บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 781 ครบหนึ่งขวบแล้ว
หยู่เหวินจุนไปจากจวนอ๋องจี้ ฉินเฟยให้คนในตระกูลมารดามาช่วยจัดการเขา ซื้อบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งให้เขา หาบ่าวรับใช้ไว้ปรนนิบัติสองคน
หยู่เหวินจุนเคยไปหาฉู่หมิงหยางที่บ้านตระกูลฉู่ แต่ฉู่หมิงหยางกลับหลบหน้าไม่ยอมพบ ได้แต่ให้อาสะใภ้ออกหน้าไปขอหนังสือหย่าแทนนาง หยู่เหวินจุนไม่ได้ให้ และไม่กล้าหาเรื่องโวยวายที่จวนฉู่ ได้แต่มองประตูใหญ่สีแดงด้วยสายตาเย็นชาอยู่พักหนึ่ง จึงพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “หนังสือหย่าไม่มีทางให้เจ้า ให้เสียเวลาด้วยกันตลอดชีวิตเถอะ ดูสิว่าใครจะทำให้เสียเวลามากกว่ากัน”
พูดจบเขาก็เดินจากไป
ที่หยู่เหวินจุนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ย่อมต้องได้รับการดูถูกดูแคลนมามากแล้ว ลูกน้องและเพื่อนที่เคยไปมาหาสู่กันเป็นอย่างดีในวันวาน ต่างก็หลบลี้หนีหน้าเขาไปกันหมด มาที่จวนตระกูลฉู่ได้รับแต่ความเย็นชา เขาเองก็เตรียมใจไว้แล้ว แต่กลับรู้สึกว่าปฏิบัติต่อฉู่หมิงหยางดีไม่น้อย นางคงไม่ทอดทิ้งโดยไม่สนใจ
ทว่า นางกลับเย็นชาได้ถึงเพียงนี้
เขาอยากจะเข้าวังสักครั้ง แต่ว่า ไม่มีคนช่วยเหลือ ลำพังคนชั้นเลวอย่างเขานั้นเข้าไปไม่ได้ สุดท้ายเขาไปที่จวนอ๋องหวย
วิเคราะห์จากเหล่าท่านอ๋องทั้งหลายแล้ว หยู่เหวินเห้านั้นเขาไม่มีทางไปขอร้อง อ๋องอันเองก็เกรงว่าจะหลบอยู่ในบ้านหัวเราะเยาะเขาจนหุบปากไม่ลง ส่วนทางด้านเจ้ารอง ยิ่งไม่ต้องคิด เมื่อก่อนเขาเคยกดขี่ข่มเหงเจ้ารองมาไม่น้อย และคงไม่กล้าบากหน้าไปขอร้องเขา เจ้าเจ็ดตอนนี้ทำงานอยู่ที่กรมการพระนคร เป็นพวกเดียวกันกับหยู่เหวินเห้า ไม่มีทางช่วยเขาแน่ๆ
คิดไปคิดมา ก็มีเพียงเจ้าหกที่พอจะช่วยเหลือได้บ้าง
อ๋องหวยเป็นคนใจกว้าง และเป็นคนที่รักพี่น้องมาก รู้สึกเจ็บปวดใจต่อจุดจบของหยู่เหวินจุนในตอนนี้ยิ่งนัก
ฉะนั้น เมื่อหยู่เหวินจุนมาหา เขาก็ต้อนรับอย่างให้เกียรติ
แต่ตอนที่หยู่เหวินจุนกล่าวว่าจะให้เขาพาเข้าวัง อ๋องหวยก็โบกมือ “ไม่ได้ เสด็จพ่อมีรับสั่ง พี่ใหญ่ไม่สามารถเข้าวังได้ ข้าทำไม่ได้”
หยู่เหวินจุนเอ่ยวิงวอน “ข้าไม่ได้จะไปขอร้องให้เสด็จพ่อยกโทษให้ ข้าแค่อยากจะพบหน้าเสด็จแม่เท่านั้น เกรงว่าเพราะเรื่องของข้า จะทำให้นางใจแตกสลายไปแล้ว ความล้มเหลวของคนเป็นลูกอย่างข้า ทำให้นางต้องลำบากไปด้วย ในใจรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง เจ้าช่วยพี่หน่อยเถอะ ให้ข้าได้โขกหัวคำนับต่อหน้านางสักครั้ง ชีวิตนี้พี่ใหญ่ขอร้องเจ้าแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เจ้าอย่านิ่งดูดายเลย”
อ๋องหวยดูเขาน่าสงสารจริงๆ แต่แม้ว่าเขาจะใจอ่อน แต่ก็รู้ว่ามีขอบเขตที่เขาไม่อาจจะแตะต้องได้ โดยเฉพาะในยามคับขันเช่นนี้ ถ้าหากให้เขาเข้าวังแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เช่นนั้นเขาคงรับผิดชอบไม่ไหว
ฉะนั้น เขาจึงแข็งใจ ไม่ยอมช่วยเหลือ
หยู่เหวินจุนเห็นท่าทีอันเฉียบขาดของเขา ก็โมโห แต่ติดที่มีหรงเยว่คอยจ้องมองอยู่ข้างนอกราวกับแม่เสือ จ้องจนหัวใจเขากลัวจนขนลุก จึงไม่กล้าบันดาลโทสะ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
