู่ในคุกด้วยสีหน้าขาวซีด เป็นเวลานานก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ผ่านไปประมาณกว่าครึ่งชั่วยาม จึงค่อยๆจับลูกกรงประคองตัวลุกขึ้น ร้องตะโกนออกไปข้างนอกด้วยความสิ้นหวังเสียงหนึ่ง “ข้าต้องการพบหยู่เหวินเห้า ต้องการพบหยู่เหวินเห้า ”หยู่เหวินเห้าไม่ได้มาพบเขา แต่ว่าวันรุ่งขึ้นพระชายาจี้มาเยี่ยมเขา
พระชายาจี้สวมชุดสีขาวทั้งร่าง ปรากฏตัวขึ้นที่คุกหลวงในกรมการพระนคร ในมือของนางถือกล่องอาหารไว้หนึ่งกล่อง ในกล่องนั้นมีกับข้าวหลายอย่าง ล้วนเป็นฝีมือนางทั้งสิ้น
เป็นสามีภรรยากัน นางเป็นตัวแทนลูกสาวมาดูเขาสักครั้ง นางหวังว่าการพบหน้ากันครั้งสุดท้ายจะไม่ใช่การพบกันที่ลานประหาร ถ้าหากถูกตัดสินโทษว่าก่อกบฏจริง เช่นนั้นนางยินดีจะแขวนคอตัวเองเสียดีกว่า จะไม่ยอมถูกประหารชีวิตด้วยการบั่นคอพร้อมกับเขาในลานประหาร
อ๋องจี้มองเห็นนาง ในสายตาก็เกิดประกายไฟคุกรุ่นขึ้นมาทันที กัดฟันพูดขึ้นว่า “เจ้ามันหญิงอสรพิษยังจะกล้ามาที่นี่อีก ยังทำร้ายข้าไม่พอหรืออย่างไร”
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นมา เขาเคยไตร่ตรองอย่างสงบ จวนอ๋องถูกขโมยขึ้นบ้าน ทำไมจึงไปที่ห้องหนังสือเท่านั้น ต้องเป็นนางที่ใช้ข้ออ้างเรื่องขโมย จงใจดึงดูดคนของกรมการพระนครมา
พระชายาจี้ให้พัศดีเปิดประตู พูดเสียงเบาว่า “ประเดี๋ยวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็อย่าได้ส่งเสียงเด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ”พัศดีตอบรับ เปิดประตูให้นางเข้าไป
นางเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไป ลำคอก็ถูกเขาคว้าและบีบไว้แน่น ใบหน้าโหดเหี้ยมดุดันอยู่บนศีรษะของนาง น้ำเสียงเย็นชา “เจ้ารนหาที่ตาย”
ทันใดนั้นพระชายาจี้รู้สึกหายใจลำบาก กล่องอาหารในมือร่วงหล่นลงไปบนพื้น นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก ในลำคอมีเสียงอู้อี้ดังขึ้น
หยู่เหวินจุนเกลียดชังนางมากถึงที่สุด ดันนางไปติดกับกรงเหล็กใช้การบีบคอยกร่างของนางขึ้นมา เอาศีรษะของนางกดทับไปที่กรงเล็ก เท้าทั้งสองข้างลอยสูงขึ้นจากพื้น
พระชายาจี้ไม่ได้ดิ้นรนต่อสู้แม้แต่น้อย ปล่อยให้เขาบีบคอตามอำเภอใจ กระทั่งดวงตาทั้งคู่ของนางเหลือกขึ้น หยู่เหวินจุนจึงปล่อยนางออก
ร่างของพระชายาจี้อ่อนยวบทรุดลงไปที่พื้น หายใจเข้าเฮือกใหญ่ๆ เวียนหัวจนทำให้เกิดอาการอยากจะอาเจียนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ยังไม่ทันที่นางจะได้สติกลับคืนมา หยู่เหวินจุนก็ใช้ฝ่ามือตบลงมาที่หน้าของนางเต็มเปา นางถูกตบจนฟุบลงไปกับพื้น ศีรษะโขกลงไปบนกล่องข้าวพอดิบพอดี
“พูด ทำไมเจ้าต้องใส่ร้ายข้า ”หยู่เหวินจุนใช้มือจิกผมของนาง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมามองเขา ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธและเกลียดชัง มีเมียไม่ดี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าชีวิตของตัวเองต้องมาตกอยู่ในกำมือของพระชายาที่เขาแต่งงานด้วย
นี่ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกโกรธมากด้วย
มุมปากของพระชายาจี้มีเลือดไหลซิบออกมา นางกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถูกกระชากหนังศีรษะเอาไว้ จ้องมองเขา ในสายตาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังเช่นเดียวกัน
“ปล่อย……ข้า ข้าจะบอกท่านว่าเพราะอะไร ”
ตอนที่หยู่เหวินจุนคลายมือปล่อยนาง ก็ตบนางอย่างแรงอีกหนึ่งครั้ง ตบจนนางเวียนศีรษะหน้าหัน ในตามีดวงดาวพร่างพราวขึ้นมา
พัศดียืนอยู่ข้างนอก แม้พระชายาจี้จะสั่งการไว้แล้วว่าไม่ให้ยุ่ง แต่พัศดีก็อดไม่ได้ที่จะดุขึ้นมาเสียงหนึ่งว่า “ห้ามท่านลงมือเด็ดขาด”
