บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 794 สรุปว่าเขาอยากทำอะไรกันแน่
เดิมทีหยู่เหวินเห้าสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น ก็หันกลับไปมองเขา
“พูดมา!”
อ๋องชินเป่าค่อย ๆ ดึงแหวนรองธนูหยกออกจากแขนเสื้ออย่างช้า ๆ แล้วนำมาสวมไว้บนนิ้ว หมุนช้า ๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าไม่แปลกใจบ้างเลยรึ? ว่าเพราะอะไรทั้งที่มันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แคว้นต้าโจวก็ยังไม่ส่งแผนที่ทางการทหารมาอีกครั้งล่ะ? ”
หยู่เหวินเห้าย่อมรู้สึกว่ามันแปลกมากจริง ๆ อยู่แล้ว คนก็ถูกส่งไปหลายเดือนแล้วแท้ ๆ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา กระทั่งข่าวคราวใด ๆ ก็ไม่มีการแจ้งกลับมาเลยเช่นกัน เขาส่งคนกลุ่มที่สองออกไปแล้ว ก็ยังไม่มีข่าวคราวกลับมาอีกเช่นเดิม
“นี่เจ้าถึงกับกำจัดขัดขวางคณะเลยทูตอย่างนั้นรึ?” หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลง
อ๋องชินเป่าส่ายหน้าด้วยท่าทางไม่แยแส “คนตายแล้วจริง ๆ แต่ข้าก็เท่ากับทำเรื่องที่เกินความจำเป็น แคว้นต้าโจวเกิดเหตุอุบัติภัยครั้งใหญ่หลวง แผนที่ทางการทหารก็มีอยู่แค่ในมือของเฉินจิ้งถิงเท่านั้น แต่คู่สามีภรรยาเฉินจิ้งถิงเกิดเรื่องจนบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้น ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะส่งคนไปมากมายแค่ไหน ก็ไม่อาจนำแผนที่ทางการทหารกลับมาได้ แผนที่ทางการทหารส่วนหนึ่งอยู่ในมือของข้า แค่พวกเจ้าไปร่วมเป็นพันธมิตรกับแคว้นต้าโจว ก็ทำให้เซียนเปยกับเป่ยโม่ขุ่นเคืองใจแล้ว หากเจ้าไม่อาจสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งออกมาได้ ก็จะกลายเป็นแค่เนื้อบนเขียงที่รอเป่ยโม่กับเซียนเปยมาเชือดชำแหละเป็นชิ้น ๆ ได้ตามอำเภอใจ เจ้าว่า ข้าบีบเค้นเส้นชีวิตของเป่ยถังอยู่ใช่หรือไม่? เจ้าหนอเจ้า ลองคิดดูถึงความเป็นไปได้ประการที่สองนี้ดูบ้างสิ ไม่จำเป็นต้องส่งคนมากมายไปที่ซีเจ้ออีกต่อไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไร ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีแผนการจะยกทัพที่ซีเจ้ออยู่แล้ว ทางซีเจ้อนั้นคงต้องยอมแพ้เพียงเท่านี้แล้วล่ะ ”
“ดังนั้น เจ้าก็ยังไม่ได้บอกอยู่ดีว่าจุดประสงค์ของเจ้าคืออะไรกันแน่!” หยู่เหวินเห้าพูด
“ไปเถอะ” อ๋องชินเป่าอ้าปากหาวหวอด “ข้ายังง่วงอยู่มาก พรุ่งนี้ไปเรียกอ๋องชินเฟิงอันมา ข้าจะถามหาความยุติธรรมจากเขาเอง หากข้าได้รับความยุติธรรมนี้ ข้าก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากใจอะไรอีก”
พูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดประตูให้หยู่เหวินเห้าด้วยตัวเอง แล้วเรียกคนรับใช้มา ” ส่งองค์ชายรัชทายาท! ”
ในความมืดมิด ได้เห็นว่ามีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากความมืด ก้มหน้าลงต่ำ ผายมือเป็นท่าเชื้อเชิญหยู่เหวินเห้า “ขอเชิญองค์ชายรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองเขา จำได้ว่าคนผู้นี้คือ ลูจี๋ขุนนางรับใช้ในจวนอ๋องชินเป่า เป็นคนประเภทเดียวกับอ๋องชินเป่า ท่าทางดูอ่อนโยนใจดี แต่ตอนนี้ได้มาเห็นเขาในชุดสีดำสนิท สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ตอนที่เดินออกมาฝีเท้าแผ่วเบาราวกับเดินไม่แตะพื้น แท้ที่จริงแล้วคนคนนี้ถึงกับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเลยทีเดียว
เขาแอบถอนหายใจเฮือก ทำไมเขาถึงเพิกเฉยต่อจวนอ๋องชินเป่าในตอนแรกไปได้นะ? สถานที่แห่งนี้ คือรังของพยัคฆ์หมอบ มังกรซ่อนเร้นของแท้เลยทีเดียว
เขาหันกลับไปมองอ๋องชินเป่า “เจ้ามีคนที่มีความสามารถมากมายขนาดนี้อยู่ในมือแท้ ๆ ในตอนแรกที่เจ้าขโมยแผนที่ทางการทหารไป ทำไมถึงต้องลงมือเองด้วย ? กรมการทหารเป็นสถานที่ที่มีการตรวจตราเข้มงวด เจ้าไม่กลัวว่าจะพลาดพลั้งจนโดนจับได้เลยรึ? ”
อ๋องชินเป่ายกยิ้มเล็กน้อย “ในโลกใบนี้ มีใครบ้างที่สามารถเชื่อใจได้อย่างแท้จริง? แผนที่ทางการทหารนี้มีคนตั้งมากมายเท่าไหร่ที่หมายตาอยู่ หากคนข้างกายข้าเกิดทรยศขึ้นมา หรือมีคนที่ต้องการผลประโยชน์มหาศาล ขายแผนที่ทางการทหารนี้ออกไปให้ประเทศอื่น ไม่เท่ากับว่าข้าต้องมาล้มเหลวเพราะขาดความพยายามครั้งสุดท้ายหรอกหรือ? รัชทายาท เรื่องบางเรื่อง จะอย่างไรก็ยังต้องทำด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะวางใจได้นะ”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าเย็นชา “ได้รับการสอนสั่งแล้ว ขอลา!”
พูดจบ ก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป!
หยู่เหวินเห้าไม่ได้เข้าวังไปทันที ในเวลานั้นประตูวังยังไม่เปิด ถึงอยากไปก็ยังต้องรออยู่ดี จึงตัดสินใจกลับจวนไปบอกข่าวให้เจ้าหยวนรู้ก่อน
หยวนชิงหลิงที่รออยู่ในจวนก็นอนไม่หลับ เมื่อเห็นเขากลับมา ก็รีบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
หยู่เหวินเห้ามองใบหน้าที่เป็นกังวลของนาง ยื่นมือออกไปดึงนางนั่งลง “ยืนยันได้แน่นอนแล้วว่าเขาเป็นคนทำ เขาเรียกร้องว่าอยากพบอ๋องชินเฟิงอัน อาจเป็นไปได้ว่าสาเหตุมาจากเรื่องการประหารทั้งตระกูลเมื่อหลายปีก่อน เจ้าวางใจเถอะ ท่านย่าจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ในระยะนี้แน่ เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกย้ายตัวไปที่ซีเจ้อ ข้าได้สั่งให้สวีอีพากองกำลังทหารไปสกัดกั้นเอาไว้ระหว่างทางแล้ว ”
“เขาจะอยากพบอ๋องชินเฟิงอันไปเพื่ออะไรกันนะ? ตอนนั้นอ๋องชินยู่ถูกใส่ร้าย มันเกี่ยวอะไรกับอ๋องชินเฟิงอันด้วย? อีกทั้งข้าก็ได้ยินมาว่า อ๋องชินเป่าถูกพระชายาชินเฟิงอันเลี้ยงดูมาจนกระทั่งเติบใหญ่ด้วย”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาคืออะไรกันแน่ ทางซีเจ้อนั้นจะอย่างไรก็ยังต้องไป เขามีกำลังทหารอยู่จำนวนหนึ่งที่นั่นแน่ ๆ จะอย่างไรก็ต้องสลายกองกำลังนี้ให้ได้”
“ในช่วงหลายปีมานี้ ไม่มีใครพบว่าเขามีเจตนาที่จะแก้แค้นให้พ่อบ้างเลยหรือ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจมาก “ปีนี้เขาน่าจะอายุสี่สิบหรือห้าสิบปีได้แล้วกระมัง? เขาเก็บตัวซุ่มซ่อนมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครรู้เลย ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรพูดว่าเขาเล่นละครตบตาได้แนบเนียน หรือเพราะคนอื่นความรู้สึกช้าจนไม่รับรู้ถึงอันตรายกันแน่!”
