บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 784 พระอาทิตย์ยามเย็นของคนคนเดียว
หวงกุ้ยเฟยที่เฝ้าไข้อยู่ข้างๆพูดขึ้นว่า “ไทเฮา ถ้าหากทรงคิดถึงอ๋องเว่ย ไม่สู้ให้คนส่งจดหมายไปหา ให้เขากลับมาเยี่ยมท่าน”
ไทเฮาส่ายหน้า “ช่างเถอะ เขาทำงานเพื่อราชสำนักอยู่ข้างนอก ไยต้องให้เขาต้องลำบากต้องวิ่งกลับมาเล่า ถ้าส่งจดหมายไป รอให้เขาตอบกลับมา อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ข้าเกรงว่าจะรอถึงหนึ่งเดือนไม่ไหวแล้ว ยังมีจวิ้นจู่อีกสองคน เดิมทีเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ตอนนี้ต้องลำบากแค่ไหนกัน แม้แต่คุณหนูที่มีชาติตระกูลก็สู้ไม่ได้ ถูกปลดให้มีสถานะเป็นชนชั้นเลว ภายหน้าจะแต่งงานได้อย่างไร”
“ทรงอย่าพูดเหลวไหลเพคะ แค่เป็นไข้แดดเท่านั้น ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร พักฟื้นก็หาย ส่วนเรื่องอื่นๆ ฮ่องเต้ทรงไม่ทำให้หลานสาวของตัวเองต้องลำบากแน่ๆ ”หวงกุ้ยเฟยรีบพูดขึ้น
ไทเฮาปิดปากไม่พูด แววตาหม่นหมองไร้ชีวิตชีวามองไปยังหัวเตียง ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงอะไรอยู่
ผ่านไปชั่วครู่จึงให้ทั้งสองคนออกไป ในพระราชอุทยานที่ลึกเข้าไป มีเสียงถอนหายใจอย่างหนักของนางลอยล่องออกมา
หวงกุ้ยเฟยกับหยวนชิงหลิงออกมานอกตำหนัก เมื่อทั้งสองนั่งลงแล้วหวงกุ้ยเฟยก็ถามขึ้นว่า “อาการของไทเฮาหนักหรือไม่”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “จะบอกว่าหนักก็ไม่ได้หนักมาก แต่ถ้าบอกว่าไม่หนัก ที่จริงก็หนักอยู่เหมือนกัน”
หวงกุ้ยเฟยตกใจ “ทำไม ไม่ใช่ไข้แดดหรอกหรือ”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า มองหวงกุ้ยเฟยและพูดว่า “ก่อนจะเป็นไข้แดด ร่างกายของนางก็ไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้เมื่อเป็นไข้จากความร้อนโรคอื่นๆก็เกิดขึ้นตามมา แต่ว่าโรคของร่างกายนั้นยังดี เพราะไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรนัก ที่หนักหนาก็คือโรคทางใจของนาง หนึ่งปีกว่ามานี้ นางถูกกระตุ้นทำร้ายจิตใจไม่น้อย ถ้าหากไม่สามารถเปิดใจปล่อยวางได้ เกรงว่าอาการของโรคจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น”
หวงกุ้ยเฟยคิดแล้วก็ใช่ อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล “ทางด้านเจ้าสามนั้นดีหน่อย ให้คนไปส่งจดหมาย เร่งเดินทางโดยใช้ม้าเร็วมากสุดครึ่งเดือนก็สามารถกลับมาได้แล้ว แต่เจ้าใหญ่จะทำอย่างไรดี ฮ่องเต้เคยรับสั่งแล้วว่าไม่อนุญาตให้เขาเข้าวัง ใครจะกล้าไปขอร้องฮ่องเต้เล่า ไทเฮาเองก็กลัวฮ่องเต้จะวางตัวลำบาก ฉะนั้นต่อหน้าเขาจึงไม่ได้เผยความในใจออกมา”
