บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 801 เชิญอ๋องเว่ย
อ๋องชินเฟิงอันพูดขึ้นว่า “อารมณ์ของเขาควบคุมไม่ได้ ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน ตอนที่ข้าไป คิดว่ายังไงด้วยมิตรภาพความสัมพันธ์ในอดีต เขาน่าจะยอมรับฟังบ้าง แต่ไม่ใช่เลย ตอนนี้เขาคิดอย่างมั่นใจว่า พวกเราหลอกลวงเขา เชื่อคำพูดอีกแบบหนึ่งทั้งหมด สูญเสียความสามารถในการแบ่งแยกผิดชอบชั่วดี ดังนั้น ข้าสงสัยว่ามีคนคอยควบคุมเขาอยู่เบื้องหลัง หรือ…เวทมนตร์คาถาอะไร สรุปคือพูดไม่ออกว่าไม่ดียังไง”
“จะมีเวทมนตร์คาถาอะไร?”หยู่เหวินเห้าอึ้ง
หยวนชิงหลิงกลับคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา มองดูหยู่เหวินเห้า พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังจำอ๋องเว่ยได้ไหม? เดิมเขาก็ถูกกู้จือครอบงำจิตใจไม่ใช่หรือ?”
“วิชาลวงตาของหนานเจียง?”หยู่เหวินเห้าตกตะลึงเล็กน้อย
“กู้จือ? ก็คือเมียทาสของเจ้าสามคนนั้นหรือ? อ๋องชินเฟิงอันก็รู้เรื่องนี้”กู้จือคนนั้นเป็นคนหนานเจียงหรือ?
“ใช่ นางเป็นคนหนานเจียง เป็นผู้สืบทอดสาวหมอผีดำ เรื่องนี้ต้องถามหมันเอ๋อ หมันเอ๋อนางจะดูรู้ว่าใช่มนต์ดำหรือเปล่า?”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “หากคนหนานเจียงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คงไม่ง่ายที่จะจัดการเรื่องนี้แน่”
หลังจากที่กู้จือตาลไปแล้ว หยู่เหวินเห้าคิดว่า คนหนานเจียงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้จบง่ายๆแน่ ยังไงกู้จือก็เป็นผู้สืบทอดสาวหมอผีดำ พวกเขาให้ความสำคัญกับผู้สืบทอด เข้าข้าง และปกป้องอย่างมาก
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะหวนกลับมาด้วยวิธีนี้
กู้จือคนเดียว ก็แทบจะทำให้จวนอ๋องเว่ยล่มสลาย ทำให้อ๋องเว่ยสองสามีภรรยาต้องแยกจากกัน หากนี่เป็นการแก้แค้นของคนหนานเจียง คงไม่เพียงแค่นี้แน่
และตอนนั้นหยวนชิงหลิงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เรื่องระหว่างกู้จือกับเจ้าสาม ดังนั้น เกรงว่าคนหนานเจียงจะต้องมีเป้าหมายอย่างอื่นอีกแน่ ความเป็นไปได้อย่างที่สุดคือหยวนชิงหลิง
คิดถึงตรงนี้ เขามองดูหยวนชิงหลิงอย่างเป็นกังวลแวบหนึ่ง
หยวนชิงหลิงกับดูไม่สะทกสะท้าน ควรจะมา ในที่สุดก็ต้องมา หลบก็หลบไม่พ้น
เพราะอ๋องเว่ยเคยประสบวิชาลวงตาของกู้จือ ดังนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้เชิญอ๋องเว่ยมาที่จวน
อ๋องเว่ยได้ยินชื่อหนานเจียงสองคำนี้ ดวงตาประกายแววความเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง เขาเกลียดชังกู้จือ รวมถึงเกลียดชังคนหนานเจียงไปด้วย
ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้ คนหนานเจียงอาจจะมีส่วนในการวางแผน หลังจากที่เขาเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหนานเจียงทั้งหมดที่เขารู้ แล้วก็พูดขึ้นอย่างดุเดือดว่า “สักวันหนึ่ง ทหารม้าของข้าจะต้องไปกวาดล้างแผ่นดินของหนานเจียงให้ราบคาบ”
หยวนชิงหลิงมองดูอ๋องเว่ย ในใจมักรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก
นางจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอเขา คือก่อนที่เขาจะไปค่ายทหารเป่ยจวิ้น ตอนนั้นเขาผอมอย่างมาก ดวงตาแฝงเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย สีหน้าขาวซีด มีชีวิตอยู่เหมือนอย่างผีดิบที่มองไม่เห็นดวงตะวัน หนังเนื้อที่ข้อนิ้วล้วนแตกปริออก ถึงตอนนี้นางก็ยังจำได้ ตอนที่เขาถามถึงจวิ้นจู่จิ้งเหอ นั่งอยู่ใต้เฉลียงหน้าบ้าน มือทั้งคู่ล้วงอยู่ในวงแขนเสื้อ ดูต่ำต้อยอย่างมาก
ตอนนี้มองดูเขาอีกครั้ง ความหงอยเหงาเศร้าซึมนั้นไม่มีแล้ว แลดูใจเย็น หนักแน่น เยือกเย็น
นางดึงสติกลับมา แล้วก็ถามถึงเรื่องกู้จือกับวิชาลวงตา
เรื่องเก่ากลับมาเล่าใหม่ อ๋องเว่ยแลดูใจเย็นอย่างมาก เขาพูดขึ้นด้วยเสียงขรึมว่า “เรื่องนี้หาข้าไม่มีประโยชน์ หาเจ้าสี่สิ วันนั้นเขาเป็นคนพากู้จือมา คนที่สมรู้ร่วมคิดกับหนานเจียงคือเขา ยังไงเรื่องนี้แปดเก้าไม่พ้นสิบ เกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่า หลังจากกู้จือออกมาจากจวนอ๋องเว่ย เขาเป็นคนบอกคนของหนานเจียงมารับกู้จือ เมื่อคนหนานเจียงมา จะต้องไปหาเขาแน่ เจ้าถามเขา น่าจะรู้ว่าคนหนานเจียงมากี่คน คนพวกนี้เคยติดต่อจวนอ๋องชินเป่า”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “หาเขาก็ไม่มีประโยชน์ ในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่มีทางพูดอะไรออกมาแม้สักคำ ต่อให้รู้เรื่องภายในอะไรบ้าง เพื่อความปลอดภัยของตนเอง จะต้องบ่ายเบี่ยงอย่างหมดสิ้น”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าเรื่องราวดูเหมือนจะยิ่งอยู่ก็ยิ่งซับซ้อน สงสัยว่าคนที่เกี่ยวข้องนอกจากหงเย่ยังมีหนานเจียง ถึงแม้หนานเจียงจะเป็นส่วนหนึ่งของเป่ยถัง แต่คนในท้องถิ่นนั้นซับซ้อนมาก คนของพวกเขาส่วนมาก ล้วนไม่ยอมรับการปกครองของเป่ยถัง ต้องการที่จะหลุดพ้นออกมาจากเป่ยถัง เพื่อมาก่อตั้งประเทศใหม่
ปัญหาหนานเจียงมีมาเนิ่นนาน ใช่ว่าราชสำนักไม่สนใจ เพียงแค่ไม่ใช่เรื่องกระชั้นชิดเจียนตัว และตอนนี้ยังกระทำให้เกิดคลื่นพายุอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงปล่อยไว้ก่อน
ตอนนี้ เกรงว่าจะต้องบีบบังคับไปด้วยกันแล้ว
ดังนั้น ขโมยแผนที่ทางการทหาร ขโมยพระศพของฮ่องเต้ฮุยจง เป็นเพียงช่องสิ่งเล็กๆสิ่งหนึ่งของแผนการใหญ่ทั้งหมด ฉีกช่องเล็กนี้ออก ข้างในคงเป็นคลื่นทะเลเลือด
และแล้ว แคว้นต้าโจวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ก็เกิดเรื่องขึ้น สภาพการณ์โดยรวมของประเทศทั้งเจ็ด เกรงว่าจะต้องวุ่นวายแล้ว
อ๋องเว่ยพูดถึงอ๋องอาน ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ จึงพูดขึ้นว่า “ภายในสุสานจักรพรรดิ ข้าอดไม่ได้ อยากที่จะชกเขา จนใจที่อยู่ในสุสานจักรพรรดิ บรรพบุรุษล้วนมองดูอยู่ เขาก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย ตอนนี้อาจจะไม่อยากยอมหยุดจริงๆ พวกเจ้าป้องกันไว้บ้างเถอะ”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “ป้องกันคนนี้ ป้องกันคนนั้น ตอนนี้ศัตรูของข้ามีเต็มท้องถนน”
คำพูดนี้ไม่เป็นเท็จ องค์ชายรัชทายาทใรตอนนี้ มีคนสนับสนุนเยอะ แต่คนที่แอบลอบกัดก็มีเยอะ
อ๋องเว่ยพูดขึ้นว่า “ข้าไม่มีหนทางช่วยเจ้าได้ รอผ่านยี่สิบวันแรกหลังจากเสด็จย่ามรณภาพ ข้าก็จะต้องกลับเป่ยจวิ้นแล้ว เสด็จพ่อไม่มีทางยอมให้ข้าอยู่ในเมืองหลวงนาน”
“เจ้า….”หยู่เหวินเห้ามองดูใบหน้าที่หยาบกร้านของเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “หนึ่งปีกว่ามานี้ สบายดีไหม?”เขากลับมาเมืองหลวง เพราะมีเรื่องของเสด็จย่า เมื่อกลับมาถึงเสด็จย่าก็แย่มากแล้ว จากนั้นก็เป็นเรื่องที่สุสานจักรพรรดิถูกขโมย ทั้งสองพี่น้อง ต่างไม่เคยได้คุยกันดีๆเลย
ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เลยทำได้เพียงถามสารทุกข์สุกดิบเท่านั้น
อ๋องเว่ยมองดูแสงแดดที่ส่องเข้ามาจากภายนอกประตูแผ่ลงบนพื้น ดวงอาทิตย์ในปลายฤดูใบไม้ร่วงนั้นแผดเผาแสบตามาก เขารู้สึกตากระตุก ตะวันฉายสาดส่องพื้นโลก ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขามานานแล้ว เขาทำได้แค่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องดีหรือไม่ดี ยังมีชีวิตอยู่ก็พอ”
เขาเงยหัวขึ้นมามองดูหยวนชิงหลิงในทันใด แววตาลึกซึ้งและแน่วแน่ พร้อมพูดขึ้นว่า “มีข่าวของนางไหม?”
หยวนชิงหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่มี”
เขาค่อยๆพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “หากมีข่าวของนาง บอกข้าด้วย ขอบใจเจ้า”
“เรื่องนี้….ข้ารับปากไม่ได้ นอกจากนางยินยอม”
ถึงแม้อ๋องเว่ยในตอนนี้ จะแลดูไม่มีพิษไม่มีภัย แต่หยวนชิงหลิงไม่ลืมความโหดเหี้ยมของเขา หวนคิดถึงภาพบนกำแพงเมืองนั้น ในใจของนางยังคงสั่นเทา นางที่เป็นคนนอกยังเป็นเช่นนี้ จวิ้นจู่จิ้งเหอยิ่งไม่อาจลืมได้
“ข้าเพียงแค่อยากรู้ จะไม่ไปรบกวน”อ๋องเว่ยพูดขึ้นด้วยเสียงเบา
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น เพื่อจบเรื่องสนทนาที่โศกเศร้านี้ว่า “หากมีข่าวคราว ข้าจะบอกเจ้า”
“ขอบใจมาก” อ๋องเว่ยค่อยๆลุกขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นข้ากลับล่ะ หากมีเวลาว่าง เราพี่ค่อยคุยกัน”
“ได้ เดินทางปลอดภัย”หยู่เหวินเห้าส่งเขากลับไปด้วยตนเอง ระหว่างพี่น้องไม่มีความบาดหมางใจกัน โดยเฉพาะผ่านมานานขนาดนี้แล้ว
หลังจากส่งอ๋องเว่ยแล้วกลับมา มองเห็นหยวนชิงหลิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ อย่างไม่พูดไม่จา นึกว่านางยังโกรธเกลียดอ๋องเว่ย จึงพูดขึ้นว่า “ที่จริงตอนนี้เจ้าสามก็น่าสงสารมาก เราไม่คิดอะไรกับเขาแล้วนะ”
หยวนชิงหลิงมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเราจะไปคิดอะไรกับเขาได้? คนที่เขาทำร้ายไม่ใช่พวกเรา”
หยู่เหวินเห้าค่อยโล่งอก เดินไปโอบกอดนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้านึกว่าเขามาที่จวน เจ้าจะก่อนด่าเขาเสียอีก”
หยวนชิงหลิงเอียงหัวซบแนบอกเขา พูดขึ้นอย่างขมุกขมัวว่า “เรามีสิทธิ์อะไรไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่น? สิ่งที่เขาทำลงไป เขาได้รับผลที่ตามมาด้วยตนเอง เราที่เป็นคนที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้าง มากสุดก็แค่ไม่สบายใจ ซึ่งไม่มีสิทธิ์ไปชี้หรือวิจารณ์”
“เขากับพี่สะใภ้สาม ชั่วชีวิตนี้คงดีกันไม่ได้แล้วมั้ง?”หยู่เหวินเห้าหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา แล้วก็รู้สึกถอดถอนใจ
“ไม่รู้ แต่หากข้าเป็นจวิ้นจู่จิ้งเหอ เจ้าทำกับข้าแบบนั้น ชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ยอมเจอเจ้าอีก”
หยู่เหวินเห้าตกใจจนรีบกอดไว้ค่อนข้างแน่น พร้อมพูดขึ้นว่า “ห้ามพูดจาแบบนี้ ข้าไม่มีทางทำแบบนี้กับเจ้าไปตลอด”