บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 832 ขอบคุณเจ้ามาก
ช่วงนี้เขายุ่งจนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ถูกคดีนี้รุมเร้าจนอวัยวะภายในราวกับถูกแผดเผา ทำไมจึงมีอารมณ์สบายเหมือนไม่รีบร้อนในการดื่มเหล้าด้วยเล่า ยังดื่มพร้อมกับสวีอีอีก นี่มันผิดปกติจริงๆ
หลังจากส่งหยู่เหวินเห้าเข้าไปแล้ว หยวนชิงหลิงตบที่ใบหน้าของเขาเบาๆ “เจ้าห้า ตื่นเถอะ”
หยู่เหวินเห้าหลับลึกมาก ราวกับสลบไสลไปแล้ว ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ไม่ตอบสนอง
“ไม่ได้การล่ะ ไม่ใช่เมาเหล้า แต่ถูกวางยา ”ทังหยางพูดอย่างร้อนใจอยู่ข้างๆ
“ถูกวางยาหรือ”หยวนชิงหลิงประหลาดใจ “ยาสลบหรือ”
“ต้องใช่แน่ๆ ฉี่หลอ เร็วเข้า ไปที่ห้องข้าไปหายาที่อยู่ในขวดสีเขียวมรกตมา”ทังหยางรีบสั่งการทันที
ฉี่หลอรับคำเสียงหนึ่ง ก็รีบวิ่งออกไป เพียงครู่เดียวเท่านั้น ในมือก็ถือขวดยาลายครามคอขวดแคบสีเขียวมรกตมาหนึ่งขวด ยื่นให้กับทังหยาง
ทังหยางเปิดจุกไม้ที่ปิดเอาไว้ทันที กลิ่นไม่น่าพิสมัยสายหนึ่งอบอวลไปทั่วห้องในทันที กลิ่นนี้จะบอกว่าเหม็นอย่างเดียวก็ไม่ได้ ยังแฝงไปด้วยกลิ่นที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้เหมือนกับกลิ่นเหม็นเน่าของไข่ไก่ กลิ่นซับซ้อนเป็นคลื่นกระจายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่ทันจะยกไปใกล้บริเวณจมูก ก็ยากจะทานทนมากแล้ว ฉี่หลอวิ่งออกไปอาเจียนทันที แม้แต่หยวนชิงหลิงยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
ทังหยางได้เตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว หันหน้าไปสูดลมหายใจเข้าลึกๆหนึ่งเฮือกจากนั้นก็เอามือปิดจมูกไว้ อีกมือหนึ่งก็ยื่นขวดลายครามไปที่ข้างจมูกของหยู่เหวินเห้า แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะสลบไปแล้ว แต่ว่าการหายใจยังเป็นปกติ โดยเฉพาะตอนหลับสนิท การหายใจเข้าออก ค่อนข้างผ่อนคลายราบรื่นมาก
ได้ยินเพียงเสียง “อ๊วก”หนึ่งเสียง หยู่เหวินเห้าก็ดีดตัวลุกขึ้นมา ปิดจมูกเอาไว้วิ่งออกไปด้านนอก นั่งลงข้างฉี่หลอที่นั่งอาเจียนอยู่ตรงระเบียงด้านนอกต่างก็อาเจียนใส่รากของต้นฉัตรจีนที่มีอายุเก่าแก่ต้นนั้น
“รีบปิดจุกยาเถอะ”หยวนชิงหลิงใช้แขนเสื้อปิดปากปิดจมูกเอาไว้ พูดกับทังหยางด้วยเสียงอุดอู้
ทังหยางปิดฝาขวด แต่ว่ากลิ่นนั้นก็ยังคงไม่ได้หายไปในเวลาอันสั้น หยวนชิงหลิงก็ทนไม่ไหวจริงๆจึงเดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก
หลังจากหยู่เหวินเห้าอาเจียนจนหมดแล้ว ก็ก่นด่ากลิ่นเหม็นนั้นหลายประโยค ยังคงรู้สึกวิงเวียนหนักอึ้งเหมือนเดิม แต่ว่าได้สติกลับมาแล้ว ดวงตาเบิกกว้างขึ้น
“ทำไมข้ามาอยู่ที่นี่ ข้าไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องอันหรอกหรือ”
“ท่านไปดื่มเหล้าที่จวนอ๋องอันจนเมา ถูกคนส่งกลับมา ”หยวนชิงหลิงเข้าไปประคองเขา “ท่านดื่มเหล้าจนเมาหรือว่าถูกคนวางยากันแน่ ”
หยู่เหวินเห้าสีหน้าซีดขาว กระทืบเท้าหนึ่งที “พี่สี่”
“สวีอี สวีอี ”เขารีบตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที
“สวีอีก็เหมือนกับท่าน ถูกวางยาแล้วส่งตัวกลับมา ”ทังหยางรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อธิบายอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็จะออกไปตามหาคนทันที
หยู่เหวินเห้าเรียกเขาเอาไว้ “บ่าวรับใช้คนนั้นต้องหนีไปแล้วแน่ๆ ไม่จำเป็นต้องไปหาคนอื่น จะไล่ตามพี่สี่ก็ต้องไปหาพี่สาม เจ้ารีบส่งคนไป ให้พี่สามออกนอกเมืองหลวงขวางเอาไว้”
ทังหยางนิ่งอึ้ง “แต่ว่า อ๋องเว่ยกับอ๋องอันมีความแค้นส่วนตัวกัน ถ้าหากอ๋องเว่ยไปตาม เกรงว่า……”
หยู่เหวินเห้าแค้นจนดวงตาแทบจะถลนออกมา “บอกพี่สาม สร้างโอกาสขึ้นมาโดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นก็ต้องทำให้เขาเหลืออีกแค่ครึ่งชีวิตค่อยจับตัวกลับมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นข้ารับผิดชอบเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ”ทังหยางกระตือรือร้นขึ้นมา รีบหมุนตัวจากไปทันที ทันใดนั้นก็ชะงักลงยื่นขวดยาให้กับฉี่หลอ “ให้สวีอีดมสักหน่อย ให้เขาตื่นขึ้นมา”
หยวนชิงหลิงประคองหยู่เหวินเห้าเข้าไปข้างใน ค่อยๆลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ เอ่ยอย่างเป็นกังวลใจว่า“ยานี้จะมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกแค่ว่าที่กระเพาะยังคงรู้สึกปั่นป่วนเป็นระลอก คิ้วขมวดกันแน่น “ไม่เป็นไรแล้ว แต่ว่าเจ้าใช้ยาอะไรกับข้า ทำไมจึงได้เหม็นนัก ”
“เป็นยาของใต้เท้าทัง ”หยวนชิงหลิงรู้สึกว่ากลิ่นช่างแสบตาแสบจมูกจริงๆ แม้จะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักพักแล้ว แต่ในห้องก็ยังมีกลิ่นเหม็นอบอวลอยู่
ทันใดนั้นสีหน้าของหยู่เหวินเห้าก็ซีดลง “เป็นน้ำศพพัน ข้า……”
เขาวิ่งออกไปอีกครั้ง เสียงอาเจียนส่งเข้ามาให้ได้ยินเป็นระลอก
ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป หยวนชิงหลิงทั้งจุดธูปหอมทั้งพัดลม ค่อยสลายกลิ่นในห้องออกไปจนหมด แม่นมสี่พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็มาต้มใบชาใหญ่ให้กับหยู่เหวินเห้ากาหนึ่ง แล้วยังจุดน้ำมันหอมระเหยซูเหอเซียงอีกหนึ่งเม็ด ค่อยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
คืนนี้แม่นมสี่ต้องดูแลเด็กๆทั้งสามคน พักอยู่ที่ใกล้ๆในหอด้านข้าง เสียงอึกทึกครึกโครม แม้แต่พวกของว่างยังตกใจตื่น เดินออกมาทีละคน ชุดนอนเล็กๆที่เหมือนกันหมด ใบหน้าเล็กๆที่เหมือนกันหมด ดวงตาทั้งหกดวง ก็เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน หยู่เหวินเห้าเห็นแล้วก็รู้สึกตาลายขึ้นมา ตรงหน้ามีแต่ดวงตาสีดำหกดวงลอยเด่นเต็มไปหมด
“กลับไปนอนให้หมด”เขายกมือขึ้น หลับตาลง
พวกเด็กๆยังไม่ไปไหน แต่ปีนขึ้นไปบนเตียง คนหนึ่งบีบนวดมือ คนหนึ่งทุบที่ไหล่ คนหนึ่งนวดที่ขมับ นิ้วมือน้อยๆ อ่อนนุ่มยิ่งนัก ไม่ได้มีแรงอะไร แต่สัมผัสอ่อนโยนผ่อนคลาย
หยู่เหวินเห้าคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีน้ำใจถึงเพียงนี้ รู้สึกอึ้งขึ้นมาทันใด ลืมตาขึ้นมามองดูหยวนชิงหลิง ท่าทีราวกับได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันเป็นอย่างยิ่ง
