บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 820 ช่วยเหลือพระชายา
วันรุ่งขึ้น กรมการพระนครได้ส่งคนไปจับกุมตัวอ๋องชินเป่าที่จวน
หยู่เหวินเห้าได้พาคนไปด้วยตนเอง แต่เกรงว่าจะเจอกับการขัดขวางจากชายาเฟิงอัน ฉีกหน้ากันซึ่งหน้าคงไม่ดี จึงได้ให้หยวนชิงหลิงเชิญชายาออกไปก่อนเป็นการส่วนตัว จากนั้นค่อยพาคนเข้าไปในจวน
โทษของอ๋องชินเป่าที่คนภายนอกรับรู้นั้นคือเรื่องขโมยแผนที่ทางการทหาร ส่วนเรื่องขโมยศพของฮ่องเต้ฮุยจงนั้นไม่ได้เปิดเผยต่อคนภายนอก ด้วยเหตุนี้ ในหนังสือจับกุมนั้นเขียนสาเหตุในการจับกุมไว้ว่าเขาได้ขโมยความลับสำคัญของราชสำนัก ต้องสงสัยว่าก่อกบฏหรือสมรู้ร่วมคิดกับศัตรู
อ๋องชินเป่าไม่ได้ขัดขืน เมื่อคนของกรมการพระนครมาถึง เขาก็เดินออกมาให้จับกุมด้วยตนเอง
เขาพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “ขอบคุณมากที่เจ้าให้พระชายารัชทายาทพาพี่สะใภ้ออกไปก่อน ข้าไม่ยินดีให้นางต้องเห็นข้าถูกจับกุม”
หยู่เหวินเห้ามองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อนแวบหนึ่ง พยักหน้าเบาๆ แล้วก็ให้คนพาเขาขึ้นรถม้าไป ให้เกียรติเขาส่วนหนึ่ง
หยวนชิงหลิงได้พาชายาเฟิงอันไปเป็นแขกที่บ้านของท่านชายสี่เหลิ่ง ยังเรียกให้หรงเยว่มานั่งเป็นเพื่อน
ชายาเฟิงอันใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และเป็นหรงเยว่ที่คอยสอดแทรกมุกตลกอยู่ตลอด ก็ไม่เห็นว่านางจะมีสีหน้ามีความสุข รอจนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว นางจึงพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “ข้ายังมีธุระ ขอตัวกลับก่อน ”
หยวนชิงหลิงเห็นว่าเวลานี้แล้ว คนน่าจะถูกพาตัวไปแล้ว นางกลับไปก็ไม่เป็นไร จึงพูดขึ้นว่า “ข้าส่งท่านกลับไป”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าอยากจะเดินคนเดียว”ชายาเฟิงอันพูดจบ ก็จากไป
หรงเยว่นั้นกลัวนางมาก แม้ว่าวันนี้จะมีแต่เสียงหัวเราะตลอด แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกกลัวต่อสีหน้าที่เคร่งขรึมของชายาเฟิงอัน ตอนนี้เห็นนางจากไปแล้ว ก็ถามหยวนชิงหลิงว่า “เจ้าว่านางกลับไปพบว่าอ๋องชินเป่าถูกจับตัวไปแล้วนางจะโกรธหรือไม่ นางฉลาดขนาดนั้น คงต้องคิดได้แน่ว่าพวกเราวางแผนล่อเสือออกจากถ้ำ ”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ “เจ้าก็พูดเองว่านางฉลาด นางจะไม่รู้ได้อย่างไร”
หรงเยว่นิ่งอึ้ง “เจ้าหมายความว่านางรู้ว่ารัชทายาทจะไปจับตัวอ๋องชินเป่าอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมนางยังตามเจ้าออกมาอีก”
“เกรงว่าถ้าข้าไม่ไปหานาง นางเองก็คงจะหาข้ออ้างหลบเลี่ยงแน่”หยวนชิงหลิงรู้สึกชื่นชมในวางตัวของชายาเฟิงอันจากใจจริง
พระอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงสีทองยังเป็นส่องประกายย้อมก้อนเมฆที่ขอบฟ้า ตะวันยอแสงสวยงาม ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ในปลายฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเย็น กลับทำให้รู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง
ชายาเฟิงอันเดินอยู่คนเดียว เป็นเวลานานแล้วก็ยังคงกลับไปไม่ถึงจวนอ๋องชินเป่า หมุนวนไปมาหลายรอบ ถูกคนชุดแดงคนหนึ่งขวางเอาไว้
“ได้ยินชื่อเสียงของพระชายามานานแล้ว วันนี้ได้พบกัน นับว่าโชคดีอย่างยิ่ง。”
ชายาเฟิงอันมองใบหน้าของท่านชายที่อ่อนเยาว์หล่อเหลาดุจหยกที่อยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วขึ้นมา “เจ้าก็คือท่านชายหงเย่จากเซียนเปย”
“พระชายาสายตาแหลมคม”เขาคำนับ ท่าทีสุภาพเรียบร้อยมีมารยาท “ข้าน้อยก็คือหงเย่”
“มีเรื่องอะไร”ชายาเฟิงอันถามขึ้น
“มีเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับพระชายา”ท่านชายหงเย่ยิ้มกริ่ม “ขอเชิญพระชายาเสด็จด้วย”
“ได้ ลองฟังดูสิว่าเจ้าจะพูดอะไร”ชายาเฟิงอันสายตาเย็นชา เดินเข้าไปในโรงน้ำชาที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพร้อมกับเขา
อีกฝ่ายเพิ่งจะนั่งลง ชายาอันเฟิงก็พูดขึ้นว่า “คนอย่างข้าทำอะไรไม่ชอบเยิ่นเย้ออืดอาด มีเรื่องอะไรก็ว่ามา คำพูดที่เป็นมารยาทนั้นไม่จำเป็นต้องพูดแม้แต่คำเดียว”
หลังจากที่ท่านชายหงเย่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก็ยิ้มบางๆ “ได้ยินมานานแล้วว่าพระชายาเป็นคนตรงไปตรงมา วันนี้ได้เห็นแล้ว เป็นอย่างที่พูดกันจริงด้วย”
“ประโยคนี้ถือว่าไร้สาระ”ชายาเฟิงอันมองใบหน้าของเขาที่แขวนรอยยิ้มจางๆเอาไว้ ยื่นมือไปเอากาน้ำชามา เทชาลงในแก้วตนเองจนเต็ม แล้วก็ดันกาน้ำชาออกไป “คุยธุระ”
ท่านชายหงเย่ดูอึกอักอยู่บ้างเล็กน้อย ความมั่นใจเมื่อครู่ก็ดูจะลดลงไปหลายส่วน “ได้ ในเมื่อพระชายาตรงไปตรงมา ข้าน้อยก็ไม่อ้อมค้อมแล้ว วันนี้หลังจากที่พระชายาไปที่จวนเหลิ่งแล้ว รัชทายาทก็นำคนไปจับกุมตัวอ๋องชินเป่า เรื่องนี้คิดว่าพระชายาก็คงรู้ดีแก่ใจ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าน้อยพูดอีก อ๋องชินเป่านั้นถูกพระชายาเลี้ยงดูจนมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ความรักที่พี่สะใภ้มีต่อน้องชายสามี ก็ราวกับความรักของแม่ที่มีต่อลูก คิดว่าพระชายาเองก็ไม่ยินดีจะเห็นอ๋องชินเป่าถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ข้าน้อยมีวิธีการหนึ่ง สามารถช่วยเหลือพระชายาได้ ”
“ช่วยอะไร”แววตาเย็นชาของชายาเฟิงอันไหววูบ
“เรื่องนี้ ……ย่อมเป็นการช่วยพระชายาให้ช่วยอ๋องชินเป่าออกมา”หงเย่พูด
“ทำไมต้องช่วยเขา”ชายาเฟิงอันดื่มชาไปอึกหนึ่ง ถามเสียงเย็น
หงเย่ยิ้ม ดวงตาที่หรี่ยาวมีแววคมปลายไหววูบ “พระชายาให้ข้าน้อยพูดตรงๆ แต่ทำไมพอถึงตาท่าน ท่านกลับยอกย้อนอ้อมค้อมขึ้นมาได้เล่า ท่านเข้าใจความหมายของข้าน้อยดี ไม่สู้พวกเราเปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมา จะได้ไม่ต้องพูดอะไรที่มันเสแสร้งเป็นมารยาท”
แววตาของชายาเฟิงอันขุ่นเคืองเล็กน้อย“คำพูดของข้าชัดเจนมาก ทำไมต้องช่วยเขาด้วย เจ้าต้องการให้ข้าบิดเบือนกฏหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหงเย่เลือนหายไป มองชายาเฟิงอันอย่างจริงจัง “ฉะนั้น พระชายาคิดว่าจะมองดูเขาขึ้นลานประหารอย่างนั้นหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่า ว่าเขากระทำผิดที่มีโทษถึงตาย”
ชายาเฟิงอันพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าก็บอกแล้วนี่ว่าเขาทำผิดมีโทษถึงตาย ในเมื่อเป็นโทษตาย ก็ต้องลงโทษตามกฎหมาย รัชทายาทจับตัวเขาไป ตัดสินลงอาญาก็ดี จะประหารก็ดี นั่นเป็นโทษทัณฑ์ที่เขาสมควรได้รับ ใครช่วยเขา ก็เท่ากับไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา”
