บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 817 แม่ทัพแห่งสงคราม
หยวนชิงหลิงเดินออกมาจากลานเซี่ยจื้อ แล้วก็ไปพบกับโสวฝู่และแม่นมสี่ที่โถงรับรอง
นางบอกกับโสวฝู่ว่า “แผ่นหลังของชายชั่วคนนั้นมีรอยแผลเป็นหนึ่งแผล ลายมือที่เขียนจดหมายคล้ายกับเจ้าห้าเจ็ดถึงแปดส่วน นอกเหนือจากนี้ ก็สืบอะไรออกมาไม่ได้อีกแล้ว”
โสวฝู่มองนาง ทันใดนั้นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “แค่นี้พระชายาก็แน่ใจแล้วหรือว่าคนคนนั้นไม่ใช่รัชทายาท”
ตามปกติแล้ว ก่อนที่จะมีหลักฐานมายืนยัน ผู้หญิงส่วนมากจะไม่มีทางเชื่อใจผู้ชาย
“แน่ใจ”หยวนชิงหลิงตอบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“เพราะอะไร”โสวฝู่ถามขึ้น
หยวนชิงหลิงยิ้ม “อันดับแรกคือสัญชาตญาณ แต่ว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยอาศัยเรื่องสัญชาตญาณ ฉะนั้นที่จริงก็เคยหยั่งเชิงเขามาก่อนแล้ว แต่เมื่อลองคิดทบทวนอย่างละเอียด เขาไม่มีเวลาตรงนี้ที่จะไปพบเจอกับฉู่หมิงหยางเลย ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งรัชทายาท เขาก็ทำงานหนักทุกวัน วันหยุดพักผ่อนส่วนมากก็อยู่เป็นเพื่อนข้าในจวน และที่สำคัญที่สุดคือข้าไม่เชื่อว่าเขาจะมีความรู้สึกใดๆต่อฉู่หมิงหยาง ยิ่งไม่เชื่อว่าเขาจะให้ฉู่หมิงหยางคอยสอดส่องทุกการเคลื่อนไหวของจวนอ๋องจี้ เพราะว่าทุกวันอ๋องจี้จะกินข้าวกี่มื้อหรือเข้าห้องน้ำกี่ครั้ง ขอเพียงข้าอยากจะรู้ ข้าย่อมได้รู้อย่างชัดเจนทุกเรื่อง ”
มีพระชายาจี้ในตอนนั้นอยู่ ในจวนอ๋องจี้ยังต้องมีสายสืบอะไร แม้จะไม่มีพระชายาจี้แล้ว ให้คนของเสี้ยวหงเฉิงคอยจับตาดูก็ได้จะไปยากอะไร คงไม่ถึงกับต้องใช้ร่างกายของตนเองเข้าแลกกระมัง
โสวฝู่ฉู่อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างชื่นชม จากนั้นก็มองไปทางแม่นมสี่ พูดอย่างภูมิใจว่า “ความเชื่อใจสำคัญมากใช่หรือไม่”
แววตาของแม่นมสี่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม “ไม่ได้ไม่เชื่อสิ่งที่ท่านพูด ก็แค่อยากจะถามให้ชัดเจนเท่านั้น เพราะว่าก่อนหน้านี้นางอยู่แต่ในจวนทุกวัน เข้าออกก็มีคนคอยตาม ทำไมคนที่เป็นท่านปู่อย่างท่านจึงไม่รู้สึกผิดสังเกตเลยสักนิด”
โสวฝู่เอามือไขว้หลัง พูดพึมพำว่า “ท้ายที่สุดแล้วข้าที่นอกจากจะจัดการเรื่องในราชสำนักแล้วยังต้องแบ่งจิตใจและความคิดมาดูแลเรื่องภายในบ้านอีกอย่างนั้นหรือ ”
หลังจากออกมาจากจวนโสวฝู่แล้ว หยวนชิงหลิงได้ให้แม่นมสี่กลับไปก่อน นางพาหมันเอ๋อไปหาแม่นางเหยา
หลังจากที่แม่นางเหยาไม่ได้เป็นพระชายาจี้แล้ว ก็ใช้เวลาขัดเกลาจิตใจและนิสัยของตนเอง ทำงานเย็บปักถักร้อยทั้งวัน และหน้าตาก็ดูงดงามมีเมตตามากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก สวมเสื้อผ้าธรรมดา บนแขนเสื้อปักลายดอกไม้สีขาว ยังคงไว้อาลัยแด่ฮองเฮาอยู่
พอได้ยินว่าฉู่หมิงหยางตั้งครรภ์ นางถึงกับท่องคำว่าอมิตาพุทธออกมา
หยวนชิงหลิงฟังแล้วก็รู้สึกแปลกใจ “อมิตาพุทธอะไรกัน นี่เจ้ากำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่หรือ”
แม่นางเหยาเอาเข็มปักลงไปที่เส้นผมบนศีรษะสองที เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า :“หรือนี่จะไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ หยู่เหวินจุนก็ไม่สามารถมีลูกได้แล้ว ฉู่หมิงหยางยังสามารถตั้งครรภ์ได้อีก ควรท่องคำว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง”
“เจ้านี่มันปากร้ายมากจริงๆ”หยวนชิงหลิงพูด
