บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 792 มุ่งไปยังซีเจ้อ
หลังไปให้การเป็นพยาน เจ้าห้าก็ได้ส่งคนไปคุ้มครองคุณย่า ไม่ว่าจะเข้าหรือออกล้วนต้องมีคนติดตามไปด้วย แต่นับจากเริ่มเปิดโรงเรียนสอนการแพทย์เป็นต้นมา รู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มกลับมาสงบสุขขึ้นแล้ว คุณย่าก็ไม่ยอมให้ใครมาคอยติดตามอีก เพราะรู้สึกว่าดู ๆ ไปแล้วช่างเป็นขบวนที่ใหญ่โตเอิกเกริกเกินไปหน่อย
นางพาอาซี่ไปที่บ้านของผู้แก่วิชาโจว ในใจยังหลงเหลือความหวังอันริบหรี่สายหนึ่ง แต่เมื่อนางไปถามที่บ้านของผู้แก่วิชาโจว กลับพบว่าคุณย่าไม่เคยมาที่นี่
นางตื่นตระหนกแล้วจริง ๆ รีบกลับจวนไปอย่างรวดเร็ว แล้วสั่งให้คนไปแจ้งหยู่เหวินเห้าทันที
หยู่เหวินเห้ากลับมาพร้อมกับเสี้ยวหงเฉิง ทันทีที่เดินเข้ามาก็เห็นนางหวาดวิตกจนหน้าขาวซีดเผือดสีไปหมด จึงรีบเอ่ยปลอบใจว่า: “ไม่ต้องกังวลไปหรอก หากเป็นเพราะแผนที่ทางการทหารจริง ทางนั้นไม่มีทางทำร้ายท่านย่าแน่”
“หรือจะเป็นฝีมือของอ๋องชินเป่า? แน่ใจได้หรือไม่ว่าเป็นเขา? ” หยวนชิงหลิงถามพลางกุมมือเขาไว้ คนผู้นี้มีแผนการลึกล้ำแยบคาย ทั้งยังแบกเอามีความแค้นฝังลึกไว้บนแผ่นหลัง ถ้าคุณย่าอยู่ในมือของเขาจริง ๆ ผลลัพธ์คงเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินกว่าจะคาดคิดแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกร้อนอกร้อนใจราวถูกไฟแผดเผาไปทั้งเนื้อทั้งตัว ร้อนรุ่มกลุ้มใจอย่างยิ่ง
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “ได้ยินเสี้ยวหงเฉิงบอกว่า ตอนที่ข้ากลับมา พอดีนางก็มาหาเช่นกัน นับตั้งแต่ที่ตอเป่ากัดอ๋องชินเป่าเป็นต้นมา ข้าก็ให้เสี้ยวหงเฉิงเพิ่มการติดตามทุกคนในจวนอ๋องชินเป่าอย่างใกล้ชิด เขามีบางอย่างที่น่าสงสัยมาก ๆ ”
หยวนชิงหลิงรีบหันไปมองเสี้ยวหงเฉิงทันที เสี้ยวหงเฉิงก้าวมาข้างหน้า ประสานมือแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เมื่อคืนวานมีความเคลื่อนไหวผิดปกติในจวนของอ๋องชินเป่า ยามจื่อ (ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) ขุนนางรับใช้ในจวนอ๋องชินเป่าก็ออกจากประตูหลัง ไปนัดหมายกับใครสักคนในตึกฮัวหมิงหลังจากคุยกันได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็แยกย้ายกันไป คนของเราสะกดรอยตามไปสองทาง หลังจากที่คน ๆ นั้นจากไป ก็ขึ้นไปซุ่มอยู่บนหลังคาของลานบ้านตระกูลหลิว รอจนยามห้า คนงานเทกระโถนเข้าไปในตรอก ชายคนนั้นก็ฟาดคนเทกระโถนจนสลบ แล้วเข็นรถเข้าไปทางประตูหลัง เวลานั้น ฮูหยินใหญ่เพิ่งจะตื่น เขาลักพาตัวฮูหยินใหญ่โดยนำตัวนางไปมัดไว้ใต้รถ แล้วเข็นออกนอกเมืองไป คนของเราสะกดรอยตามไปตลอดทาง หลังออกจากเมืองไปได้ราวสิบลี้ก็หยุด จากนั้นก็มีรถม้ามารับ แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังหมู่บ้านเสี่ยวผิง”