หยู่เหวินจุนยิ่งรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที ใช้เท้าเตะไปที่ท้องของพระชายาจี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยไฟโทสะตะคอกไปยังพัศดี “เจ้าเป็นใคร กล้าออกคำสั่งกับข้าหรือ”
พระชายาจี้กุมท้องเอาไว้กลิ้งไปมากับพื้น โบกมือให้กับพัศดีอย่างยากลำบาก
เป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี ทำไมจะไม่รู้นิสัยใจคอของเขา ถ้าหากให้เขาระบายอารมณ์โดยไม่เปล่งเสียงเลยจนจบสิ้นก็ได้แล้ว ถ้ามีคนนอกออกหน้า เช่นนั้นนางจะต้องทนรับความทรมานมากขึ้น
พัศดีได้แต่หุบปากโดยดี ถอยไปยืนอยู่ข้างๆ
พระชายาจี้อดทนต่อความเจ็บปวด เปิดกล่องข้าวออกมา ของว่างและกับข้าวข้างในถูกกระแทกจนผสมรวมกันไปหมด นางค่อยๆจัดเรียงและยกขึ้นมา วางไว้บนพื้น
หยู่เหวินจุนเห็นดังนั้น ก็เตะเข้าไปอีกหนึ่งที ทำให้กับข้าวหกกระจัดกระจายไปหมด “ทำไม ไม่ได้ใส่ร้ายให้ข้าตาย ก็คิดจะวางยาพิษให้ข้าตายอย่างนั้นหรือ เจ้ามันเป็นหญิงอสรพิษ ต้องไม่ได้ตายดี ”
เขาเหมือนสัตว์ป่าที่กราดเกรี้ยว เตะอย่างบ้าคลั่ง พระชายาจี้หลบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องขัง มองเขาที่กำลังคลุ้มคลั่ง
จนเขาระบายอารมณ์หมดสิ้นแล้ว พระชายาจี้จึงเอ่ยขึ้นเรียบๆว่า “ถูกต้อง ข้าเป็นคนชักนำคนของกรมการพระนครไป เจ้าอยากรู้ว่าเพราะอะไรหรือไม่”
หยู่เหวินจุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าพูดมา ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เจ้าก็หนีความตายไม่พ้น”
พระชายาจี้ยื่นมือออกมาเช็ดคราบเลือดที่มุมปากชั่วครู่ หัวเราะขึ้นอย่างมาอย่างประชดประชันและรันทดใจ “ตั้งแต่วันที่ท่านทอดทิ้งไม่ใช้งานข้า ข้าก็ยากจะหนีพ้นจากความตายแล้ว ท่านเองก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่จะฆ่าข้า”
นางเงยหน้าขึ้น สายตามีแววแห่งความโกรธเคืองพุ่งขึ้นมา “แต่ท่านไม่ควร ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะเอาเรื่องการแต่งงานของเมิ่งเยว่มาปูทางให้ตัวเองในเรื่องที่ท่านเรียกว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเริ่มจากตอนนั้น ข้ารู้ว่าขอเพียงท่านรู้ว่าตัวเองยังมีโอกาสอยู่ ท่านก็จะไม่เสียดายที่จะเสียสละทุกสิ่งเพื่อให้ใจที่มีความทะเยอทะยานของท่านได้สมหวัง เมิ่งเยว่ เมิ่งซิง ที่สุดก็จะกลายเป็นเครื่องมือของท่าน ท่านไม่มีทางสนใจความเป็นความตายของพวกนาง แล้วข้าจะให้หัวใจของท่านมีความหวังแม้แต่น้อยนิดได้อย่างไร มีเพียงความอกตัญญูกับความโหดเหี้ยมของท่านที่ถูกเปิดเผยต่อหน้าเสด็จพ่อเท่านั้น ให้เสด็จพ่อลงโทษท่านอย่างเข้มงวดที่สุด ป้องกันท่าน ข้าจึงจะสามารถรักษาลูกสาวทั้งสองคนเอาไว้ได้ ”
น้ำเสียงของหยู่เหวินจุนเย็นยะเยือก “เพราะฉะนั้น แผนที่ทางการทหารเจ้าเป็นคนขโมยมาจริงหรือ เป็นเจ้าที่โยนความผิดใส่ร้ายข้าหรือ”
สายตาของเขามีแววลิงโลดผุดขึ้นมา เดินเข้าข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กระชากคอเสื้อของพระชายาจี้ขึ้นมาหันไปตะโกนเรียกพัศดีคนนั้น “ได้ยินหรือไม่ รีบไปเรียกหยู่เหวินเห้ามา บอกเขา ข้าถูกใส่ร้าย”
พัศดีไม่พูดจา สีหน้าเฉยเมย
หยู่เหวินจุนโกรธมาก “เจ้าหูหนวกหรืออย่างไร บอกว่าให้เจ้ารีบไปส่งข่าว เรียกให้หยู่เหวินเห้ามาพบข้า”
พระชายาจี้หัวเราะเสียงเย็น “เขาไม่มีทางมา ท่านอย่าคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย คนที่ต้องการจะทำร้ายท่านให้ตายไม่ใช่ข้า แผนที่ทางการทหารนั้นข้าไม่ได้เป็นคนเอามา เดิมทีข้าแค่คิดอยากจะให้ท่านกลับไปถูกกักบริเวณต่อเนื่องเท่านั้น การตรวจค้นจนเจอแผนที่ทางการทหารในจวนอ๋องจี้ ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าท่านมีแผนจะก่อกบฏจริงๆ ข้ากับจวิ้นจู่ก็ไม่อาจจะหลุดพ้นข้อกล่าวหาได้ ข้าจะโง่เขลาแค่ไหนก็ไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ”