บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 836 ไม่หวั่นไหวจริงๆ
หัวใจของฮ่องเต้หมิงหยวนทั้งโมโหทั้งเศร้าใจ แม้จะเป็นลูกหลานราชวงศ์ การแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เหมือนในใจของทุกต่างก็มีความคิดว่าตนเองจะโชคดี ฮ่องเต้หมิงหยวนเองก็เคยมีความคิดที่ไร้เดียงสาเช่นนี้มาก่อน แต่ลูกชายที่เขาให้กำเนิดนั้นเป็นข้อยกเว้น
แต่ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสองปีที่ผ่านมานี้ ได้ทำให้เขาเข้าใจความเป็นจริงขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ปลดเจ้าใหญ่ออก เป็นการตัดสินใจที่อยู่ในขอบเขตแห่งความโกรธแต่ที่จริงแล้วเมื่อลองไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้
แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องของเจ้าใหญ่เพิ่งจะซาไปได้ไม่กี่วัน เจ้าสี่ก็สร้างคลื่นลูกใหม่ขึ้นมาอีกระลอกแล้ว
ความทะเยอทะยานของเจ้าสี่ ไม่ใช่เขาไม่รู้ ตอนนั้นที่ยึดอำนาจของเขาไล่เขาไปยังค่ายทหารรอบนอก ก็เพื่อต้องการตักเตือนเขา
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว การตักเตือนที่ว่านี้ที่จริงก็เป็นแค่การสมยอม
“เสด็จพ่อทรงระงับความโกรธด้วย ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการเอาแผนที่ทางการทหารคืนมา”หยู่เหวินเห้าพูด
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดเสียงเย็นว่า “คนเซียนเปยได้วางสายสืบไว้ในเป่ยถังของข้าถึงสองสาย ราวกับเข้าสู่ดินแดนที่ไร้ผู้คน เจ้าควรจะพิจารณาข้อผิดพลาดของตัวเองสักหน่อยกระมัง”
หยู่เหวินเห้ายอมรับผิด “เพราะลูกตรวจตราไม่ทั่วถึง จึงทำให้คนเซียนเปยมีโอกาสแทรกซึมเข้ามาได้ ”
“เจ้าบอกมา จะเอาแผนที่ทางการทหารคืนมาได้อย่างไร”ฮ่องเต้หมิงหยวนมองเขา เดิมทีนั้นรู้สึกโมโหมาก แต่เห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของเขา นึกถึงความเหน็ดเหนื่อยในช่วงที่ผ่านมาของเขา ในใจก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา จึงได้สะกดกลั้นความโมโหเอาไว้และถามขึ้น
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “ลูกได้มีการวางแผนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“พูด”
เมื่อฟังแผนการของหยู่เหวินเห้าจนจบ ฮ่องเต้หมิงหยวนจ้องมองเขาอยู่นานแต่ไม่พูดอะไร
หยู่เหวินเห้าคิดว่าเขาไม่เห็นด้วย จึงเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ตอนนี้พวกเราส่งคนเข้าไปแทรกซึมในเซียนเปย ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ยากมากที่จะเอาแผนที่ทางการทหารกลับมาได้ ได้แต่บอกให้หงเย่รับรู้ ให้หงเย่ไปแย่งชิง แต่ว่า จะแย่งชิงคืนมาจากมือหงเย่ก็ลำบาก ฉะนั้น ได้แต่ฉวยโอกาสทำลายทิ้งไปซะ การทำลายนั้นน่าเสียดายมาก แต่ลูกจะคอยติดต่อกับทางแคว้นต้าโจวอยู่เสมอ พยายามขอแผนที่ทางการทหารจากมือของอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งต้าโจวอีกครั้ง ”
ต้องทำลายแผนที่ทางการทหาร สำหรับฮ่องเต้หมิงหยวนแล้วเป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง
แผนที่ทางการทหารนั้นถูกส่งมาถึงเป่ยถังด้วยระยะทางอันยาวไกล เขาไม่แม้แต่จะได้เห็นสักครั้งก็ถูกขโมยไปแล้ว รู้สึกทั้งโมโหทั้งไม่เอาไหนจริงๆ
“เสด็จพ่อ ตอนนี้ทางเซียนเปยการเมืองไม่นิ่ง เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในประเทศ สำหรับพวกเราแล้วนี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ขอเสด็จพ่ออย่าได้ลังเลอีกเลย จำเป็นต้องทำลายแผนที่ทางการทหารเสีย ไม่เช่นนั้น ถ้าคนเซียนเปยแกะความหมายของแผนที่ได้สำเร็จ สร้างอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดขึ้นมาได้ จะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของเป่ยถังเรา”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไตร่ตรองอยู่นาน พูดว่า “เจ้าเลือกคนที่สามารถพึ่งพาได้ พยายามแย่งชิงคืนมา ถ้าหากแย่งคืนมาไม่ได้ ก็ให้ทำลายซะ”
เขาถอนหายใจแรงๆหนึ่งเฮือก มองหยู่เหวินเห้า มีลูกชายตั้งหลายคน สุดท้ายก็มีแต่เขาที่ค่อนข้างใช้งานได้ ก่อนหน้านี้ยังเคยบอกว่าเขาเป็นพวกทำงานสะเพร่า ไม่ค่อยได้รับการบ่มเพาะ ถ้าหากได้รับการดูแลกระตุ้นตั้งแต่เด็ก เกรงว่าทุกวันนี้คงไม่ได้ประสบความสำเร็จแค่นี้
ได้มีรับสั่งเป็นราชโองการ อ๋องอันถูกกักบริเวณอยู่ในจวนอ๋อง ไม่มีรับสั่ง ไม่ให้ออกไปข้างนอก ไม่มีรับสั่ง ก็ไม่ให้เข้าวังน้อมทักทาย นอกจากญาติพี่น้องของราชวงศ์แล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนที่จวนอ๋องได้ แม้แต่คนของตระกูลมารดากุ้ยเฟยก็ไม่อนุญาต
ราชโองการนี้เท่ากับได้ยึดตำแหน่งหน้าที่ของอ๋องอันอีกครั้ง เขามีจิตใจมุ่งมั่นอยากจะเริ่มต้นทำงานใหม่ ให้เสด็จพ่อมองเขาด้วยสายตาที่ชื่นชม ความคิดนี้นับว่าสูญเปล่าแล้ว
อ๋องอันถูกส่งกลับไปที่จวนอ๋อง พระชายาอันเห็นเขาบาดเจ็บสาหัส แล้วยังมีราชโองการลงมาว่าต้องกักบริเวณ นางรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เมื่อถามอ๋องอัน เขาไม่บอก ได้แต่พูดอย่างโมโหว่าถูกหมูป่าเหยียบมาจึงทำให้ได้รับบาดเจ็บ
คนที่หยู่เหวินเห้าจับกุมได้ก่อนหน้านี้ ทุกปล่อยออกไปทั้งหมด และได้เปิดเผยข่าวออกไปอย่างเงียบๆ ว่าแผนที่ทางการทหารได้ตกอยู่ในมือของหงเล่ซิงแล้ว
เป็นอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้ ไม่นาน ข่าวคราวก็ถูกส่งไปถึงหูของท่านชายหงเย่
ท่านชายหงเย่จะไปจากเมืองหลวง ก่อนจะเดินทาง ให้คนส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้หยวนชิงหลิง
จดหมายฉบับนั้นถูกหยู่เหวินเห้ายึดเอาไว้ หลังจากอ่านแล้ว ก็โมโหเป็นอย่างยิ่ง ขยำจดหมายเป็นก้อนแล้วโยนไปที่มุมหนึ่ง แล้วก็ให้คนส่งไปให้หยวนชิงหลิง
จดหมายถูกส่งมาถึงมือของหยวนชิงหลิง ยากมากกว่าที่นางจะเปิดและคลี่จดหมายให้เรียบและอ่านเนื้อหาในนั้น
จดหมายฉบับนี้ มีตัวอักษรหลายร้อยตัว เป็นจดหมายแสดงออกถึงความรู้สึกฉบับหนึ่งอย่างแท้จริง บอกเล่าถึงความรู้สึกห่วงหาจนเป็นทุกข์ต่างๆนานาหลังจากกัน หลังจากหยวนชิงหลิงอ่านจบแล้ว ท่าทีราวกับหนุ่มน้อยผู้ลุ่มหลงในความรักก็ผุดขึ้นมา แต่คนคนนี้ ไม่ว่าอย่างไรหยวนชิงหลิงก็ไร้หนทางที่จะนำไปเปรียบกับท่านชายหงเย่ได้
สุดท้ายเขาพูดประโยคหนึ่งว่า วาสนาของพวกเราได้ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ชาตินี้ในสถานที่ที่มีเจ้าอยู่ ก็จะเป็นที่พึ่งพิงของข้า
คำพูดนี้หยวนชิงหลิงอ่านจบแล้ว ก็ขนลุกขนชันไปทั้งตัว
หงเย่วางแผนได้ลึกล้ำมาก แต่เขียนจดหมายที่แสนจะเบาปัญญาเช่นนี้ ช่างทำให้รู้สึกยากจะเข้าใจจริงๆ
“พระชายารัชทายาท รัชทายาทจับตาดูท่านอยู่ด้านนอก”หมันเอ๋อเตือนขึ้นเสียงเบา
หยวนชิงหลิงเหลือบสายตามองออกไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง เห็นเงาสายหนึ่งหลบไปอย่างรวดเร็วจริงๆด้วย