ถึงกับปลอมตัวเป็นคนเทกระโถน ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะไม่เป็นที่สังเกตของผู้คน ทหารจวนจะปล่อยให้คนเทกระโถนเข้ามาตามเวลาที่กำหนดทุกวัน และไม่มีทางไปเฝ้าจับตามองระหว่างที่เขาทำงานพวกนี้แน่ ดังนั้น จึงเปิดโอกาสให้คนร้ายใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้มาลงมือได้โดยง่าย
ดูเหมือนว่า คนคนนี้จะจับตามองจวนอ๋องฉู่มาเป็นเวลานานมากแล้ว
หยวนชิงหลิงพูดอย่างร้อนใจว่า: “ถ้าอย่างนั้น…ก็รีบส่งคนไปที่นั่นเร็ว ๆ เข้าสิ”
“ข้าได้เพิ่มกำลังคนออกไปตามหาแล้ว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านเสี่ยวผิงเต็มไปด้วยภูเขาลึกสูงชัน การค้นหาจึงทำได้ยาก แต่…” เสี้ยวหงเฉิงมองไปที่หยวนชิงหลิงพลางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าว่ามันแปลกหรือไม่ล่ะ มีหมาตัวหนึ่งกับหมาป่าหิมะอีกตัวที่ติดตามไปด้วยแล้ว อีกทั้งทักษะการสะกดรอยของพวกมันก็ช่างล้ำลึกแยบยลอย่างยิ่ง กระทั่งอีกฝ่ายก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ”
หยวนชิงหลิงรีบสั่งให้อาซี่ไปหาดูว่า ตอเป่ากับหมาป่าหิมะยังอยู่หรือไม่
อาซี่ไปตามหาจนครบรอบหนึ่งก็กลับมา “ไม่ผิดแน่ ตอเป่าหายไปแล้ว ยังมีหมาป่าของซาลาเปาก็หายไปด้วยเช่นกัน”
หยวนชิงหลิงได้ยินดังนั้นก็วางขนมลง หมาป่าหิมะทั้งสามตัว ล้วนมีความคล้ายคลึงกันกับเจ้าของ ซาลาเปานั้นมีนิสัยดุร้าย หมาป่าของซาลาเปาก็ดุร้ายมากเช่นกัน ส่วนตอเป่าก็เป็นหมาที่ชอบหาเรื่องให้ปวดหัวได้ตลอด แม้ว่าพวกมันจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่กลับเลี้ยงให้เชื่องได้ สมองของพวกมันล้วนฉลาดรู้จักเรียนรู้ พอต้องเผชิญกับอันตรายก็สามารถช่วยเจ้านายได้
หยู่เหวินเห้ารู้สึกแปลกใจ “ในเมื่อตอเป่ารู้สึกสงสัย ทำไมถึงไม่กระโจนเข้าไปกัดซะเลยล่ะ?”
อาซี่พูดเสียงเบาว่า : “นายท่าน ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ? ครั้งก่อนที่มันกัดอ๋องชินเป่า ยังเกือบถูกท่านตีตายแล้ว ดังนั้นครั้งนี้มันคงฉลาดขึ้นแล้ว เลยนำหมาป่าหิมะสะกดรอยตามไป”
หยู่เหวินเห้าถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หันไปหาหยวนชิงหลิง แล้วพูดว่า “เจ้าอย่ากังวลใจเลยนะ ไปรอในจวนเถอะ ข้ากับเสี้ยวหงเฉิงจะพาคนออกไปตามหาเอง พวกเราจะต้องพาท่านย่ากลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่”
“แต่เจ้าไม่ใช่ว่าจะทำ…” หยวนชิงหลิงเกือบหลุดปากออกไป จึงรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่: “ไม่ใช่ว่าอ๋องชินเฟิงอันจะกลับมาหาเจ้าหรอกหรือ?”
