บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 793 ต้องการพบอ๋องชินเฟิงอัน
อันที่จริงจวนอ๋องชินเป่าอยู่ไม่ไกลจากจวนอ๋องฉู่มากนัก อยู่ห่างออกไปแค่ถนนสามสายเท่านั้น
เวลาที่นัดหมายคือยามโฉ่ว ถนนหนทางล้วนเงียบสงัดว่างเปล่า มีบ้านเรือนและร้านค้าที่ปิดเงียบอยู่สองข้างทาง ธงที่ประดับอยู่บนประตูร้านค้าปลิวไสวไปตามลม อากาศอันหนาวเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วงชำแรกเข้าสู่ผิวเนื้อจนรู้สึกเหน็บหนาว
ทุกหนทุกแห่งล้วนมืดมิด วันที่สี่ของวันตรุษจีนในสามเดือนแรกของปีดูเงียบเหงาลงถนัดตา ดวงดาวสกาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า ประดับประดาผืนนภาเป็นแสงระยิบระยับไปทั่วสารทิศ
หยู่เหวินเห้าในมือถือคบเพลิง พลางขี่ม้ามุ่งตรงไปยังจวนอ๋องชินเป่า
ก่อนถึงประตูจวน ไม่มีคนเฝ้ายามอยู่ที่หน้าประตู มีโคมไฟสองดวงห้อยอยู่ใต้ชายคาเปล่งแสงสลัว ๆ ออกมา นอกจากแสงไฟจากโคมสองดวงนี้ ส่วนที่เหลือล้วนมืดมิดเป็นสีดำสนิท ทำให้ใครก็ตามที่ได้มาเห็น สามารถบังเกิดความรู้สึกหนึ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า น่าหวาดกลัวราวกับกำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่นำไปสู่นรกได้เลยทีเดียว
คนเฝ้าประตูพักอยู่ข้าง ๆ ประตูใหญ่นั่นเอง คนเฝ้ายามกลางคืนได้ยินเสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามา จึงเปิดม่านไม้ไผ่ขึ้นมองออกไปแวบหนึ่ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียว่า “นั่นใครกัน?”
หยู่เหวินเห้าหยุดม้า หรี่ดวงตาลงพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น: “ไปรายงานกับท่านอ๋องของเจ้าว่า องค์ชายรัชทายาทเช่นข้าต้องการพบ”
ยามที่เฝ้าเวรกลางคืนได้ยินว่าเป็นองค์ชายรัชทายาท จึงรีบปิดม่านแล้วเดินออกมาทันที เมื่อมองพิจารณาอย่างละเอียดใกล้ ๆ ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจริงหรือเท็จ แต่เขาก็ไม่กล้าละเลยเรื่องนี้ จึงรีบเปิดประตู โค้งกายคำนับเชื้อเชิญให้หยู่เหวินเห้าเข้าไป แล้วรีบวิ่งไปรายงานทันที
หยู่เหวินเห้านั่งรออยู่ในห้องโถงใหญ่ครู่หนึ่ง จึงได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
อ๋องชินเป่าสวมชุดนอนสีขาว ใส่เสื้อคลุมทับด้านนอกอีกชั้น ไม่ได้สวมกว้าน เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เมื่อเขาเห็นหยู่เหวินเห้า ก็มีท่าทางที่ดูเหมือนประหลาดใจเล็กน้อย “รัชทายาทเสด็จมากลางดึกเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ?”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองเขา “ไม่สู้ท่านอ๋องสั่งให้คนรับใช้ถอยออกไปก่อนจะดีกว่า”
อ๋องชินเป่ายกมือขึ้นเป็นสัญญาณ สั่งให้คนรับใช้ถอยออกไปแล้วรวดปิดประตูห้องโถงให้อย่างเรียบร้อย
เขายกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง ในดวงตามีแววเหมือนแย้มยิ้มน้อย ๆ “คำที่เรียกว่าท่านอ๋องคำนี้ ช่างเรียกเสียจนข้ารู้สึกว่าเราห่างเหินกันเหลือเกินแล้วจริง ๆ ”
หยู่เหวินเห้าช้อนสายตาขึ้นมองเขา ไม่เสียเวลาพูดอะไรไร้สาระ เอ่ยถามว่า: “ พระศพของฮ่องเต้ฮุยจงน่ะ เป็นเจ้าขโมยไปใช่หรือไม่?”