หยวนชิงหลิงไร้หนทางจะช่วยเหลือ หยู่เหวินจุนในตอนนี้ก็คือเกล็ดใต้คอมังกรในใจฮ่องเต้ ใครแตะต้องคนนั้นต้องตาย
ขอเพียงเอ่ยถึงชื่อเขาเพียงหนึ่งครั้ง ก็สามารถทำให้นึกคนผู้คนที่ทำการสาปแช่งขึ้นมา
หยวนชิงหลิงครุ่นคิด พูดว่า “ถ้าหากจัดการให้หยู่เหวินจุนเข้าวังไม่ได้ สามารถแอบพาเมิ่งเยว่เมิ่งซิงเข้าวังได้หรือไม่ ให้ไทเฮาได้เห็นว่าเหลนทั้งสองคนยังสบายดีอยู่”
หวงกุ้ยเฟยกดน้ำเสียงลงต่ำ “ถ้าหากพาเข้ามาได้จะดีที่สุด แต่เกรงว่าจะไปถึงหูฮ่องเต้ ประเดี๋ยวจะทำให้เจ้าถูกตำหนิไม่ด้วยจะไม่เป็นการดี”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่ได้พาหยู่เหวินจุนเข้ามาเสียหน่อย เสด็จพ่อนั้นรักหลานสาวมาก ผ่านไปอีกปีสองปีคงคิดหาวิธีที่จะคืนเกียรติยศและศักดิ์ศรีให้กับพวกนางบ้าง เพื่อให้พวกนางได้แต่งงาน”
หวงกุ้ยเฟยคิดดูแล้วก็ใช่ จึงเอ่ยว่า :“เช่นนั้นเจ้าก็ดูและทำตามสมควร ทางข้าสามารถช่วยปิดบังไว้ให้ ”
“ได้เพคะ”หยวนชิงหลิงรับคำ กล่าวลาออกจากวังไป
วันรุ่งขึ้น หยวนชิงหลิงก็เข้าวังอีกครั้ง ครั้งนี้พาเมิ่งเยว่กับเมิ่งซิงมาด้วย ทางด้านองครักษ์ได้ตกลงกับกู้ซือไว้เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นรถม้าจึงสามารถเข้ามาได้ตลอดทาง
เมื่อเข้าไปในตำหนักหรงเหอ ทั้งสองพี่น้องก็รีบเข้าไปคำนับเสด็จย่าทวด
ไทเฮาเห็นทั้งสองคนสวมใส่เสื้อผ้าของสามัญชนธรรมดา บนศีรษะไม่มีเครื่องประดับที่มีค่า ไหนเลยจะมีความสูงศักดิ์ดังเช่นจวิ้นจู่ในวันวาน
แม้แต่คุณหนูของตระกูลธรรมดาก็สู้ไม่ได้จริงๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมา กอดทั้งสองคนร้องไห้ยกใหญ่
เมิ่งซิงก็ร้องตาม เมิ่งเยว่นั้นรู้ความ กลับปลอบใจไทเฮาขึ้นมา บอกว่าตอนนี้ได้อยู่กับมารดา มีชีวิตที่เงียบสงบ ไม่เดือดร้อนเรื่องกินอยู่
เดิมทีไทเฮาคิดอยากจะตำหนิหยู่เหวินจุนต่อหน้าพวกนางสองคนสักครั้ง แต่เห็นเหลนทั้งสองต่างก็รู้ความ จะนินทาบิดาของพวกนางก็ไม่ดี จึงได้แต่กล้ำกลืนความโกรธและความเจ็บปวดลงไปในใจ ประทานของให้มากมาย
ในตอนท้าย ให้หยวนชิงหลิงอยู่พูดคุยกันต่อในตำหนัก
