บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 808 เราเจอกันอีกแล้ว
อะซี่พูดขึ้นว่า “มีความเป็นไปได้ บางครั้งเราเห็นภาพที่คุ้นเคย มักจะรู้สึกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน นี่อาจจะเป็นเหมือนพี่หยวนพูด เคยเห็นตอนเด็ก แต่จำไม่ได้แล้ว รอเมื่อเห็นสัมผัสถึงส่วนลึกของความทรงจำ ก็เลยคิดขึ้นมาได้ ตอนนี้เจ้าน่าจะเป็นอาการเช่นนี้”
“อืม ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”หมันเอ๋อนึกขึ้นมาได้ในทันใด
ถึงแม้หยวนชิงหลิงจะปลอบเช่นนี้ แต่ก็คิดอยู่ในใจ รอเมื่อหลังจากทุกอย่างสงบลงแล้ว ให้ทังหยางไปสืบเรื่องที่ผ่านมาของหมันเอ๋อ
อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยา ไปจวนอ๋องชินเป่าอีกครั้ง ตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้น
ครั้งนี้ ในที่สุดทั้งสามคนก็สามารถคุยกันได้อย่างสงบใจเย็น
เรื่องในตอนนั้น อ๋องชินเฟิงอันเล่าให้เขาฟังทุกคำอย่างไม่ตกหล่น นั่นเป็นอีกการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทอย่างอกสั่นขวัญหาย เพราะความทะเยอทะยานของอ๋องชินยู่นั้นโหดเหี้ยม เกือบทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า สุดท้ายถึงแม้จะพลิกผันสถานการณ์ไว้ได้ แต่ก็ทำให้มีคนมากมายเสียชีวิต ครอบครัวแตกแยก
หลังจากอ๋องชินเป่าฟังแล้ว ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว ปากบอกว่าไม่เชื่อ แต่เท้าทั้งคู่กลับคุกเข่าลง สีหน้าขาวซีด
เขาบอกที่ซ่อนพระศพฮ่องเต้ฮุยจง พระศพไม่ได้เอาออกมาจากสุสานจักรพรรดิ แต่ทิ้งไว้ตรงมุมคูสุสาน ด้านบนปิดปกคลุมไว้ด้วยผ้าไหมขาดรุ่งริ่ง เพราะเหตุนี้จึงไม่เป็นที่สนใจของใคร
“แผนที่ทางการทหารล่ะ?” อ๋องชินเฟิงอันถามขึ้นว่า “ได้เอาให้ท่านชายหงเย่แล้วหรือไม่?”
อ๋องชินเป่าส่ายหัว พูดขึ้นด้วยสีหน้าขาวซีดว่า “ไม่เกี่ยวกับท่านชายหงเย่ เขาไม่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นตระกูลฉินของเป่ยโม่ พวกเขาส่งคนมาเอาแผนที่ทางการทหารไป”
อ๋องชินเฟิงอันอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “เป็นตระกูลฉินเป่ยโม่ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้”
คนที่หนานเจียงติดต่อคือหงเย่ และเขาที่เป็นก็คือวิชาหลอนจิตของหนานเจียง และหงเย่ก็แบ่งคนส่วนหนึ่งกระจายอยู่ภายในเป่ยถัง ตระกูลฉินกลับไม่มีเลย
“คือตระกูลฉินเป่ยโม่ไม่ผิดแน่ ข้าเคยเห็นป้ายประจำตระกูลของตระกูลฉินด้วยตาตัวเอง คนที่มาเจอติดต่อข้า เป็นคนสนิทของตระกูลฉิน”อ๋องชินเป่าพูดขึ้นอย่างแน่งแน่
อ๋องชินเฟิงอันสองสามีภรรยามองตากัน ต่างก็แปลกประหลาดใจ ดูท่าทีของเขาไม่เหมือนกำลังโกหก แต่ตามที่สืบรู้มา ตระกูลฉินแทบไม่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป่ยโม่กับตระกูลฉินต่างไม่มีคนไปมาในเมืองหลวง จะเป็นผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร?