อ๋องหวยมองเงาหลังที่ตกอับของเขา ปวดใจมาก พูดกับหรงเยว่ว่า “แต่ก่อนเขาน่าเกรงขามมากแค่ไหน ตอนนี้กลับต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องขอร้องคนอื่นไปทั่วเช่นนี้ ”
“เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง”หรงเยว่พูดเรียบๆ “ไม่ว่าใครก็ควรต้องแบกรับกับผลของการกระทำที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถยกเว้นได้ ตามหลักแล้วเขาเป็นพี่ใหญ่ สมควรจะเป็นคนที่รู้เหตุผลมากที่สุด และควรเป็นเขาที่คอยปกป้องพวกพี่น้องของท่าน แต่ว่าตอนนี้กลับตรงกันข้าม เขาก็เหมือนเด็กเกเรที่ทำผิดอยู่เสมอ พวกท่านเจ็บปวดใจเพราะเขา คิดถึงความรักระหว่างพี่น้อง เขาเคยคิดถึงหรือไม่ เขาเป็นใคร จึงต้องให้ทุกคนเอาใจเขา ถ้าหากเขารู้ว่าผิดไปแล้ว ช่วยเขาหน่อยก็ไม่เป็นไร ท่านไม่ได้เห็นว่าเขาปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ใหญ่เช่นไร ให้หนังสือหย่าก็แล้วไปเถอะ ยังพูดจาโหดร้ายเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้สถานะข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว คนต่ำช้าเช่นนี้ข้าคงเข้าไปตบบ้องหูให้หลายทีแล้ว”
เมื่อแต่งงานอยู่กินกันนานแล้ว หรงเยว่ก็ค่อยๆเผยสันดานเดิมออกมาให้เห็น พูดจาต่อหน้าเจ้าหกตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร เลวร้ายเจ็บแสบ แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าหกก็ไม่สามารถหย่านางได้ กฎของสำนักเหลิ่งหลังก็คือสินค้าเมื่อขายออกไปแล้วไม่รับคืนอย่างเด็ดขาด
ดีที่อ๋องหวยก็ฟังจนชินแล้ว ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ กระทั่งยังมองนางด้วยสายตารักใคร่ด้วยซ้ำ
หยู่เหวินจุนทรมานอยู่หลายวัน รู้ว่าไร้หนทางจะหาที่พึ่งพาช่วยเหลือได้ จึงได้หยุดพักลง
วันเวลาผ่านไปอย่างราบเรียบและสงบ
เมื่อถึงเดือนสี่ ผู้ช่วยเจ้ากรมของกรมการพระนครถูกโยกย้ายไปยังนอกเมือง กรมข้าราชการพลเรือนจึงได้ให้เจ้าเจ็ดเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมการพระนคร
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแรมสิบแปดค่ำ เป็นวันเกิดครบหนึ่งขวบของลูกๆทั้งสามคน
ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ ในวังไม่เคยได้ใช้ชีวิตที่เงียบสงบ สามารถพูดได้ว่า ปีนี้แทบไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ แม้ว่าตอนนี้เรื่องราวจะสงบลงไปแล้ว
แต่ว่าปีนี้ใช้ชีวิตกันเช่นนี้ ในวังหลวงเหมือนมีเมฆหมอกร้ายปกคลุมอยู่อย่างหนาหนักชั้นหนึ่ง ไม่จางหายไป
ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้หมิงหยวนตัดสินใจว่าจะจัดงานฉลองครบขวบปีของเด็กทั้งสามคนอย่างยิ่งใหญ่
เพราะตอนนี้ซาลาเปาได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระราชนัดดาองค์ใหญ่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงงานใหญ่ของจวนอ๋องฉู่เท่านั้น ยังมีงานใหญ่ของวังหลวงอีกด้วย
เพราะรัชทายาทไม่ได้อาศัยอยู่ในตำหนักบูรพา ฉะนั้น งานฉลองวันเกิดจะถูกจัดขึ้นยังพระที่นั่งของราชวงศ์
แม่นมสี่ไปตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว ร่วมกับกรมวังจัดการงานใหญ่ร่วมกัน ถึงเวลาไม่เพียงแต่แขกเหรื่อจากทั่วทุกสารทิศ เหล่าท่านหญิงในวังก็ไปร่วมงานด้วย ฉะนั้น จะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย
หวงกุ้ยเฟยก็ไปเตรียมงานด้วยตนเอง ตั้งแต่เจ้าห้ากับหยู่เหวินหลิงถูกฝากฝังไว้กับนาง เหล่าของว่างก็กลายเป็นหลานอย่างชอบด้วยทำนองคลองธรรม คนเป็นเสด็จย่าเช่นนางก็ต้องแสดงออกให้ดีเสียหน่อย
การจัดงานมงคลขึ้นมา ย่อมสามารถชะล้างวันเวลาที่เคยทำให้ทุกข์ทรมานใจได้
ในจวนอ๋องฉู่ก็คึกคักขึ้นมา ระหว่างพี่น้อง ระหว่างสะใภ้ร่วมตระกูลก็ไปมาหาสู่กันมากขึ้น ในช่วงครึ่งเดือนมานี้ พระชายาอันกับพระชายาซุนถ้ามีเวลาว่างก็มาที่จวนอ๋องฉู่เสมอ และยังดึงดันพาแม่นางเหยามาด้วย อยู่ร่วมกันอย่างเข้ากันได้ดีมาก
ในวันแรมสิบสี่ค่ำ ได้รับของขวัญที่ส่งมาจากแดนไกล
เป็นกุญแจทองเล็กๆสามอัน สลักคำว่าอายุมั่นขวัญยืนเอาไว้
เป็นลุงสามของเหล่าของว่างอ๋องเว่ยส่งมาให้ ไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงการอวยพรอย่างไร้สุ้มเสียง
หลังจากหยู่เหวินเห้าได้รับแล้ว มอบหมายให้แม่นมสี่ เมื่อถึงวันงานแล้วให้สวมใส่กุญแจทองให้กับเหล่าของว่าง
สะใภ้ร่วมตระกูลย่อมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงจวิ้นจู่จิ้งเหอขึ้นมา
นางไปจากเมืองหลวงเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ไหน และไม่รู้ว่ายังสบายดีหรือไม่
พระชายาซุนกับจวิ้นจู่จิ้งเหอนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด พูดถึงนางแล้วก็ต้องเช็ดน้ำตา ทุกคนต่างก็ปลอบใจ แต่ในวันแห่งความเป็นสิริมงคลนี้ ยังคงเพิ่มเติมความเจ็บปวดอยู่บ้างเล็กน้อยเพราะเรื่องสามีภรรยาของพวกเขา
สุดท้ายหยวนชิงหลิงพูดว่า “ไม่ต้องเสียใจ ถ้าหากมีวาสนา ในที่สุดก็ต้องได้พบกันอีก”
ทุกคนต่างก็พยักหน้า เฝ้ารอให้ถึงวันนั้น
หยวนหย่งอี้เองช่วงนี้ก็มาที่จวนอ๋องฉู่บ่อยครั้งมากขึ้น แต่ว่า ส่วนมากก็คอยอยู่เป็นเพื่อนลู่หยวนที่จวนลู่
ลู่หยวนยังคงไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แต่ว่า คนในตระกูลลู่ต่างก็ตั้งความหวังใหม่ รู้ว่าเขาต้องดีขึ้นมา
ในงานฉลองวันเกิด ยิ่งใหญ่และคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ยังมีการปล่อยพลุ
เหล่าของว่างสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ สดใสกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง บนคอมีกุญแจทองคล้องเอาไว้ คาดที่คาดหน้าผากที่วาดเป็นสีทอง ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าเกรงขามด้วยการขี่หมาป่าหิมะและพาตอเป่ามาด้วย
หมาป่าหิมะตอนนี้ได้กลายเป็นหมาป่าโตเต็มวัยแล้ว รูปร่างสูงใหญ่ หลายวันก่อนเคยชั่งน้ำหนัก มีน้ำหนักหนึ่งร้อยชั่งพอดี เมื่อยืนอยู่กับตอเป่า ตอเป่าที่ตัวใหญ่ขนาดนั้นยังถูกเปรียบเทียบจนตัวเล็กลงไปเกือบครึ่ง หยวนชิงหลิงบอกว่าถ้ายังคงมีแนวโน้มพัฒนาเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ สามารถเทียบกับหมาป่าอเมริกาเหนือ หมาป่าอเมริกาเหนือสามารถมีน้ำหนักตัวสูงถึงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบชั่ง
หมาป่าหิมะทั้งสามตัวนี้ใหญ่กว่าหมาป่าตัวผู้และตัวเมียที่อยู่ในจวนเซียวเหยากง ใหญ่กว่าไม่ใช่แค่เพียงนิดเดียว เซียวเหยากงเห็นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง อาหารการกินในจวนอ๋องฉู่ก็ดีเกินไปแล้ว จึงเลี้ยงดูได้แข็งแกร่งเช่นนี้
แต่ว่า แม้ว่าหมาป่าหิมะจะตัวใหญ่โตมาก กลับมีความคล่องตัวกระฉับกระเฉงมาก จะลุกยืนเดินเหินหรือกระโจนล้วนทำได้ในรวดเดียวโดยไม่ต้องหยุดพัก ฝีเท้ามั่นคง ลักษณะท่าทีก็ค่อยๆมั่นคงมากขึ้น