“ไม่เป็นไร ข้าจะตรวจสอบก่อน หากที่นั่นมีรังเก่าพวกมันอยู่ บางที… อาจจะซ่อนอยู่ที่นั่น” หยู่เหวินเห้าพูดจบ ก็สั่งให้อาซี่คอยจับตาดูที่หน้าประตูใหญ่จวนอ๋องฉู่ ห้ามไม่ให้คนนอกเข้าไปได้โดยเด็ดขาด
หลังสั่งการเสร็จ เขาก็พาเสี้ยวหงเฉิงออกไป
หมู่บ้านเสี่ยวผิงเป็นหมู่บ้านติดภูเขาที่อยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง มีขนาดไม่ใหญ่ มีประชากรเพียงสามร้อยถึงสี่ร้อยคน ที่นี่คนส่วนใหญ่จะเป็นพวกผู้สูงอายุ ส่วนคนหนุ่มสาวต่างก็ไปทำงานหาเลี้ยงชีพในเมืองกันหมด เพราะไม่มีถนนหลักที่ตัดตรงเข้าไปในหมู่บ้าน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะอยู่แทบพระบาทองค์ฮ่องเต้ก็จริง แต่ก็ยังเป็นหมู่บ้านที่ยากจนมาก
ชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านหาเลี้ยงชีพด้วยการทำนา และขึ้นเขาไปเก็บของป่า พวกเขาล้วนคุ้นเคยกับภูมิประเทศภายในภูเขาอย่างดี ดังนั้น หยู่เหวินเห้าจึงส่งคนไปสอบถาม เพื่อทำความเข้าใจกับพื้นที่บนภูเขาให้แม่นยำ ก่อนจะสั่งให้สวีอีพาหมาป่าหิมะสองตัวเข้าไปค้นหาในภูเขา
ภูเขานั้นกว้างใหญ่ การจะเสาะหาฐานที่มั่นของศัตรูไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งคนของเสี้ยวหงเฉิงก็ยังเดินหลงทางด้วย โชคดีที่หมาป่าหิมะกับตอเป่าตามไป พวกมันสามารถทิ้งร่องรอยไว้ให้หมาป่าของทังหยวน กับหมาป่าของข้าวเหนียวได้ผ่านกลิ่นฉี่ที่ทิ้งไว้ตลอดเส้นทาง
เมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงพลบค่ำ ในที่สุดก็มารวมตัวกับตอเป่าได้ มันคลานอย่างเงียบเชียบอยู่บนภูเขาด้านหนึ่ง เมื่อเห็นพวกของหยู่เหวินเห้ามาถึง ตอเป่าก็กระโดดโลดเต้นแล้วเห่าเสียงดัง แต่กลับไม่เห็นหมาป่าของซาลาเปา
ตอเป่าเห่าไปพลาง ก็ตะกุยกำแพงที่เป็นดินของภูเขาไปพลาง หยู่เหวินเห้าเดินถือคบไฟก้าวไปข้างหน้า แผ้วถางกำจัดเถาวัลย์ออกไปให้พ้นทาง จนได้เห็นปากโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง
เขาสั่งให้สวีอีพาหมาป่าหิมะเข้าไปสำรวจดูข้างใน อีกด้านหนึ่งก็สั่งให้ทุกคนในคณะออกค้นหาในบริเวณใกล้เคียง เพื่อดูว่ามีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่
สวีอีใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม ค่อยออกมารายงานว่า: “ฝ่าบาท มีหน้าผาอยู่ตรงปลายอุโมงค์พ่ะย่ะค่ะ มีร่องรอยของเชือกที่ห้อยลงไปข้างล่าง คนน่าจะถูกย้ายตัวลงไปที่ส่วนล่างของหุบเขาแล้ว ”
แววตาของหยู่เหวินเห้าเย็นชาคมปลาบ “แล้วมันนำไปสู่ที่ใดกันแน่?”