“แผนที่ทางการทหารล่ะ?”อ๋องชินเฟิงอันรีบถามขึ้น
อ๋องชินเป่าหัวเราะอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นว่า “เดิมข้าอยากที่จะหล่อหลอมอาวุธ แต่หลังจากตั้งแต่ข้าถูกหมากัด ข้ารู้ว่าตนเองถูกเปิดเผยแล้ว ดังนั้น จึงทำการเสนอขอแลกเปลี่ยนกับตระกูลฉิน แผนที่ทางการทหารเอกให้กับเขา แล้วเขาช่วยข้าแก้แค้น แต่น่าเสียดาย ไม่ได้แลกเปลี่ยน แผนที่ทางการทหารก็หายไปแล้ว”
“หายไปแล้ว?” อ๋องชินเฟิงอันขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ที่เป็นสิ่งที่เป็นความลับที่สำคัญที่เจ้าใช้ข่มขู่ราชสำนัก จะทำหายง่ายๆได้อย่างไร? ทำหายที่ไหน? ทำหายเมื่อไหร่?”
“ทำหายเมื่อไหร่ ข้าไม่รู้ หลังจากขโมยแผนที่ทางการทหารกลับมา ก็ได้รีบสั่งคนทำสำเนาไว้หนึ่งฉบับ ต้นฉบับเก็บซ่อนไว้ภายในห้องลับพร้อมล็อคกุญแจไว้ รอเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วค่อยส่งกลับไปที่ซีเจ้อ ต่อมาได้รู้ว่าทางด้านองค์ชายรัชทายาทสงสัยในตัวข้า จึงคิดอยากที่จะเบี่ยงเบนความสงสัย ทำการแลกเปลี่ยนกับตระกูลฉิน เมื่อเปิดห้องลับกลับพบว่า กล่องที่เก็บซ่อนแผนที่ทางการทหารหายไปแล้ว แต่ข้าได้คุยกับตระกูลฉินเรียบร้อยแล้ว ไม่มีแผนที่ทางการทหารแล้วจะแลกเปลี่ยนยังไง? เมื่อจนหนทาง จึงได้สั่งคนลักพาตัวฮูหยินใหญ่ไป นางมีส่วนร่วมในการหล่อหลอมอาวุธ นางจึงเป็นแผนที่ทางการทหารที่มีชีวิตอยู่”
อ๋องชินเฟิงอันมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นอย่างค่อนข้างไม่อยากเชื่อว่า “แผนที่ทางการทหารหายไปแล้ว เจ้าไม่เคยตามสืบว่าใครขโมยไปหรือ? จวนอ๋องของเจ้ามีทหารจวนเฝ้าแน่นหนาขนาดนี้ สามารถขโมยของไปได้ภายใต้หนังตาของเจ้า เจ้ากับไม่รู้สึกตัวเลยหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้”
อ๋องชินเฟิงอันเม้นริมฝีปาก ดวงตาแววตาอย่างจนใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “หลายปีมาขนาดนี้ ข้าไม่เคย ฝึกฝนบ่มเพาะให้เป็นคนสนิทของตนเองมาตลอด หลังจากติดต่อกับตระกูลฉิน ค่อยเริ่มมีทหารจวน ที่ว่าฝึกฝนบ่มเพาะ ก็เป็นเพียงแค่ใช้เงินซื้อความต้องการของข้า ใช่ว่าจะเชื่อถือได้ทั้งหมด แม้กระทั่ง เชื่อถือไม่ได้เลยสักคนเดียว ไม่เช่นนั้นทำไมข้าจะต้องไปขโมยแผนที่ทางการทหารที่กรมทหารด้วยตนเอง?”