บางทีท่านชายหงเย่คงไม่คิดว่าชายาเฟิงอันจะตอบกลับเช่นนี้ นิ่งอึ้งในทันใด “คำพูดของพระชายา ทำให้ข้าน้อยรู้สึกคาดไม่ถึงจริงๆ”
“มีอะไรให้คาดไม่ถึง ”แววตาของชายาเฟิงอันยังคงขุ่นเคืองเล็กน้อย “กฎหมายเป็นบรรทัดฐานสุดท้ายของประเทศชาติ ในเป่ยถัง โอรสสวรรค์ทำผิดย่อมมีโทษเหมือนสามัญชน คนที่ช่วยเหลือผู้กระทำผิด ย่อมเป็นการละเมิดกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกัน ข้าไม่รู้ว่าเซียนเปยของพวกเจ้าเป็นเช่นนี้หรือไม่ แต่ถ้าหากไม่ใช่ ข้าสามารถพูดไว้ก่อนได้เลยว่า เซียนเปยต้องพินาศแน่”
นางคว่ำแก้วน้ำชาไว้บนโต๊ะ โยนเหรียญทองแดงหลายอีแปะที่เอาออกมาจากแขนเสื้อเอาไว้ “ข้ากับเจ้าไม่สนิทกัน ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเลี้ยงน้ำชาข้า ขอตัว”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนและจากไป
ท่านชายหงเย่ถือกาน้ำชาเอาไว้ ค่อยๆรินน้ำชาให้ตนเอง ยกแก้วน้ำชาขึ้นจรดที่ริมฝีปาก มองแผ่นหลังของชายาเฟิงอันราวกับกำลังใช้ความคิด
คนชุดเขียวคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งลง มองท่านชายหงเย่และพูดว่า “ท่านชาย ท่านรู้สึกว่านางปากไม่ตรงกับใจหรือไม่ จะลองหยั่งเชิงอีกครั้งหรือไม่ ”
ท่านชายหงเย่ส่ายหน้า “ไม่จำเป็นแล้ว คำพูดนางจะจริงหรือเท็จ ข้าดูออก”
“ท่านหมายความว่า นางจะไม่ช่วยอ๋องชินเป่าจริงหรือ”คนชุดสีเขียวนิ่งอึ้งไปชั่วครู่
“เกรงว่าจะไม่ช่วย”ท่านชายหงเย่พูดเสียงเรียบๆ
“ผู้หญิงคนนี้ใจแข็งเกินไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเด็กที่ตัวเองเลี้ยงดูมา ทำไมจึงไม่ช่วย ถ้าหากนางไม่ออกหน้า เช่นนั้นอ๋องชินเป่าก็คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเรายังไม่ได้แผนที่ทางการทหารมาเลย”
“คิดหาวิธีอื่นเถอะ ”ใบหน้าที่ขาวสะอาดของท่านชายหงเย่ มีแววไม่สบายใจผุดขึ้นมาสายหนึ่ง คนชุดสีเขียวไม่เคยเห็นท่านชายจะเคยมีเวลาที่ดูลำบากใจมาก่อน
คนชุดสีเขียวไม่ตายใจ ยังคงพูดต่อว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่า ชายาเฟิงอันคงไม่ได้เห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยแน่ๆ บางทีอาจเป็นเพราะไม่ยินดีจะเผยความคิดที่อยู่ในใจเพื่อป้องกันคนอื่นรู้ ถ้าหากนางยินดีจะออกหน้าช่วยเหลือ คิดว่าฮ่องเต้หมิงหยวนก็คงจะให้เกียรตินาง ท่านชาย แผนที่ทางการทหารนั่นมีแต่อ๋องชินเป่าที่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าหากไม่ช่วยเหลือเขาออกมา เกรงว่าพวกเราคงจะไร้วาสนากับแผนที่ทางการทหารแล้ว”
“แผนที่ทางการทหารอาจไม่ได้อยู่ในมือเขา”สายตาของท่านชายหงเย่จดจ้องอยู่ที่ภาพวาดบนแก้วน้ำชา “บางทีแผนที่ทางการทหารอาจหายไปจริงๆก็ได้”
“เป็นไปได้อย่างไร”คนชุดสีเขียวส่ายหน้า “เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อขโมยมันมา ทำไมจึงทำหายได้ง่ายๆ ข้าน้อยสงสัยว่าเขาเก็บแผนที่ทางการทหารไว้เพื่อเป็นหลักประกันให้ตัวเอง”
หงเย่เคาะโต๊ะเบาๆ พูดเสียงขรึมว่า “อย่าเพิ่งคาดเดาไปมากมาย สืบหาต่อไป แม้กรมการพระนครจะจับตัวคนไปแล้ว แต่ว่าในไม่กี่วันนี้คงไม่สามารถเอาแผนที่ทางการทหารมาจากมือเขาได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเรายังมีโอกาสอยู่ จับคนไปแล้ว สอบสวน ตัดสินโทษ จนถึงการประหาร อย่างน้อยต้องเสียเวลาเดือนกว่า พวกเจ้ารีบทำการสืบหา อย่าให้หยู่เหวินเห้าแย่งชิงโอกาสไปเสียก่อน”