“ไม่มีใครเคยจับตาระวังเขาเลย เพราะถึงแม้เขาจะมีที่ดินพระราชทาน แต่เขาก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด ไม่ค่อยได้กลับไปที่ซีเจ้อ บวกกับที่เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องราวใด ๆ ในราชสำนัก ทั้งยังไม่มีแผนการจะเข้ารับตำแหน่งใด ๆ ทางการเมือง ใครจะไปคิดระแวงคนเกียจคร้านว่างงานที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่งล่ะ?”
หยวนชิงหลิงคิด ๆ ดูก็เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ บรรดาเชื้อสายในราชนิกุลจากอดีตมาจนถึงตอนนี้มีอยู่ไม่ใช่น้อย มันยากที่จะบอกว่าต้องคอยจับตาใครคนใดคนหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลาจริง ๆ นั่นล่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่เคยเปิดเผยจุดบกพร่องใด ๆ ออกมาให้เห็นเลย ก็ยิ่งยากที่จะดึงดูดสายตาผู้คนให้มาสนใจได้
“เขาขโมยแผนที่ทางการทหารไป เพื่อสร้างอาวุธสำหรับก่อกบฏใช่หรือไม่ ?”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า: “ข้าลองถามเขาแล้ว เขาบอกว่าเดิมทีเขามีความคิดเช่นนี้จริง แต่เพราะต่อมาถูกตอเป่ากัด จนเกิดไปดึงดูดความสนใจของพวกเราเข้า เขาปกปิดอำพรางแผนการไม่ทัน ดังนั้นจึงเปลี่ยนใจหาแผนการใหม่”
“เปลี่ยนใจ? เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?” หยวนชิงหลิงคิดช้า ๆ “ที่เขาลักพาตัวท่านย่าไป ไม่ใช่เพื่อต้องการจะข่มขู่เจ้ากับข้า เขาคงต้องคิดว่าท่านย่ารู้วิธีทำแผนที่และอาวุธทางการทหารแน่ แต่เขาไม่มีความคิดที่จะยกทัพเพื่อก่อกบฏ…. หรือว่ามีความคิดอยากเจรจาแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับใครสักคน ? หรือคิดจะขายแผนที่ทางการทหารกับท่านย่าให้ใครบางคน?”
“เขาบอกด้วยว่า คู่สามีภรรยาจิ้งถิงเกิดเหตุไม่คาดฝัน มีแผนที่ทางการทหารเพียงส่วนเดียว แต่ยากที่จะสร้างอาวุธได้โดยดูแค่จากแผนที่ทางการทหารเท่านั้น ดังนั้นเมื่อรวมท่านย่ากับแผนที่ทางการทหารเข้าด้วยกัน นั่นถึงจะเป็นแผนที่ทางการทหารที่แท้จริง อย่างน้อยเขาก็คิดอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเดาว่า บางทีอาจเป็นอย่างที่เจ้าพูด หรือบางทีก็อาจเป็นข้อตกลงกับอ๋องชินเฟิงอัน ถ้าหากว่าเป็นอย่างหลัง สิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนในข้อตกลงนี้จะต้องเป็นอะไรที่ใหญ่มากแน่ๆ”
“เกิดอะไรขึ้นกับสามีภรรยาจิ้งถิงรึ?” หยวนชิงหลิงถามอย่างดุดัน
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “ยังไม่รู้ จะว่าไปข้าเองก็ยังไม่ได้รับจดหมายจากจิ้งถิงมานานแล้วเหมือนกัน คนที่ข้าส่งไปต้าโจวทั้งสองคณะต่างก็ยังไม่กลับมา คาดว่าคงมีเหตุร้ายบางอย่างเกิดขึ้นแน่ เรื่องพวกนี้เป็นอ๋องชินเป่าพูดเองเลย เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จ หลังกราบทูลรายงานแก่เสด็จพ่อวันพรุ่งนี้แล้ว ข้าจะส่งคนไปที่แคว้นต้าโจวอีกครั้ง”
หยู่เหวินเห้าดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด มันเกิดอะไรขึ้นกับสามีภรรยาจิ้งถิงกันแน่?