อ๋องชินเป่าแสดงสีหน้าประหลาดใจ “พระศพของฮ่องเต้ฮุยจงหายไปรึ? นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้เลยรึ?” หยู่เหวินเห้าแสดงสีหน้าผิดหวัง “ ข้าคิดว่าหากข้ามาเยือนในยามวิกาลเช่นนี้ จะได้ยินความจริงจากปากของท่านอ๋องสักประโยค”
อ๋องชินเป่ายกเท้าขึ้นไขว้ซ้อนกัน เอนกายไปชิดพนักด้านหลังเล็กน้อย ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่ค่อย ๆ ถูกเก็บกลับไป พูดอย่างราบเรียบว่า “จริงหรือเท็จ ก็เป็นแค่ความรู้เพียงผิวเผินของโลกใบนี้ ความเป็นจริงหามีคนสนใจไม่ หากรัชทายาทคิดว่าข้าเป็นคนทำ เช่นนั้นก็จงแสดงหลักฐานมา แต่ถ้าแสดงหลักฐานไม่ได้ ก็อย่าได้พูดจาไร้สาระ คำพูดบางอย่างที่ออกจากปากโดยไม่ระวัง มันสามารถกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้ง่าย ๆ นะ”
มุมปากของหยู่เหวินเห้ากระตุก “ท่านอ๋องสิ้นเปลืองทั้งเรี่ยวแรงทั้งเวลาไปทำเรื่องพวกนี้ มาถึงวันนี้ก็ไม่ลังเลที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างโจ่งแจ้ง แสดงว่ามีความคิดที่จะแลกเปลี่ยนข้อตกลงบางอย่างกับข้าสินะ เหตุใดไม่พูดออกมาตรง ๆ เลยล่ะ?”
“แลกเปลี่ยนข้อตกลง?” อ๋องชินเป่ามองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ พูดจาสื่อความหมายอย่างมีนัยยะ: “ข้ามีความคิดจะเจรจาค้าขายจริง แต่การค้าขายของข้า จะทำได้เฉพาะกับคนที่มีความสามารถในการค้าขายกับข้าเท่านั้น ให้ทำการค้ากับรัชทายาทน่ะรึ? เจ้ายังไม่คู่ควรหรอก!”
หยู่เหวินเห้าฝืนระงับความโกรธในหัวใจ จ้องมองเขาพลางหัวเราะช้า ๆ “อย่างนั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นไม่ทราบว่าใครกันที่จะมีความสามารถในการทำการค้ากับท่านอ๋อง?”
อ๋องชินเป่ายกยิ้ม “อย่างน้อย เสด็จพ่อของเจ้ากับเจ้าต่างก็ไม่มีคุณสมบัตินี้”
เส้นเลือดสีเขียวปัดบนหน้าผากของหยู่เหวินเห้าเต้นตุบ “ท่านอ๋องไม่กลัวผลที่จะตามมาในภายหลังเลยอย่างนั้นรึ?”
อ๋องชินเป่ามองหน้าเขา “ผลที่ตามมาภายหลัง? มีหลักฐานแล้วรึ?”
เขาเปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นอ่อนโยนใจดี พูดอย่างเกียจคร้านว่า: “จะว่าไป ยังมีผลกรรมที่จะตามมาภายหลังแบบไหนอีกที่ข้าจะรับไว้ไม่ได้อย่างนั้นรึ ? หรือประหารทั้งโคตร?”