นางให้หยวนชิงหลิงนั่งลงข้างเตียง ดึงมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจังว่า “เมิ่งเยว่โตแล้ว อีกสองปีก็แต่งงานได้แล้ว แต่ว่าตอนนี้ฐานะของนางธรรมดา คุณชายในตระกูลสูงศักดิ์คงไม่มีทางเหลียวแล ทางด้านฮ่องเต้เจ้ายังสามารถพูดจาได้บ้าง รอให้ผ่านไปอีกสักพักเจ้าคิดหาวิธีขอความเมตตา อย่างน้อยก็ให้พวกนางได้แต่งตั้งเป็นเสี้ยนจู่ ประทานที่ดินเพื่อให้สามารถจัดเก็บภาษีเลี้ยงตัวเอง ภายหน้าพวกนางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเป็นอยู่”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เสด็จย่าท่านโปรดวางใจ แม้ท่านจะไม่พูด ข้าเองก็คิดไว้แล้ว วันนี้ท่านเห็นพวกนางสวมเสื้อผ้าธรรมดา คงคิดว่าพวกนางมีชีวิตที่ยากลำบากเป็นแน่ ที่จริงนั้นไม่เลย หรงเยว่ได้ดูแลพวกนางสามแม่ลูกอยู่ตลอด ค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตนั้นมีเพียงพอ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมไม่ให้ของดี เพราะกลัวว่าถ้าคนรู้เข้าจะวิจารณ์ในทางไม่ดี ว่าพวกนางว่าเป็นลูกสาวของอ๋องผู้กระทำผิดยังฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ ท่านเองก็รู้ว่าน้ำลายก็ทำให้คนตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจวิ้นจู่ที่ค่อยๆเติบโตขึ้น ไม่อาจจะให้แปดเปื้อนคำครหาแม้แต่น้อย นี่เป็นความคิดของพี่สะใภ้ใหญ่”
ไทเฮาฟังแล้ว หัวคิ้วจึงค่อยๆคลายลงไปได้บ้าง “มีเจ้ากับหรงเยว่คอยช่วยเหลืออยู่ คิดว่าพวกนางสามแม่ลูกก็คงไม่ต้องลำบาก และเห็นได้ว่าในราชสกุลก็ใช่ว่าจะมีแต่คนไร้น้ำใจ พวกเจ้าปฏิบัติต่อพวกนางถึงเพียงนี้……ดีมากแล้ว……
“ท่านได้โปรดวางใจเถอะ รอให้เรื่องนี้ซาลงไปแล้ว ข้าค่อยคิดหาเหตุผลร้องขอความเมตตาให้กับสองพี่น้อง ”หยวนชิงหลิงเอ่ยรับประกัน
ไทเฮามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความไว้วางใจ “เจ้าเอ่ยปากก็คงจะดีกว่า ข้าไม่สามารถพูดได้อีกแล้ว ถ้าหากข้าพูด เท่ากับบังคับฮ่องเต้ ฮ่องเต้เองก็ลำบาก”
หยวนชิงหลิงรับรู้อยู่ในใจลึกๆ ที่จริงคนที่ลำบากใจที่สุด คงไม่พ้นเสด็จพ่อ
ไทเฮาได้พบกับพี่น้องเมิ่งเยว่และเมิ่งซิงแล้ว อารมณ์ผ่อนคลายลงไปมาก ไม่ช้าอาการไข้แดดก็ค่อยๆดีขึ้น
แต่ว่านางอายุมากแล้ว ทั้งยังกระทบกระเทือนจิตใจ พลังชีวิตไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนแต่ก่อน
พอถึงกลางเดือนหก ก็ป่วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมอหลวงคอยถวายยาให้ตลอด อาการป่วยไม่ได้ร้ายแรง คอยแต่รุมเร้าอยู่ไม่ขาด ไม่จบไม่สิ้น
หยวนชิงหลิงก็ตรวจไม่พบอาการที่หนักหนาอะไร แต่เห็นนางนับวันเข้าก็ยิ่งตรอมใจ ข้าวปลาไม่อยากกิน คิดว่าคงแทบจะทำลายรากฐานในจิตใจจนสูญสิ้นแล้ว