เขายืนขึ้นแล้วเปิดประตู เรียกฉี่หลอที่อยู่เวรกลางคืนให้เตรียมกระดาษ พู่กัน หมึก รวมถึงจานฝนหมึกเข้ามา เขาคิดจะเขียนจดหมายสักฉบับ เพื่อส่งไปแคว้นต้าโจวในวันพรุ่งนี้
หยวนชิงหลิงเข้าไปช่วยฝนหมึกให้เขาด้วยตัวเอง เมื่อได้เห็นข้อความที่แสดงความวิตกกังวลที่เขาเขียนลงไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่าลูกของจิ่นหนิงก็คงจะหลายเดือนแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขาสามีภรรยากันแน่? ช่างน่าเป็นห่วงเหลือเกินแล้วจริงๆ
พอฟ้าเพิ่งเริ่มสาง หยู่เหวินเห้าก็รีบเข้าวังไปทันที
วันนี้ไม่มีการรายงานราชการเช้า แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับตื่นบรรทมแต่เช้า หรือพูดให้ถูกคือ พระองค์ไม่ได้บรรทมเลยทั้งคืนต่างหาก
ตอนที่ได้พบหน้าหยู่เหวินเห้าที่ห้องทรงพระอักษรนั้น สีพระพักตร์ของพระองค์ก็หนักอึ้งขึ้นหลายส่วน “มีความคืบหน้าหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้ารายงานเรื่องที่ได้สนทนากับอ๋องชินเป่าทั้งหมดให้ฮ่องเต้ฟัง เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟังก็ทรงบันดาลโทสะ ตบโต๊ะดังปังพลางตรัสอย่างกริ้วโกรธว่า: “หากเขากล้าหยามหมิ่นพระศพที่มีค่าของฮ่องเต้ฮุยจงล่ะก็ ข้าจะให้ตระกูลเขาต้องถูกประหารทั้งโคตรอีกครั้งแน่ คนชั่วช้าอกตัญญูเช่นนี้ สมควรตายเป็นหมื่น ๆ ครั้งก็ยังไม่สาสม!”
“เสด็จพ่อโปรดระงับโทสะด้วยเถิด!” หยู่เหวินเห้าคุกเข่า “หม่อมฉันได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง สั่งให้คนส่งไปแคว้นต้าโจวแล้วในวันนี้ ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ก็หมายความว่าแผนที่ทางการทหารมีแค่ในมือของเขาเท่านั้นแน่นอนแล้ว บวกกับตอนนี้เขามีพระศพของฮ่องเต้ฮุยจงกับฮูหยินใหญ่เป็นตัวประกันในมือ พวกเราไม่อาจประมาทได้เลยแม้แต่น้อย จำต้องมองการณ์ไกลในระยะยาวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสอย่างโกรธเคืองว่า: “ไม่จำเป็นต้องประนีประนอมอะไรกับเขาทั้งนั้น แค่ส่งทหารไปล้อมจวนของเขา ถ้าหากเขาไม่สนใจความเป็นความตายของญาติตัวเอง ก็ให้เขามาเป็นปฏิปักษ์กับข้าให้ถึงที่สุดก็พอ!”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าเสด็จพ่อทรงกริ้วอย่างถึงที่สุดแล้วจริง ๆ ท่านจะไม่ทรงกริ้วได้อย่างไรกันล่ะ? แต่ตอนนี้ยังไม่อาจลงมือได้จริง ๆ ในเมื่อเขาเปิดเผยตัวตนมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะไม่จัดเตรียมเส้นทางที่จะเดินต่อหลังจากนี้ไว้เลยอย่างนั้นหรือ?