หยวนชิงหลิงหัวเราะออกมา นี่ไม่ไว้ใจกันหรือ ต้องการจะแอบดูปฏิกิริยาของนางหรือ
“เปิดประตู เชิญรัชทายาทเข้ามา ”หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆ
หมันเอ๋อรับคำหนึ่งเสียง เดินไปเปิดประตู แววโมโหในดวงตาของหยู่เหวินเห้ายังไม่จางหายไป ใบหน้าถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นชาชั้นหนึ่ง สองมือไขว้หลังก้าวเท้าเข้าไป เดินวนรอบตัวหยวนชิงหลิงหนึ่งรอบ ราวกับหมาป่าที่ทำการป้องกันศัตรูจะเข้าใกล้อย่างไรอย่างนั้น
“อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”เขานั่งลงและถามขึ้น
หยวนชิงหลิงฉีกจดหมายเป็นชิ้นๆ กองเอาไว้บนโต๊ะ “อืม เขียนตัวอักษรได้ไม่เลว เนื้อหาก็ดี”
“ตัวอักษรธรรมดา เนื้อหาไร้สาระ ”หยู่เหวินเห้าทำเสียงขึ้นจมูก โมโหมาก “นอกเหนือจากนี้เล่า เนื้อหาในจดหมาย มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง บรรยายได้ราวกับเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรักขนาดนั้น”
“นอกเหนือจากนี้……”หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วขึ้นมา กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง “เห็นได้ชัดว่า ท่านชายหงเย่คนนี้นิสัยไม่ดี ”
“เห็นได้ชัดว่านิสัยไม่ดี คำไหน ”หยู่เหวินเห้านิ่งอึ้ง รีบพลิกกองเศษกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อครู่เอาแต่โมโห ไม่ได้ใส่ใจว่าคำพูดในจดหมายประโยคใดที่แสดงว่าเป็นคนนิสัยไม่ดี น่าเสียดาย
“ทั้งฉบับเลย”หยวนชิงหลิงมองเขายิ้มๆ “แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นเขาเคยช่วยข้าเอาไว้ แต่ว่าตอนนั้นข้าก็แค่อายุเจ็ดแปดขวบเท่านั้น ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง เขาที่เป็นผู้ชายที่จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว ในสิบปีมานี้เอาแต่คิดถึงเด็กหญิงคนหนึ่งอยู่เสมอ ยังบอกว่าคิดถึงตลอดเวลา นิสัยก็ไม่ดีเท่าไหร่จริงๆนี่นา ”
“ใช่ ผู้ชายนิสัยแย่”หยู่เหวินเห้าพยักหน้า หงเย่เป็นผู้ชายที่แย่จริงๆ
พูดเช่นนี้ก็จริง แต่ก็ยังคงไม่วางใจ เขามองหยวนชิงหลิงและถามว่า “เจ้ามองใบหน้าหล่อเหลาของหงเย่แล้ว ไม่รู้สึกหวั่นไหวสักนิดเลยหรือ”
เพราะว่าหน้าตาของเขาก็ไม่เลว โดยเฉพาะตอนที่ชุดสีแดงนั้นสะบัดพลิ้วไปกับสายลม ราวกับเทพบุตรก็ไม่ปาน ฉลาดและเก่งวางแผน แล้วยังแสดงออกถึงท่าทีที่มีความรักที่จริงใจออกมา ถ้าหากเขายินดีจะแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหญิงอื่น เกรงว่าคงจะหวั่นไหวไปแล้วกระมัง
“ท่านชายสี่เหลิ่งเองก็หน้าตาไม่เลว ”หยวนชิงหลิงยิ้ม “หรือว่าข้าต้องหวั่นไหวในตัวท่านชายสี่เหลิ่งด้วย”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “นั่นไม่เหมือนกัน ท่านชายสี่เหลิ่งเป็นอาจารย์เจ้า แม้ว่าตอนแรกจะไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าก็ตาม เขาไม่ได้ต้องตาต้องใจเจ้า แค่เห็นความสำคัญของชีวิตเจ้า แต่ว่า จะว่าไปแล้วหงเย่กับท่านชายสี่เหลิ่งจะเอามาเทียบกันไม่ได้ ท่านชายสี่เหลิ่งนั้นเป็นคนที่เหมือนกับสายลมเย็น มีชีวิตอยู่ใต้แสงอาทิตย์ หงเย่นั้นมืดมนมาก แม้จะมีรอยยิ้มบนไปหน้าแต่ก็ทำให้รู้สึกว่ามีแต่ความชั่วร้ายอยู่ในใจเต็มไปหมด ”
“ในใจข้า ที่น่าดูที่สุดก็คือสามีของข้า”หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มแก้มปริ
หยู่เหวินเห้าเลิกคิ้วขึ้น มุมปากมีความโค้งขึ้น “นั่นก็เป็นความจริง”