ไม่ใช่ว่าเขากระหยิ่มใจ ความจริงแล้ว เขามีสติปัญญานี้จริง แต่ก็เหมือนอย่างที่เขาพูด เขาไม่มีเวลาเพียงพอที่จะไปสั่งสมอำนาจ
และในจุดนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เขาไม่ได้จงใจวางแผนตั้งแต่แรก
แต่คำพูดของเขา กลับทำให้อ๋องชินเฟิงอันสับสนอย่างมาก กระทั่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงที่สุด
ดูจากตรงหน้าแล้ว หงเย่ได้เข้ามาอยู่ในเป่ยถังแล้ว ความเป็นไปได้มากที่สุดที่ติดต่อกับเขาคือหงเย่ แต่เขากลับพูดว่าเป็นคนของตระกูลฉินเป่ยโม่
สามสิบปีก่อนหน้าของชีวิตเขา ล้วนติดต่อกับตระกูลฉินเป่ยโม่มาตลอด
ตระกูลฉินไม่ชำนาญวางแผนร้าย ใช้เล่ห์เพทุบาย เชื่อถือเพียงพลังและความสามารถในการต่อสู้เท่านั้น การเล่นด้วยเล่ห์กลเพทุบายเช่นนี้ไม่ใช่ฝีมือของตระกูลฉิน และตระกูลฉินก็ทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เพราะต้องใช้เวลายาวนานในการเตรียมการซุ่มซ่อน ยังต้องรู้เรื่องเมื่อสิบปีก่อนเป็นอย่างดี เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตระกูลฉิน
แต่ดูใบหน้าเซื่องซึมของอ๋องชินเป่านั้น ก็รู้สึกว่าไม่เหมือนพูดความเท็จ
ในนี้จะต้องมีแผนชั่วแน่
“เจ้ากระทำความผิดโทษมหันต์ ลงโทษเจ้าอย่างไร ฮ่องเต้จะเป็นคนตัดสิน สิ่งที่เจ้ากระทำจะต้องยอมรับผลด้วยตนเอง”อ๋องชินเฟิงอันมองดูพร้อมพูดขึ้น
อ๋องชินเป่ามองดูชายาเฟิงอัน คุกเข่าก้มหัว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจกับสำนึกผิด พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ายอมรับผิด ขอสารภาพผิด”
ชายาเฟิงอันหลับตา น้ำตาร่วงไหลลงอย่างอดทนไม่ไหว
สักพัก นางลืมตาขึ้นมองดูอ๋องชินเฟิงอัน พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะพักอยู่ที่นี่หลายวัน พุทราในลานสุกแล้ว ข้าคิดถึงรสชาตินี้”
อ๋องชินเฟิงอันตบหลังมือของนางเบาๆ ค่อยๆพยักหัว แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป
อ๋องชินเป่ายังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ชายาเฟิงอันยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ นางไม่มองเขา เพียงแค่มองดูแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาจากด้านนอกประตู เข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ทีละนิ้ว
“ลุกขึ้นมาเถอะ” สุดท้ายนางก็หันไปมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า พิษกู่วิชาลวงตาของหนานเจียง ขับเคลื่อนด้วยความคิดลึกๆในใจ ที่จริงหลายปีมานี้ เจ้าไม่เคยเชื่อคำพูดของข้าทั้งหมดมาตลอด จึงทำให้คนอื่นฉวยโอกาส
ร่างกายอ๋องชินเป่ากระตุกสั่นเทา สีหน้าขาวซีด
อ๋องอานกับอ๋องเว่ยไปยังสุสานจักรพรรดิ แล้วก็เจอกระดูกของฮ่องเต้ฮุยจงในคูสุสาน กระดูกถูกโยนเป็นชิ้นๆ กะโหลกยิ่งถูกบีบเป็นเศษ
เพราะเรื่องนี้ยังต้องเก็บเป็นความลับ ดังนั้นจึงยังไม่ได้เชิญพระมาสวดอภิธรรม เพียงแค่นำไปฝังตามปกติเท่านั้น รอต่อไปค่อยหาเหตุผลทำพิธีใหญ่ให้
หยู่เหวินเห้าไปรับฮูหยินใหญ่ที่ซีเจ้อ กลับคิดไม่ถึงว่า เพิ่งมาถึงซีเจ้อก็เจอรถม้าคันหนึ่ง คนสวมชุดแดงคนหนึ่งนั่งอยู่ภายในรถม้า ตอนที่ม้าวิ่งผ่านไป สายตาเหลือบไปมองดู มองเห็นสีแดงสดใสนั่น
เขารีบควบม้าหันกลับมา ขวางทางรถม้าไว้
เขากวาดสายตามองอย่างเยือกเย็น แล้วก็เห็นชายชุดแดงกระโดดลงมาจากรถม้าแล้ว
เขาสวมเสื้อคลุมตัวหลวม เมื่อตอนที่กระโดดลงพื้น เป็นเหมือนดั่งเทพมาจุติ ตาคิ้วอ่อนโยน ดวงตาเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากอมยิ้ม ทำให้รู้สึกเหมือน พระจันทร์สว่างปลิวไสวสบายตา
ลมพลิ้วเบาพัดผ่านใบหน้า ผมดำสลวยดูอ่อนเยาว์ เขาพูดขึ้นว่า “องค์ชายรัชทายาท เราเจอกันอีกแล้ว”