บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 809 เจ้าช่างตลกจริงๆ
มีคนบางส่วน แม้จะเย่อหยิ่งจองหอง ทำใบหน้าดุร้าย ก็ทำให้รู้สึกเหมือนไม่มีอันตรายอะไร
แต่มีบางส่วน ต่อให้บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ตาคิ้วและดูมีเมตตา แต่กลับทำให้รู้สึกเหมือนมีอันตรายรอบด้าน
หงเย่ก็คือคนเช่นนี้
หยู่เหวินเห้ายังไม่ตอบเขา ก็เห็นผ้าม่านรถม้าถูกเปิดออกในทันใด เผยให้เห็นใบหน้าหมาป่าของซาลาเปา กระโดดลงมาเดินวนอยู่ตรงหน้าหยู่เหวินเห้า ท่าทีดีใจอย่างมาก
ผ้าม่านถูกเปิดออกอีกครั้ง ท่านย่าหยวนโผล่หัวออกมา มองดูเขาอย่างดีอกดีใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “องค์ชายรัชทายาท”
หยู่เหวินเห้าชักดาบยาวออกจากฝัก ชี้ไปหาหงเย่ พร้อมพูดขึ้นด้วยแววตาเยือกเย็นว่า “เป็นเจ้าที่ลักพาตัวนางไปหรือ?”
คมดาบฉายแววเรืองแสง จ่ออยู่ตรงคอของหงเย่ เส้นเลือดสีเขียวภายใต้เนื้อหนังสีขาวที่มองเห็นอย่างชัดเจน เพียงแค่ดึงเล็กน้อย ก็จะสามารถบาดหนังเนื้อขาด ทำให้เขาเสียชีวิตได้ในทันที
แววตาหงเย่เรียบเฉย ดูเหมือนรู้ว่าเขาไม่มีทางลงมือ ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอย่างสงบจิตสงบใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “องค์ชายรัชทายาทเข้าใจผิดแล้ว ในทางกลับกัน เป็นข้าที่ช่วยชีวิตฮูหยินใหญ่ไว้”
สวีอีได้เดินไปประคองท่านย่าหยวนลงมา พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “เจ้าจะใจดีขนาดนี้หรือ? จะต้องเป็นเจ้าที่ลักพาตัวฮูหยินใหญ่ไปแน่”
ท่านย่าหยวนรีบพูดอธิบายขึ้นว่า “ไม่ ไม่ เป็นผู้น้อยคนนี้ช่วยข้าไว้ อย่าเข้าใจคนดีผิด”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองดูเขา เห็นเพียงดวงตาของเขาหมุนไปมา เป็นประกายแวววาว รอยยิ้มที่กำลังพอดียังคงเผยอยู่ที่มุมปาก
หยู่เหวินเห้าเก็บดาบ แววตายังคงเฉียบคม พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่หรือ? นั่นช่างบังเอิญจริงๆ ข้าเพิ่งกำลังมาช่วยฮูหยินใหญ่ ท่านชายกลับไวกว่า”
“แค่ผ่านมาเจอพอดี องค์ชายรัชทายาทไม่ต้องขอบคุณ”หงเย่พูดขึ้นด้วยท่าทีสงบเรียบเฉย
หยู่เหวินเห้าเก็บดาบเข้าฝัก พร้อมพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “ได้ งั้นไม่ขอบคุณ ลาก่อน”
พูดเสร็จ แล้วก็สั่งสวีอีพาขึ้นฮูหยินใหญ่ขึ้นม้า
“องค์ชายรัชทายาท”หงเย่ร้องเรียกขึ้น
หยู่เหวินเห้าเพิ่งพลิกตัวขึ้นม้า มองดูเขาจากที่สูง พร้อมพูดขึ้นว่า “ว่า”
เขาพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “ฮูหยินใหญ่อายุมากแล้ว ขี่ม้ากระทบกระแทกไม่ค่อยจะดี ข้ามีรถม้าพอดี ให้ข้า….”
“ท่านชายใจดียอมเสียสละรถม้า งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว สวีอี ประคองฮูหยินใหญ่ขึ้นรถม้า ยกม้าของเจ้าให้กับท่านชายเพื่อเป็นการขอบคุณ” หยู่เหวินเห้าโน้มตัว ยังคงมองดูท่านชายหงเย่จากที่สูง พร้อมพูดขึ้นว่า “ที่ยกม้าให้ ท่านชายไม่ต้องขอบคุณ”
ท่านชายหงเย่ยิ้มแย้ม ส่ายหัวเบาๆ แลดูท่าทีจนใจยิ่งนัก พร้อมพูดขึ้นว่า “องค์ชายรัชทายาทชอบก็ดี”
“ไม่ชอบ แค่เป็นพิธีท่านชายอย่าถือเป็นเรื่องจริง” มือหยู่เหวินเห้าถือแส้ แววตาเป็นประกาย พร้อมพูดขึ้นว่า “ท่านชายมาเป่ยถังคนเดียว ข้างกายไม่มีองครักษ์ อันตรายยิ่งนัก ท่านชายรีบกลับเซียนเปยไปเสียเถอะ”
“ตัวคนเดียวเพียงลำพัง ไม่ต้องการอะไรอีก จะมีอันตรายอะไร? เป่ยถังไม่ปลอดภัยขนาดนี้อะไรหรือ?”
“เพราะมีความสามารถ จึงถูกทำร้ายหรือได้รับอันตราย ท่านชายมีใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ จะต้องมีคนที่หลงใหลในความงดงามชื่นชอบแน่ ยิ่งดูสงบสุขรุ่งเรือง ก็ยิ่งมีคนอธรรมมากขึ้นเท่านั้น ท่านชายคิดว่าข้าพูดถูกไหม?”
ท่านชายหงเย่หัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “กราบขอบพระคุณที่พระองค์ทรงชื่นชมในรูปลักษณ์ ข้าน้อยสุขใจยิ่งนัก”
“ดังนั้น” แววตาเป็นประกายของหยู่เหวินเห้าเหือดหายไป พร้อมพูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านชายจะเข้าเมืองหลวงอย่างแน่นอนหรือ?”
“หากองค์ชายรัชทายาทยอมให้ไปด้วย ถือเป็นการดีอย่างที่สุด”สีริมฝีปากของท่านชายหงเย่เรืองแสงสีแดง เหมือนดั่งดอกกล้วยไม้เต้นรำกลางแดดอุ่น
แววตาหยู่เหวินเห้าเงยขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “แขกมาจากแดนไกล ข้าควรที่จะดูแลเป็นมิตรอย่างดีในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน”
หงเย่ยิ้มแย้มอย่างสดใส พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นดีมากเลย มีองค์ชายรัชทายาทร่วมเดินทางด้วยตลอดทาง งั้นก็ไม่เหงาแล้ว”
“ใช่ จะได้คุยกันด้วย ท่านชายช่วยเหลือฮูหยินใหญ่ได้โดยบังเอิญยังไงหรือ?”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
คำพูดนี้ สวีอีฟังอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นี่พระองค์หมายความว่าอย่างไรหรือ? เดี๋ยวก็บอกให้หงเย่ไสหัวไป เดี๋ยวก็จะเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับเขา และทั้งสองคนก็พูดคุยกันด้วยท่าทีสนิทสนมกลมเกลียว สิ้นเปลืองแรงกำลังอย่างมาก
สวีอียกม้าของตนเองให้กับท่านชายหงเย่ ส่วนเขารับผิดชอบขับรถม้า ก่อนออกเดินทาง หยู่เหวินเห้าขึ้นรถม้า ทักทายท่านย่าหยวน ตลอดจนถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ท่านย่าหยวนจับมือของเขาไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ผู้น้อยคนนี้มองดูสุภาพอ่อนโยน แต่ฝีมือการต่อสู้เก่งกาจมาก หลังจากที่พวกเราเดินทางมาถึงซีเจ้อ เมื่อลงจอดก็มีรถม้ามาพาพวกเราไปขังไว้ในลานหนึ่ง คืนวันแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองแม่นางที่ชื่อเฝิงโร่คนนั้น อยากที่จะฆ่าหมาป่า ได้ทิ้งเศษเนื้อหลายชิ้นด้านนอกลาน เพื่อล่อให้ออกไป หาคนมาคอยโจมตีอย่างมากมาย ข้าถูกขังไว้ในห้องมองอะไรไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงที่รุนแรงอย่างมาก ผ่านไปสักพักหมาป่าก็พังประตูเปิดออกให้ข้าออกไป แล้วก็เห็นผู้น้อยคนนี้กำลังสู้อยู่กับคนพวกนั้น เขายังฆ่าคนไปหลายคน สุดท้ายก็พ้นจากอันตราย แล้วก็พาพวกเราขึ้นรถม้าหนีไป หลังจากพวกเราออกไปแล้ว ยังพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน วันนี้ค่อยเพิ่งเดินทางกลับเมืองหลวง”
ท่านย่าหยวนยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนแรกก็ตกใจอยู่ แต่ต่อมาหมาป่าไล่ตามมา ค่ะก็ไม่กลัวแล้ว ตอนที่อยู่บนเรือมันไม่ยอมให้ใครทำอะไรข้า จึงไม่เคยได้รับอันตรายที่น่าตกใจ”
นางพูดพร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวของหมาป่าหิมะ พร้อมพูดชมอย่างอ่อนโยนว่า “คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า อาจจะมีพลังจิตขนาดนี้”
หมาป่าหิมะได้ยินคำชม ก็ส่ายหางอยู่อย่างสุดแรง
หยู่เหวินเห้าพูดประชดว่า “เก็บอาการหน่อย เจ้าเป็นหมาป่า ส่ายหางทำไม?”
หมาป่าหิมะคำรามสองที หมอบอยู่ตรงเท้าท่านย่าหยวน ไม่เคลื่อนไหวแล้ว
“ท่านชายหงเย่คนนี้เป็นคนเซียนเปย ต่อให้ไม่มีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับเป่ยถัง แต่ก็มีความทะเยอทะยานแฝงตัวอยู่ ท่านเคยได้ยินเขาพูดว่าอะไรไหม? สามารถแบ่งแยกได้ไหมว่า เขามีความน่าสงสัยที่จะเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่ลักพาตัวท่านมาหรือไม่?”
ท่านย่าหยวนส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “แบ่งแยกไม่ออก เขาลงมือโหดเหี้ยมมาก ฆ่าคนไปหลายคนภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นก็ต้องการที่จะฆ่าเขา เพียงแต่ฝีมือการต่อสู้ไม่เก่งกาจเท่าเขา สุดท้ายจึงถูกเขาจัดการ ในที่เกิดเหตุน่าเวทนาอย่างมาก ล้วนเป็นชีวิตของคนทั้งนั้น”
ท่านย่าหยวนไม่ได้เป็นกังวลหรือตกใจกับสถานการณ์ที่ตนเองต้องพบเจอ กลับสงสารชีวิตของคนขึ้นมา
หยู่เหวินเห้าพูดปลอบว่า “พวกนั้นล้วนเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ตายแล้วก็ไม่น่าเสียดาย ตอนนี้ท่านปลอดภัยแล้ว เราจะรีบกลับไปเมืองหลวง เจ้าหยวนเป็นห่วงแย่แล้ว”
“ข้าก็คิดว่านางคงเป็นห่วงแย่แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”ท่านย่าหยวนรีบพูดขึ้น
หยู่เหวินเห้าพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ เราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้”
เขาลงจากรถม้า หันกลับไปมองดู เห็นเสี้ยวหงเฉิงคนนั้นตามอยู่ด้านหลัง เห็นที ที่ท่านย่าพูดเป็นความจริง เสี้ยวหงเฉิงเห็นพวกเขาก่อน แล้วค่อยส่งนกพิราบส่งสารไปให้เขาที่เมืองหลวง หากหงเย่มีความคิดที่จะลงมือ สำนักเหมยแดงจะไม่นิ่งดูดายแน่ น่าจะเห็นว่าเขาช่วยท่านย่าออกมา ดังนั้นจึงตามอยู่ตลอดทาง
แต่ ใช่ว่าหงเย่จะไม่รู้ว่ามีคนกลางอยู่ตลอดทาง
หยู่เหวินเห้าคิดอยู่เช่นนี้ แล้วก็ควบขี่ม้าไป ท่านชายหงเย่ก็ควบขี่ม้าตาม ชุดคลุมสีแดงปลิวไสว แลดูสง่างามอย่างบอกไม่ถูก
“พระองค์พาองครักษ์เพียงคนเดียวมาซีเจ้อ ไม่กลัวเจอคนร้ายหรือ?”หงเย่ถามขึ้นในทันใด
ในใจหยู่เหวินเห้ากำลังครุ่นคิดอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็พูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านชายหงเย่มาถึงเป่ยถัง ด้วยตัวคนเดียวเพียงลำพัง ก็ไม่กลัวที่จะเป็นแขกเสียชีวิตอยู่ที่แผ่นดินอื่นหรือ?”
ท่านชายหงเย่ยิ้มอย่างน่าหลงใหล พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่กลัว ปกติเป่ยถังกับเซียนเปย เป็นมิตรที่ดีต่อกัน หากเกิดอะไรกับข้าจริง พระองค์จะต้องช่วยเหลือเป็นแน่”
เซียนเปยกับเป่ยถัง ความสัมพันธ์ตอนนี้ค่อนข้างตึงเครียด หากท่านชายหงเย่ตายอยู่ที่เป่ยถัง งั้นทั้งสองประเทศก็จะเกิดข้อพิพาทกัน แน่นอน หยู่เหวินเห้าไม่สามารถนิ่งดูดายแน่
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ใช่ ข้าจะต้องคุ้มกันส่งศพของท่านชายกลับไปยังเซียนเปยด้วยตนเองอย่างแน่นอน ไม่นิ่งดูดายแน่”
ท่านชายหงเย่หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง พร้อมพูดขึ้นว่า “พระองค์ช่างตลกจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าเอียงหัวมองดูเขายิ้มหัวเราะอย่างเบิกบาน สักพักจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าหัวเราะได้อย่างแพศยาจริงๆ”