เป็นเพราะงานยุ่งมานานมากแล้วจริงๆ ช่วงนี้แม้แต่เวลาที่จะคุยกับลูกๆไม่กี่คำก็ไม่มีเลย และกลับมาในตอนกลางคืนก็เหนื่อยมากแล้ว หัวถึงหมอนก็หลับ ไม่เคยถามถึงพวกเขาว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
“พ่อไม่สบายแล้ว”ซาลาเปาช่วยนวดที่ขมับ พูดด้วยเสียงที่ราวกับเป็นผู้ใหญ่ “ไม่สบายก็ต้องพักผ่อนดีๆ ต้องนอนหลับ ต้องดื่มน้ำแกง”
“ไม่สบายดื่มน้ำแกงไม่ได้”ทังหยวนแก้ไข “ย่าทวดบอกว่า น้ำแกงมันเลี่ยน ต้องดื่มนม”
“เจ้าจะรู้อะไร ต้องดื่มน้ำแกง หมอหลวงเฉาบอก ไม่สบายต้องดื่มน้ำแกงเพื่อบำรุง”ซาลาเปาจ้องหน้าของทังหยวน ไม่ยอมให้เขาโต้เถียงตัวเองที่มีสิทธิ์เป็นถึงพี่ใหญ่
ทังหยวนถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ทำตัวติดหนึบอยู่กับหยู่เหวินเห้านวดนิ้วมือให้กับเขา
ข้าวเหนียวใช้มือทุบที่ไหล่ อาจเป็นเพราะเหนื่อยแล้ว ก็นอนลงที่หลังของหยู่เหวินเห้าและหลับไป
หยู่เหวินเห้าหันร่างกลับไปช้อนตัวเขามาอุ้มไว้กับอก ข้าวเหนียวลืมตาขึ้น พูดอย่างสะลึมสะลือคำหนึ่งว่าเหนื่อย จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง
ซาลาเปากับทังหยวนก็รีบพุ่งเข้ามาแย่งความรักทันที แต่ละคนคอยออดอ้อนให้พ่ออุ้ม
หยู่เหวินเห้าเห็นศีรษะของทั้งสามคนที่โยกไปโยกมาอยู่ตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมามองหยวนชิงหลิงที่หลุบตามองด้วยสายตาอ่อนโยน มีความรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
แม่นมสี่กับหมันเอ๋อพาพวกเด็กๆทั้งหลายออกไป หยู่เหวินเห้าเช็ดที่หางตา ล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มคลุมศีรษะ เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ว่า “วุ่นวายจริงๆ”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาปากอย่างใจอย่าง ที่จริงในใจรู้สึกประทับใจมาก เปิดผ้าห่มออกนั่งลงไป ยื่นมือออกไปกอดเขาจากทางด้านหลัง “เด็กๆค่อยๆเติบโตขึ้นแล้ว รู้จักใส่ใจคนอื่นแล้ว”
“เด็กน้อยไร้เดียงสาสามคน จะรู้อะไร”เขากดมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้ กดเอาไว้ตรงบริเวณหน้าอกของเขา หัวใจกำลังเต้นโครมคราม “เพียงแต่ ที่เจ้าพูดก็ถูก พวกเขาค่อยๆเติบโตแล้ว รอให้ผ่านเรื่องยุ่งๆในช่วงนี้ไปแล้ว ข้าจะสั่งสอนพวกเขาดีๆ ”
หยวนชิงหลิงได้ยินเขาพูดคำว่าสั่งสอนแทนคำว่าเล่นเป็นเพื่อน รู้ว่าเขาอายที่จะแสดงความสนิทสนมกับลูกๆ คนเป็นพ่อของที่นี่ก็เหมือนกันหมด ราวกับว่าถ้าไม่ปั้นหน้าเคร่งขรึมสักหน่อยก็จะเรียกว่าพ่อไม่ได้ พวกเขาไม่นิยมเป็นเพื่อนกับลูกๆ
ช่างเถอะ อย่างไรเสียก็ต้องให้ทั้งสามคนมีคนที่ทำให้รู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้น จะอบรมสั่งสอนยาก
“ยายหยวน ”เขาหมุนตัวมา ใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความสุข แววตาสีดำดุจน้ำหมึกของเขามีแสงแวววาวเป็นประกายขึ้นมา “ขอบคุณเจ้ามากที่ให้กำเนิดลูกน่ารักและรู้ความให้ข้าตั้งสามคน ”