หยวนชิงหลิงยุ่งอยู่กับเรื่องโรงเรียนแพทย์ เข้าวังค่อนข้างน้อย บวกกับร่างกายของไทเฮาไม่ได้มีโรคร้ายแรงอื่นแทรกแซง กินยาตะวันตกก็ไม่ดีขึ้น ไม่สู้ให้หมอหลวงปรับสมดุลร่างกายให้ บางทีอาจฟื้นคืนพลังในร่างกายกลับมาได้
หลังจากที่อ๋องฉีได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ก็งานยุ่งมากกว่าแต่ก่อน เรื่องการทำคดีในกรม แทบจะมีเขาเป็นผู้กำกับดูแลชั่วคราว
แต่ว่า ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ก็จะไปอยู่เป็นเพื่อนลู่หยวน หยวนชิงหลิงได้ให้ช่างฝีมือทำเก้าอี้รถเข็นให้ลู่หยวนหนึ่งคัน สามารถเข็นไปมาได้ ส่วนมากเขาจะใช้เวลาช่วงพลบค่ำเข็นลู่หยวนออกไปยังลานบ้านเพื่อตากแสงอาทิตย์ที่จะลับขอบฟ้า
เขาเลือกที่จะไปช่วงพลบค่ำ หนึ่งเพราะมีเวลาว่างในช่วงพลบค่ำพอดี สอง เพราะว่าช่วงกลางวันส่วนมากหยวนหย่งอี้จะอยู่ด้วย เขาไม่อยากจะรบกวนเวลาที่นางอยู่เป็นเพื่อนลู่หยวน
เขาชอบพูดคุยกับลู่หยวน ถ้าหากดอกไม้พูดได้คงหาเรื่องมาให้ไม่น้อย แต่พูดไม่ได้นั้นน่าชื่นชมมากกว่า เขาต้องการผู้รับฟังคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่า เขาก็อ่านหนังสือให้ลู่หยวนฟัง ยังมีกลอนที่เขาเขียนขึ้นมา บางครั้งก็บรรเลงเป็นเพลงด้วย ในช่วงเวลาพลบค่ำนี้เป็นช่วงที่สบายที่สุด
ตระกูลหยวนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คนสูงศักดิ์อย่างเขามาเหยียบถึงเรือน โดยเฉพาะเห็นเขามาวันแล้ววันเล่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมเลวร้ายแค่ไหนก็ยังเหมือนเดิม จิตใจแน่วแน่ ทำให้ซาบซึ้งใจมาก
ลู่หยวนลืมตาขึ้นมาเป็นบางครั้ง แต่ว่าก็ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ ไม่ว่าอ๋องฉีจะอ่านหนังสือหรือดีดพิณ เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
“ช่วงนี้งานที่กรมการพระนครยุ่งมาก มีเวลาในการฝึกยุทธน้อยเหลือเกิน รู้สึกถดถอยลงไปบ้างแล้ว เมื่อคืนข้าลองกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในจวน เหลืออีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ขึ้นไปไม่ถึงบนกำแพง ลองพยายามอีกครั้ง แม้ว่าปลายเท้าจะแตะถึงแล้ว แต่กลับตีลังกากลิ้งเข้าไป ช่างขายหน้าจริงๆ ถ้าหากท่านจอหงวนตื่นมา ข้าต้องคำนับท่านจอหงวนเป็นอาจารย์แน่ จะตั้งใจฝึกยุทธดีๆ ”
เขานิ่งอยู่หน้าระเบียง อาทิตย์อัสดงสาดแสงส่องลงมา ทิวทัศน์รอบตัวสวยงามมาก เงียบสงบและสวยงาม ลู่หยวนนั่งอยู่บนรถเข็น มีเชือกหนังคอยรัดเอาไว้เพื่อไม่ให้ลื่นไถลลงมา
“เจ้าต้องแปลกใจมากแน่ๆว่าทำไมข้าต้องมาหาเจ้าเพื่อพูดคุยกันทุกวัน เห็นได้ชัดว่าแต่ก่อนก็ไม่ได้คบหาสมาคมอะไร ”