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าปากหวานมาก แต่ว่าใจร้าย เป็นอย่างนั้นจึงจะดีใช่หรือไม่”แม่นางเหยาค้อนให้นางหนึ่งที
คิดถึงเมื่อก่อน หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะมองนางนานขึ้น ในใจเกิดข้อสงสัยว่าข้างในของนางนั้นได้เปลี่ยนวิญญาณดวงใหม่แล้วใช่หรือไม่
“เมิ่งซิงล่ะ”หยวนชิงหลิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเข้าประตูมาก็มองไม่เห็นนาง ตอนนี้เมิ่งเยว่นั้นกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนแพทย์ เมิ่งซิงยังเด็ก จึงไม่ได้ไปเรียน
“พี่ใหญ่พานางไปอยู่ด้วยสักพัก ”นางถอนหายใจเบาๆ“วันหลังหากเจ้ามาอีก นำหมาหรือแมวมาให้ข้าสักตัว อาหารที่กินเหลือทุกมื้อที่บ้านข้าล้วนเสียเปล่า ไม่สู้เอามาเลี้ยงสิ่งมีชีวิต ยังนับว่าเป็นการสร้างกุศลเรื่องหนึ่ง ”
หยวนชิงหลิงมองนาง พูดยิ้มๆว่า “รู้สึกเหงาหรือ”
“วันเวลาที่สงบเช่นนี้ ดีมากจริงๆ จะรู้สึกเหงาได้อย่างไร ”สายตาของแม่นางเหยามีประกายอ่อนๆผุดขึ้นมา เข็มในมือของนางหยุดชะงักลง หยวนชิงหลิงเห็นนางปักรูปลายดอกโบตั๋นภาพใหญ่ ในความสุภาพและดูสง่าเลิศล้ำนั้น มีความทรงพลังแฝงอยู่
เดิมทีนางก็เป็นคนที่ทรงพลานุภาพอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องลำบากมาอยู่ที่นี่ เหมือนเป็นการรังแกคนที่มีความสามารถ
“คงเป็นเพราะไม่คุ้นเคยกระมัง”นางครุ่นคิด แล้วพูดว่า “ที่จริงตอนที่อยู่ในจวน ก็เคยมีชีวิตที่สงบสุขเช่นนั้นมาก่อน ไม่มีการแย่งชิง ไม่มีแผนการ แต่ความสงบในตอนนั้นเป็นการเฝ้ารอการมาถึงของลมพายุที่โหดร้ายยิ่งกว่า แต่ตอนนี้ ลมพายุยังไม่ทันสงบ ข้าก็ถูกโยนออกมาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกอับอยู่บ้างกระมัง รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์แล้ว”
“เจ้ามีชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยจริงๆ ข้าแทบอยากจะมีชีวิตที่สงบสุข อยู่เคียงข้างสามี เลี้ยงดูลูกๆ มีเวลาว่างก็เลี้ยงสัตว์ปลูกดอกไม้ อ่านหนังสือ นี่จึงจะเป็นชีวิตที่คนปกติทั่วไปเขามีกัน”
“ถ้าหากแผ่นดินอยู่ในยุคที่สันติสุขรุ่งเรือง ชีวิตเช่นนี้ย่อมดีที่สุด แต่ว่าตอนนี้ข้างนอกยังไม่สงบสุขนี่นา”แม่นางเหยาผลักแท่นปักผ้าออกไป มองนาง “ยากมากกว่าเจ้าจะได้มาสักครั้ง พูดเถอะ อยากให้ข้าทำอะไร ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเด็กในท้องของฉู่หมิงหยางใช่หรือไม่”
“ทายได้แม่นยำจริงๆ”หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้นมา ดึงนางลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกัน ลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบาย แสงแดดกำลังดี “มีคนปลอมตัวเป็นเจ้าห้านัดเจอเป็นการส่วนตัวกับนาง เด็กในท้องของนางก็เป็นของชายคนคนนั้น เจ้าอย่าถามให้ลึกไปกว่านั้น ในเมื่อฉู่หมิงหยางดูไม่ออก แสดงว่าคนคนนี้เป็นคนยอดฝีมือในการปลอมแปลงโฉมหน้า ตอนนี้ฉู่หมิงหยางกล่าวหาว่าเด็กในท้องเป็นของเจ้าห้า”
แม่นางเหยาได้ยิน ก็เอ่ยด้วยเสียงเรียบๆว่า “คงต้องการทำลายชื่อเสียงของรัชทายาทสร้างความร้าวฉานระหว่างพวกเจ้าสามีภรรยากระมัง ถ้าแผนการนี้ทำสำเร็จภายในของพวกเราคงจะวุ่นวายปั่นป่วนน่าดู แต่อีกฝ่ายไม่สูญเสียอะไรทั้งสิ้น เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมโดยไม่ต้องลงทุนอะไรทั้งสิ้น ”
“แม้ว่าเจ้าจะว่างเว้นลงแล้ว แต่ความคิดและจิตใจยังคงคล่องแคล่วอยู่ แค่ฟังก็เข้าใจแล้ว”หยวนชิงหลิงพูด
“หลายปีมานี้ ทำแต่เรื่องเหล่านี้ในการดำรงชีวิต จะไม่รู้ได้อย่างไร”พระชายาจี้ค้อนให้นาง “เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเจตนาที่มาแล้ว เรื่องนี้แก้ไขได้ง่ายดายมาก หาคนสักคนออกมายอมรับเด็กในท้องของฉู่หมิงหยาง แค่นี้เรื่องก็คลี่คลายแล้ว และคนคนนี้ ยังไม่สามารถเป็นคนไร้สาระที่ไหนก็ได้ ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงเหมาะสม ใต้หล้านี้ยังมีใครที่เหมาะสมที่สุด ย่อมมีแต่หยู่เหวินจุนเท่านั้น”
หยวนชิงหลิงรู้สึกชื่น่ชมเป็นอย่างยิ่ง “แม่นางเหยา เจ้าน่ะ เกิดมาผิดยุคผิดสมัยจริงๆ ถ้าหากไปเกิดอยู่ในยุคที่หญิงชายต่างมีความเท่าเทียมกัน เจ้าคงเป็นคนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่แน่ๆ”
“ถ้ามีความสามารถจริง ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยอะไรก็ประสบความสำเร็จได้ ส่วนเรื่องความเท่าเทียมของหญิงชาย ช่างเถอะ ตั้งแต่โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมา ก็ไม่เคยมีวันเวลาที่เท่าเทียมกันมาก่อน ถ้ารู้ตัวว่าด้อยกว่าผู้อื่น ตัวเองก็พยายามให้มากขึ้นเท่านั้นเอง”นางยื่นมือออกไปกดที่มวยผม แววตาใสเย็นดุจน้ำ “ตั้งแต่ได้รับหนังสือหย่า ก็คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว ข้ากับเขาช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “พูดเล่นได้ แสดงว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ดี เจ้าไปทำเรื่องนี้เถอะ ข้ามาครั้งหน้า จะพาหมาแก่มาให้เจ้าตัวหนึ่ง ให้มันอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
“หมาแก่ไม่เอา เอาหมาน้อย เกรงว่าจะเกิดความรู้สึกกับมัน แล้วมันก็จากข้าไป คนแก่โดดเดี่ยวคงทนรับเรื่องนี้ไม่ไหว”นางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับหยวนชิงหลิง รอยยิ้มมีแววเศร้าสร้อยอยู่บ้าง “เรื่องนี้เจ้าวางใจให้ข้าไปทำเถอะ คนอื่นเอาเขาไม่อยู่ ข้าสามารถเอาเขาอยู่หมัดได้”
หยวนชิงหลิงไม่ชินตากับท่าทีหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ของนางจริงๆ ราวกับคนทั้งคนหมดสิ้นซึ่งความหวัง “วันหน้าหากมีเวลาว่าง ก็มาที่จวนอ๋องบ่อยๆช่วยข้าเลี้ยงลูก ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เจ้าจะทำให้ตัวเองอุดอู้จนตาย”
“ช่างเถอะ ข้าไม่ไปเพิ่มความวุ่นวายให้เจ้าจะดีกว่า แม้จะเป็นคนไม่มีความผิดติดตัว แต่ก็มีพฤติกรรมไม่ดี และตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ข้าไปแล้วนอกจากจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ยังจะเป็นการทำให้เกิดคำติฉินนินทาขึ้นมาอีก”
หยวนชิงหลิงยิ้มเย็น “ใครจะไปสนใจคำนินทาเหล่านั้น ชีวิตคนแค่ไม่กี่สิบปี ขอแค่สบายใจก็พอ”
สายตาของแม่นางเหยาที่เป็นประกายอ่อนๆมองนาง“ไม่คุ้มค่า เพื่อข้าแล้วไม่คุ้มค่าเลย”
หยวนชิงหลิงค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา
ตอนที่ออกจากบ้าน หมันเอ๋อถามราวกับคิดขึ้นมาได้ว่า “พระชายารัชทายาท ท่านว่าทำไมตอนนี้แม่นางเหยาจึงได้ซึมเศร้าเช่นนี้ ไม่เหมือนนางคนเดิมเลย แตกต่างจากวันปกติ เมื่อก่อนในดวงตาจะมีไฟดวงหนึ่งเป็นประกายอยู่เสมอ ตอนนี้กลับดูหนักอึ้งไม่มีชีวิตชีวา”
หยวนชิงหลิงขึ้นไปบนรถม้าแล้ว ถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า “เดิมทีนางเป็นแม่ทัพใหญ่ในสนามรบ แต่ให้นางถอดชุดเกราะกลับไปใช้ชีวิตธรรมดา นางจะคุ้นเคยได้อย่างไร ”
หมันเอ๋อนิ่งอึ้ง ทำไมแม่นางเหยาจึงเคยฟาดฟันศัตรูในสนามรบมาก่อน