ประโยคสุดท้าย แววตาของเขาก็พลันทอประกายเย็นชาขึ้นมา ในความเย็นชานั้น ดูเหมือนจะมีร่องรอยของสะเก็ดเปลวไฟลุกโหม กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาพลันตึงเขม็งขึ้นมาทันที หางตาก็เลิกขึ้นสูง จนดูดุร้ายขึ้นมาหลายส่วน
ความเกลียดชังที่ฝังรากอยู่ในใจของเขา ต่างก็ปะทุตามออกมาพร้อมกับคำสี่คำนี้ด้วย
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “ดูเหมือนว่า เจ้าจะยอมรับแล้วสินะ”
อ๋องชินเป่าจ้องเขาอยู่นาน ก่อนจะถอนสายตากลับแล้วพูดขึ้นว่า “เดิมที ละครฉากนี้ยังพอเล่นต่อไปได้อีกสักปีครึ่งแท้ ๆ แต่หลังจากที่หมาในจวนอ๋องฉู่ของเจ้ากัดข้า จวนของข้าก็มีคนมาคอยจับตามองตลอด เมื่อรู้ว่าพวกเจ้าเกิดสงสัยขึ้นมาแล้ว ข้าจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนการเสียหน่อย”
“โอ๋? ไม่ทราบว่าแผนการเดิมของท่านอ๋องคืออะไรรึ ? แล้วแผนการตอนนี้คืออะไรกันล่ะ?” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม
อ๋องชินเป่าหัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าลองทายดูสิ!”
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “เขตซีเจ้อ เต็มไปด้วยภูเขาและยากจนข้นแค้น อาณาเขตที่ได้รับพระราชทานผืนนี้ ช่างมีแต่หนังหุ้มกระดูกจริงๆ เสด็จปู่เล็กย่อมไม่เต็มใจที่จะอยู่ในสถานที่เช่นนี้ อยากกลับไปเมืองหลวงเพื่อทำการค้าขาย นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่ซีเจ้อ อีกทั้งใครก็ไม่สนใจซีเจ้ออยู่แล้ว ใครจะมาสนใจมองย้อนกลับไปแล้วคิดได้ว่าในซีเจ้อเจ้าเป็นเจ้าพ่อ จะรวบรวมกำลังสรรพาวุธ อยากเกณฑ์ทหารซื้อม้าในซีเจ้อมากมายเท่าไหร่ ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดายยิ่ง ทั้งง่ายต่อการปิดหูปิดตาผู้คน บวกกับท่าทีที่เจ้าแสดงว่าสุภาพอ่อนโยนในเมืองหลวง เรื่องราวน้อยใหญ่ในราชวงศ์ก็ล้วนลงมือลงแรงทำเอง บวกกับการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์กันลับ ๆ ขององค์ชายทั้งหลาย ใครจะทันมาสังเกตเห็นเจ้า? หากไม่ใช่เพราะการร่วมเป็นพันธมิตรกับกองทัพแคว้นต้าโจว และแผนที่ทางการทหารที่แคว้นต้าโจวส่งมา เจ้าก็คงไม่เปิดเผยตัวตนรวดเร็วขนาดนี้ เจ้าได้แผนที่ทางการทหารไปอยู่ในมือแล้ว ดังนั้นข้าจึงทายได้ว่า แผนการเดิมของเจ้าคือการสร้างอาวุธด้วยตัวเอง แล้วก่อการกบฏ จากนั้นก็ตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียเอง”
อ๋องชินเป่ายกยิ้มน้อย ๆ นัยน์ตาแสดงความรู้สึกชื่นชม “ว่ากันว่ารัชทายาททรงฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง เป็นไปอย่างที่คิดไว้จริง ๆ เสียด้วย แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ก็เรียบเรียงเหตุการณ์ได้ชัดเจนและเป็นระเบียบขนาดนี้แล้ว แต่สิ่งที่เจ้าพูดมา ถูกต้องแค่เพียงครึ่งเดียว”
“เช่นนั้นรึ? ไม่ทราบว่ามีตรงไหนที่ข้าพูดผิดไปล่ะ?” สีหน้าของหยู่เหวินเห้าตึงเครียดเขม็งขึ้นมาทันที จ้องเขาแน่วนิ่งพลางเอ่ยถาม
อ๋องชินเป่าพูดว่า: “ข้าอยากโค่นล้มระบอบการปกครองจริง แต่ข้าไม่ได้อยากอยู่ในบัลลังก์”
“เพียงเพื่อแก้แค้นเท่านั้นน่ะรึ?”
“การแก้แค้นให้พ่อเป็นหน้าที่ของลูกอยู่แล้วนี่ ข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยาน” เขาถอนหายใจเล็กน้อย ดูเหมือนมีท่าทีงุนงงเล็กน้อย “เป็นฮ่องเต้มีอะไรดี? ไม่สู้เป็นอ๋องที่ไม่เล่นการเมือง ได้ใช้ชีวิตอิสระสุขสบายกว่าเป็นไหน ๆ ”
“ เมื่อครู่เจ้าเอาแต่ถามหาหลักฐานจากข้า แต่สิ่งที่เจ้าพูดมานี่ล่ะคือหลักฐาน ” หยู่เหวินเห้าเปลี่ยนประเด็นสนทนาอย่างรวดเร็ว
อ๋องชินเป่ามองดูเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ข้ายอมรับแล้วอย่างไรล่ะ ยังต้องการหลักฐานอะไรอีกรึ? มาจับข้ากลับไปที่กรมการพระนครเสียสิ”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าอย่างนั้นรึ?” หยู่เหวินเห้ากัดฟันกรอด
อ๋องชินเป่ามองเขาพลางยกยิ้มจนตายิบหยี เหมือนกลับไปเป็นผู้อาวุโสที่แสนอ่อนโยนเปี่ยมเมตตาและรักใคร่ลูกหลานคนเดิมเมื่อครั้งอดีต “เจ้ากล้าแน่ ข้าไม่มีวันดูถูกคนตระกูลหยู่เหวินเป็นอันขาด ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำไม่ได้หรอก แต่ว่านะ ก่อนที่จะจับข้า มีคำพูดประโยคหนึ่งที่เจ้าต้องส่งไปให้ถึงในวังให้ได้ หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้า กระดูกของฮ่องเต้ฮุยจงจะต้องถูกเฆี่ยนตีจนกว่าจะครบสามพันครั้ง ในฐานะที่เป็นเชื้อสายของราชวงศ์กษัตริย์ บรรพบุรุษต้องมาถูกเฆี่ยนตีเช่นนี้ พวกเจ้าทั้งหลายหนอ ช่างเป็นลูกหลานที่อกตัญญูอะไรเช่นนี้!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ยกยิ้มขึ้นมาจนเต็มใบหน้า รอยยิ้มที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันบนใบหน้าของเขารอยนั้น สาดฉายประกายอันมืดมนอึมครึมอยู่หลายส่วน
“นี่เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” สุดท้ายหยู่เหวินเห้าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกมือขึ้นตบโต๊ะผาง พลางพูดอย่างโกรธเคือง
อ๋องชินเป่าจ้องมองเขาด้วยความพอใจ “ถูกต้องแล้ว เจ้าควรจะโกรธ อายุยังน้อยไม่จำเป็นต้องอดทนอดกลั้นอะไรให้มากเกินไปนักหรอก รสชาติของการฝืนอดทนอดกลั้นน่ะ มันสุดแสนจะทรมานสิ้นดี ข้าต้องทนทุกข์กับมันมามากเกินพอแล้ว จะให้รัชทายาทต้องมาทนรับความทุกข์ทรมานนั้นด้วยอีกคนได้อย่างไรกัน?”
หยู่เหวินเห้ายกมือขึ้นอย่างดุร้าย “ไม่ต้องมาพูดถึงเรื่องที่มันไร้ประโยชน์พรรค์นี้ บอกจุดประสงค์ของเจ้ามา จุดประสงค์ที่เจ้าจับตัวฮูหยินใหญ่ กับขโมยพระศพของฮ่องเต้ฮุยจงไปคืออะไรกันแน่!”
รอยยิ้มบนใบหน้าและแววตาของอ๋องชินเป่าแข็งค้างขึ้นมาทันที พูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าต้องการความยุติธรรม ไปเรียกให้อ๋องชินเฟิงอันมาพบข้าซะ ถ้าเขาไม่มา ข้าก็พร้อมจะเอาทองไปลู่กระเบื้อง ไม่สนใจผลที่จะตามมาอีก!”
“เจ้า…” หยู่เหวินเห้าผุดลุกขึ้นยืน มองเขาด้วยสายตาเย่อหยิ่งเย็นชา “ได้! เจ้ารอดูแล้วกัน!”
อ๋องชินเป่าก็ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง!”