“เป็นกำแพงของภูเขาหลิงหยุน สามารถเดินอ้อมภูเขาเหล่านี้ผ่านตะเข็บสันเขาออกไปได้ ก็จะสามารถไปถึงอำเภอผิง”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเย็นชา: “อำเภอผิงมีแม่น้ำ ลัดเลาะตามแม่น้ำไปไม่ถึงร้อยลี้ ก็เป็นเขตซีเจ้อ ซึ่งก็คืออาณาเขตของอ๋องชินเป่า ดังนั้น คนของเขาพาเราอ้อมไปอ้อมมาจนครบรอบหนึ่ง เป้าหมายกลับเป็นอาณาเขตของเขาในซีเจ้ออย่างนั้นสินะ”
สวีอีพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรรีบไปที่ซีเจ้อกันเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “กู้ซือไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เจ้าไปพบโสวฝู่ฉู่ให้เขาเข้าวังไปกราบทูลเสด็จพ่อ ขอระดมกองกำลังทหารรักษาพระองค์สามพันนายตรงไปที่ซีเจ้อพร้อมกับเจ้าทันที ต้องให้รวดเร็ว แบ่งกองกำลังส่วนหนึ่งไปไล่ตามทางน้ำ ส่วนที่เหลือให้เดินเท้าทางบก ข้าจะไปที่จวนอ๋องชินเป่าก่อนครั้งหนึ่ง แล้วจะรีบตามไปสมทบกับเจ้า ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” สวีอีรับคำสั่ง
“หมาป่าหิมะล่ะ? ทำไมมีแค่ตอเป่า ไม่เห็นหมาป่าหิมะอยู่ด้วย?” หลังจากเสี้ยวหงเฉิงเดินลาดตระเวนในพื้นที่ใกล้เคียงเสร็จ ก็กลับมาถามหาประโยคหนึ่ง
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “หมาป่าหิมะคงจะตามไปแล้วล่ะ มันปีนหน้าผาหินกับผาสูงชันได้
แต่ถ้าศัตรูลัดเลาะลงไปตามแม่น้ำ หมาป่าหิมะจะตามไม่ได้ มันกลัวน้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะอาศัยช่วงที่คนไม่รู้ตัว แอบลอบขึ้นเรือไปด้วย”
“ถ้าหมาป่าหิมะสามารถตามขึ้นเรือไปได้ จะต้องตามไปจนถึงที่ซ่อนตัวของพวกนั้นได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้นแค่พาหมาป่าหิมะกับตอเป่าตามไปก็หาได้ง่ายแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีพูด
หยู่เหวินเห้าพยักหน้า “ลงเขาไปก่อน ข้าต้องไปพบกับเสด็จปู่เล็กแล้ว”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง หันไปพูดกับเสี้ยวหงเฉิงว่า: “เจ้าไปตรวจสอบดูหน่อยว่า ช่วงนี้มีขบวนงานศพที่เคลื่อนออกจากเมืองหลวงบ้างหรือไม่?”
“ได้ พรุ่งนี้ยามอู่พบกันที่จวนอ๋องฉู่ พวกเราจะไปซีเจ้อพร้อมกัน!” เสี้ยวหงเฉิงพูดจบก็นำกลุ่มคนทั้งคณะเดินออกไป
หยู่เหวินเห้าลงเขาแล้วกลับไปที่เมืองหลวง ส่งสวีอีไปจัดเตรียมกำลังคน ในขณะที่เขาขี่ม้าไปยังจวนอ๋องชินเป่าเพียงคนเดียวตามลำพัง
จวนอ๋องชินเป่าอยู่ภายใต้การจับตามองของเสี้ยวหงเฉิง ท่านชายสี่ก็ส่งคนของสำนักเหลิ่งหลังไปเฝ้าจับตามองอยู่บริเวณรอบ ๆ ด้วย ดังนั้น การที่เขาเข้าไปคนเดียวตามลำพังก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร